homeowners insurance Claim home insurance Claim state farm car insurance Claim comprehensive insurance Claim commercial insurance Claim cheap auto insurance Claim cheap health insurance Claim indemnity Claim car insurance companies Claim progressive quote Claim usaa car insurance Claim insurance near me Claim term life insurance Claim auto insurance near me Claim state farm car insurance Claim comprehensive insurance Claim progressive home insurance Claim house insurance Claim progressive renters insurance Claim state farm insurance quote Claim metlife auto insurance Claim best insurance companies Claim progressive auto insurance quote Claim cheap car insurance quotes Claim allstate car insurance Claim rental car insurance Claim car insurance online Claim liberty mutual car insurance Claim cheap car insurance near me Claim best auto insurance Claim home insurance companies Claim usaa home insurance Claim list of car insurance companies Claim full coverage insurance Claim allstate insurance near me Claim cheap insurance quotes Claim national insurance Claim progressive home insurance Claim house insurance Claim health insurance quotes Claim ameritas dental Claim state farm renters insurance Claim medicare supplement plans Claim progressive renters insurance Claim aetna providers Claim title insurance Claim sr22 insurance Claim medicare advantage plans Claim aetna health insurance Claim ambetter insurance Claim umr insurance Claim massmutual 401k Claim private health insurance Claim assurant renters insurance Claim assurant insurance Claim dental insurance plans Claim state farm insurance quote Claim health insurance plans Claim workers compensation insurance Claim geha dental Claim metlife auto insurance Claim boat insurance Claim aarp insurance Claim costco insurance Claim flood insurance Claim best insurance companies Claim cheap car insurance quotes Claim best travel insurance Claim insurance agents near me Claim car insurance Claim car insurance quotes Claim auto insurance Claim auto insurance quotes Claim long term care insurance Claim auto insurance companies Claim home insurance quotes Claim cheap car insurance quotes Claim affordable car insurance Claim professional liability insurance Claim cheap car insurance near me Claim small business insurance Claim vehicle insurance Claim best auto insurance Claim full coverage insurance Claim motorcycle insurance quote Claim homeowners insurance quote Claim errors and omissions insurance Claim general liability insurance Claim best renters insurance Claim cheap home insurance Claim cheap insurance near me Claim cheap full coverage insurance Claim cheap life insurance Claim

ชี้คนมีไฝเยอะแก่ช้า-แถมสุขภาพดี


สุขภาพ



ชี้คนมีไฝเยอะแก่ช้า-แถมสุขภาพดี (ไทยโพสต์)

             เรามักไม่ชอบที่มีไฝตามตัวหรือใบหน้าเยอะ ๆ แต่นักวิทยาศาสตร์บอกว่าคนมีไฝดกนับว่าโชคดี เพราะผู้ชายและผู้หญิงที่มีไฝมากกว่า 100 เม็ดขึ้นไปมักมีเนื้อกระดูกแน่นแกร่งกว่าปกติ จึงมีแนวโน้มลดลงที่จะเป็นโรค กระดูกพรุน คนมีไฝเยอะมักมีรอยย่นรอยตีนกาน้อยด้วย ช่วยให้ดูอ่อนเยาว์กว่าวัยจริงถึง 7 ปี
             นอกจากนี้ คนไฝดกมักมีกล้ามเนื้อที่เต่งตึง มีดวงตาและหัวใจที่ห่างไกลโรคมากกว่าคนที่มีไฝน้อย ๆ ประโยชน์เหล่านี้นับว่ามากมายเมื่อเทียบกับข้อเสียที่ว่า คนมีไฝมากจะเสี่ยงต่อมะเร็งผิวหนังมากกว่า ซึ่งอาจพัฒนาเป็นเนื้องอกมะเร็งดำเมื่อถูกแสงแดดมากเกินไป

             ทีมวิจัยของคอลเลจ ลอนดอน บอกว่า ข้อค้นพบนี้จะนำไปสู่การพัฒนาครีมทาผิวที่จะลบรอยเหี่ยวย่น และคนที่มีไฝมาก ก็จะไม่จำเป็นต้องไปฉีดคอลลาเจนหรือทำศัลยกรรมตกแต่ง

             ศาสตราจารย์ทิม สเปกเตอร์ ศาสตราจารย์ด้านพันธุศาสตร์ บอกว่า ไฝตามตัวของคนเราจะหายไปเองเมื่อถึงวัย 40 เราพบว่า คนที่มีไฝดกจะดูไม่แก่แม้มีอายุถึง 60 ปีแล้วก็ตาม

             ไฝ เกิดจากการแบ่งตัวอย่างรวดเร็วของเซลล์ ซึ่งทำให้เกิดเม็ดสีสีดำในผิวหนัง ซึ่งมักเกิดขึ้นในตอนเป็นเด็ก และจะเริ่มหายไปเองเมื่ออายุถึงวัยกลางคน แต่บางรายก็ยิ่งมีไฝมากขึ้น
             ทีมวิจัยของคิงส์คอลเลจ ได้ศึกษาสตรีที่เป็นแฝดต่างจำนวน 1,200 คน อายุระหว่าง 18-79 ปี พบว่า คนที่มีไฝ 100 เม็ดขึ้นไป มีแนวโน้มที่จะเป็นโรคกระดูกพรุนน้อยกว่าคนที่มีไฝไม่ถึง 25 เม็ดราวครึ่งหนึ่ง

             คนที่มีไฝดกมักมีการผลิตเซลล์เม็ดเลือดขาว ซึ่งมีส่วนปลายของ แขนโครโมโซม หรือเทโลแมร์ ยืดยาวกว่าปกติ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของดีเอ็นเอ ที่ทำให้เซลล์มีการผลิตซ้ำและป้องกันการเสื่อมสภาพ
             ศาสตราจารย์สเปกเตอร์บอกว่า การศึกษาที่บริสเบน ประเทศออสเตรเลีย ก็ได้ข้อสรุปในทำนองเดียวกันทั้งกลุ่มผู้ชายและผู้หญิง

             คณะนักวิจัยได้เสนอผลการศึกษานี้ ในการประชุมของราชสมาคมแพทย์แห่งอังกฤษ

             คนส่วนใหญ่มีไฝประมาณ 30 เม็ด แต่บางคนมีถึง 400 เม็ด และคนประมาณ 10% มีไฝราว 100 เม็ดขึ้นไป นั่นหมายความว่าประชาชนหลายล้านคน จะได้ประโยชน์จากการมีไฝดก



http://health.kapook.com/view19345.html  
ขอขอบคุณข้อมูลจาก

ตรวจตับแบบไม่เจ็บตัว




ตรวจโรค


ตรวจตับแบบไม่เจ็บตัว (กรมประชาสัมพันธ์)

          หาก ตับของคุณมีอาการผิดปกติ แพทย์มักตรวจหาความผิดปกติของตับด้วยการเจาะเลือด เจาะชิ้นเนื้อที่ตับไปตรวจ ซึ่งมักจะทำให้ผู้ป่วยเกิดความกลัวและทำให้เจ็บตัว

          แต่ปัจจุบันได้เครื่องไฟโบรสแกน (Fibroscan) เข้ามาเป็นทางเลือก ช่วยลดความกังวลและความเจ็บจากการเจาะชิ้นเนื้อที่ตับไปตรวจ เพราะไฟโบรสแกน เป็นอุปกรณ์ทางการแพทย์ที่ใช้สัญญาณเสียงในการตรวจ คล้ายการอัลตราซาวด์ โดยไม่ทำให้รู้สึกเจ็บ

          ขั้นตอนการตรวจใช้เวลาราว 10 นาที แพทย์จะวางอุปกรณ์ปล่อยสัญญาณเสียงไว้ที่ชายโครงด้านขวา ซึ่งเป็นตำแหน่งของตับ จากนั้นแพทย์จะวางอุปกรณ์ปล่อยสัญญาณเสียงไว้ที่ชายโครงด้านขวา ซึ่งเป็นตำแหน่งของตับ แล้วซอฟท์แวร์ของเครื่องจะแปลผลจากความเร็วในการสะท้อนกลับของเสียงออกมา เป็นค่าให้แพทย์นำไปวิเคราะห์โรคนั่นเอง



http://health.kapook.com/view19379.html
ขอขอบคุณข้อมูลจาก
   

หน้าหนาวแล้ว! ระวังโรคความดันโลหิตสูง


หน้าหนาว

เข้าหน้าหนาวต้องระวังโรคความดันโลหิตสูง (Woman's Story)

          จาก ที่ได้มีการค้นคว้าวิจัยของผู้เชี่ยวชาญเกี่ยวกับภาวะความดันโลหิตสูง ทำให้พบว่า ฤดูกาลก็เป็นสาเหตุสำคัญของระดับความดันโลหิตสูงด้วยค่ะ

          ที่เป็นเช่นนั้นก็อาจเกิดมาจากในช่วงหน้าหนาวมีการออกกำลังกายน้อย ทานอาหารที่มีเกลือมาก โดยเกลือเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้เกิดความดันโลหิตสูงค่ะ นอกจากนี้ความหนาว ยังทำให้เส้นเลือดหดตัวทำให้การไหลเวียนของโลหิตไม่สะดวก ส่งผลอาจทำให้เป็นมะเร็งได้เร็วขึ้น 

          ดังนั้นเพื่อสุขภาพและอนามัยที่ดี ในฤดูหนาวก็ควรออกกำลังอย่างสม่ำเสมอ และหลีกเลี่ยงอาหารที่ก่อให้เกิดโรคดังกล่าวซะ


http://health.kapook.com/view19338.html
ขอขอบคุณข้อมูลจาก

อย่าตื่นข่าว! ทานผักไฮโดรโปนิกเสี่ยงมะเร็ง





สรุปประเด็นข่าวโดยกระปุกดอทคอม

          อย.ขอ ประชาชนอย่าตื่น หลังมีข่าวพบผักไฮโดรโปนิกเสี่ยงมะเร็ง ชี้ยังไม่มีการศึกษาเรื่องนี้ แนะทานร่วมกับพืชผักที่มีวิตามินซีช่วยป้องกันสารก่อมะเร็งได้

          จากกรณีที่สถาบันวิจัยและพัฒนาแห่งมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ เปิดเผยผลการวิจัยที่พบว่า ผักไฮโดรโปนิกมีปริมาณไนเตรตสะสมอยู่มากเกินไป เนื่องจากผู้ปลูกใส่ปุ๋ยมากเกินความต้องการของพืช หากรับประทานเข้าไปอาจจะทำให้ไนเตรต ไปรวมตัวกับสารเหนี่ยวนำที่ทำให้เกิดมะเร็ง ส่งผลให้ผู้บริโภคผักที่มีปริมาณไนเตรตสะสมอยู่สูง มีแนวโน้มเป็นโรคมะเร็ง เช่น มะเร็งลำไส้ ได้ จึงนับเป็นภัยเงียบต่อสุขภาพผู้บริโภคโดยตรง

          เกี่ยว กับประเด็นนี้ นางสาวทิพวรรณ ปริญญาศิริ ผู้อำนวยการกองควบคุมอาหาร สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ได้ชี้แจงว่า ยังไม่เคยมีการศึกษาว่า การบริโภคผักที่มีไนเตรตสะสมอยู่สูงจะก่อให้เกิดมะเร็งได้หรือไม่ แต่ หากบริโภคเนื้อสัตว์ที่มีไนเตรตสูงเกินมาตรฐานจะมีโอกาสเสี่ยงเป็นโรคมะเร็ง สูงกว่าการบริโภคผักที่มีไนเตรตสูงอย่างแน่นอน เพราะโปรตีนในเนื้อสัตว์ที่มีสภาพเป็นกรด และมีความร้อนจะทำปฏิกิริยากับไนเตรตแล้วเปลี่ยนรูปกลับเป็นไนไตรต์ ซึ่งเป็นส่วนที่ทำให้ผู้บริโภคเป็นมะเร็ง ดังนั้น ทุกวันนี้ ประเทศไทยจึงยังไม่มีการกำหนดค่ามาตรฐานไนเตรตที่สะสมอยู่ในพืชผัก เหมือนประเทศแถบยุโรปที่นิยมบริโภคอาหารเนื้อสัตว์ที่มีสภาพเป็นกรด จึงเสี่ยงต่อโรคมะเร็งมากกว่าคนไทย แต่ถึงอย่างไร ก็คงต้องมีการศึกษาเรื่องนี้ต่อไป

          อย่าง ไรก็ตาม ผอ.กองควบคุมอาหาร อย. ก็ได้แนะนำให้ผู้บริโภคผักไฮโดรโปนิกไม่ควรตื่นตระหนกต่อกรณีดังกล่าว เพราะมีโอกาสน้อยที่จะเป็นมะเร็ง พร้อมแนะนำว่า ควรรับประทานผักต่าง ๆ ร่วมกับพืชผักที่มีวิตามินซี เพราะจะช่วยยับยั้งการทำปฏิกิริยาเปลี่ยนรูปไนเตรตเป็นสารก่อมะเร็งได้

          ด้านนางสาวจิตรา คล้ายมน หัวหน้ากลุ่มงานวิจัยเกษตรเคมี สำนักวิจัยและพัฒนาปัจจัยการผลิตทางการเกษตร กรมวิชาการเกษตร กล่าวว่า การปลูกผักไฮโดรโปนิกมีสูตรการใส่ปุ๋ยอยู่แล้ว แม้เกษตรกรผู้เพาะปลูกผักจะให้ปุ๋ยมากเกินไป แต่ผักก็จะดูดอาหาร คือไนโตรเจนไปใช้เจริญเติบโตเท่าที่ต้องการ ดังนั้นจึงคิดว่าไม่จำเป็นต้องควบคุมการใส่ปุ๋ยในผักไฮโดรโปนิก เนื่องจากการตกค้างของปุ๋ยเคมีในผักมักจะเกิดขึ้นในต่างประเทศเมืองหนาว มีปัญหาสภาพแสงแดดน้อย ทำให้ไนเตรตที่สะสมในผักระเหยตัวได้น้อย ส่วนประเทศไทยมีแสงแดดจัดจึงไม่ต้องกังวลเรื่องสารตกค้างในผัก

          "ยัง ไม่เคยรับทราบข้อมูลการศึกษาเรื่องการสะสมไนเตรตในผักไฮโดรโปนิก เราจะควบคุมเฉพาะมาตรฐานสุขอนามัยเท่านั้น ข้อมูลเรื่องนี้มีแต่ในต่างประเทศ ส่วนไทยยังไม่เคยสำรวจมาก่อน ดังนั้นคิดว่า จะต้องประสานกับทางมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ส่งข้อมูลวิจัยมาศึกษาเพิ่มเติม" น.ส.จิตรากล่าว

สลัดผัก

          ทั้งนี้ สำหรับผลวิจัยว่า พบสารไนเตรตในผักไฮโดรโปนิกจะส่งผลให้เกิดมะเร็งได้นั้น ได้รับการเปิดเผยจาก นางสาวพัชราภรณ์ ภู่ไพบูลย์ นักวิจัยจากฝ่ายเครื่องมือและวิจัยทางวิทยาศาสตร์ สถาบันวิจัยและพัฒนาแห่งมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ พร้อมคณะนักวิจัยคือ นางสาววาสนา บัวงาม และนางศิริวัลย์ สร้อยกล่อม ร่วมกันศึกษาการสะสมไนเตรตในพืชผักที่เป็นอันตรายต่อร่างกาย เนื่องจากมีน้อยคนที่จะทราบว่า ในพืชผักยังมีธาตุอาหารชนิดหนึ่งที่จำเป็นต่อการเจริญเติบโต คือ ไนโตรเจน ซึ่งพืชจะนำไนโตรเจนไปใช้ในรูปของไนเตรต และหากมีไนโตรเจนมากเกินความต้องการของพืช อาจทำให้เกิดการสะสมไนเตรตในดินและพืชมากขึ้น เมื่อรับประทานเข้าไปอาจจะทำให้ไนเตรต ไปรวมตัวกับสารเหนี่ยวนำที่ทำให้เกิดมะเร็ง ดังนั้นผู้บริโภคผักที่มีปริมาณไนเตรตสะสมอยู่สูง จึงมีแนวโน้มที่จะเป็นโรคมะเร็ง เช่น มะเร็งลำไส้ นับเป็นภัยเงียบต่อสุขภาพผู้บริโภคโดยตรง

          นางสาวพัชราภรณ์ระบุว่า ผลการศึกษาการสะสมไนเตรตในผักคะน้า ผักกาดหอม และผักบุ้ง ที่จำหน่ายทั้งในตลาดสดและศูนย์การค้า โดยแบ่งผักออกเป็นประเภทผักไฮโดรโปนิก ผักอินทรีย์ ผักปลอดสารพิษ และผักที่ปลูกโดยใช้ปุ๋ยเคมี นำมาวิเคราะห์ทางวิทยาศาสตร์พบว่า ผักที่ปลูกในน้ำยาไฮโดรโปนิกมีแนวโน้มการสะสมไนเตรตสูงสุด เพราะวิธีปลูกผักแบบไฮโดรโปนิกมีการเติมน้ำยาให้พืชเจริญเติบโตมากเกินความ จำเป็น หรือมากเกินความต้องการตามธรรมชาติของผัก โดยผักคะน้าไฮโดรโปนิกมีค่าเฉลี่ยของไนเตรตสูงที่สุด 4,529 มิลลิกรัมต่อ 1 กิโลกรัมน้ำหนักสด

          รองลงมาคือ ผักบุ้ง มีปริมาณไนเตรต 3,978 มิลลิกรัม และผักกาดหอมมีปริมาณไนเตรต 1,729 มิลลิกรัม โดยค่ามาตรฐานที่สหภาพยุโรปกำหนดไว้ในผักรับประทานใบให้มีค่าไนเตรตไม่เกิน 2,500 มิลลิกรัมต่อ 1 กิโลกรัม จะเห็นว่าผักคะน้าและผักบุ้งไฮโดรโปนิกมีปริมาณไนเตรตเกินมาตรฐาน ส่วนในประเทศไทยยังไม่มีข้อกำหนดมาตรฐานค่าไนเตรตในพืชผัก ดังนั้นจึงขอให้เกษตรกร และผู้ปลูกผักไฮโดรโปนิกควรลดปริมาณการใส่น้ำยา หรือเติมน้ำเปล่าให้มากขึ้น  ส่วนการปลูกผักแบบอื่น ๆ ก็ไม่ควรใส่ปุ๋ยมากเกินไป

          "ผล การศึกษาดังกล่าว เราได้นำเสนอบนเวทีการวิชาการประจำปีของมหาวิทยาลัย เกษตรศาสตร์ และยังได้ศึกษาเพิ่มเติม เพื่อหาแนวทางในการลดไนเตรตในพืชผักก่อนการบริโภค โดยนำผักคะน้าและผักบุ้งไปต้มน้ำเดือดหรือทำการนึ่งเป็นเวลา 10 นาที ซึ่งสามารถช่วยลดค่าไนเตรตในผักบุ้งและผักคะน้าลดลง 47%" นางสาวพัชราภรณ์เผย

          นอกจากนี้การแช่ผักคะน้าและผักบุ้งในน้ำ 1 วัน การแช่ในด่างทับทิมและการแช่ในน้ำเกลือ ก็มีแนวโน้มที่จะช่วยทำให้ค่าไนเตรต-ไนโตรเจนลดลงด้วยเช่นกัน จึง ขอแนะนำให้ผู้บริโภคควรทำความสะอาดพืชผัก ผลไม้ทุกชนิด ทั้งประเภทพืชที่ปลูกแบบปลอดสารเคมี ปลูกแบบชีวอินทรีย์ ปลูกแบบไม่ใช้ดิน ก่อนนำมารับประทาน ก็จะเป็นการลดความเสี่ยงของภัยเงียบจากพิษสะสมที่เกิดจากไนเตรตในพืชได้



 
http://health.kapook.com/view19328.html
ขอขอบคุณข้อมูลจาก

ปรับ เปลี่ยน...เลี่ยงออฟฟิศซินโดรม

ออฟฟิศซินโดรม

ปรับ เปลี่ยน...เลี่ยงออฟฟิศซินโดรม (Momypedia)
โดย: หน่วยอุ่น

          รูปแบบการทำงานของสาว ๆ ยุคนี้ส่งผลต่อความเจ็บป่วยทางจิตใจและร่างกายมากทีเดียว จึงมีคนจำนวนไม่น้อยประสบปัญหาอาการปวดเรื้อรัง อันเนื่องมาจากการใช้ชีวิตที่รีบเร่ง ทำงานในพื้นที่จำกัด และชีวิตส่วนใหญ่ถูกผูกติดอยู่กับโต๊ะและจอคอมพิวเตอร์แทบตลอดเวลา พฤติกรรมเหล่านี้ล้วนเป็นที่มาของอาการ "ออฟฟิศซินโดรม" นั่นเองค่ะ

          ไม่ ใช่เพียงแค่ขาดการเคลื่อนไหว ออฟฟิศซินโดรมยังหมายรวมไปถึงกลุ่มอาการในเรื่องของระบบทางเดินหายใจและภูมิ แพ้ ผลจากการอยู่ในออฟฟิศที่อากาศถ่ายเทไม่สะดวก เครื่องปรับอากาศที่ไม่สะอาด รวมไปถึงสารเคมีจากหมึกของเครื่องถ่ายเอกสาร เครื่องแฟกซ์ และเครื่องพิมพ์เอกสาร ซึ่งวนเวียนอยู่ภายในห้องทำงานอีกด้วย

แบบไหน "ใช่" ออฟฟิศซินโดรม

          มีข้อมูลยืนยันว่า อาการนี้พบบ่อยและพบมากในกลุ่มคนทำงาน โดยเฉพาะกลุ่มสาวออฟฟิศ และด้วยวิถีการทำงานในพื้นที่จำกัดและขาดการเคลื่อนไหว ทำให้เกิดอาการออฟฟิศซินโดรมขึ้นได้ไม่ยาก อยากรู้ว่าตัวเองเสี่ยงกับอาการนี้หรือไม่ ให้คุณลองสังเกตตัวเองดูว่า

          มักจะนั่งทำงานติดต่อกันนาน ๆ

          เพ่งจอคอมพิวเตอร์ติดต่อกันนานเกิน 1 ชั่วโมง

          โต๊ะ-เก้าอี้ ที่ใช้นั่งทำงานไม่สะดวกสบาย

          นั่งใกล้เครื่องถ่ายเอกสาร เครื่องแฟกซ์ หรือเครื่องพิมพ์เอกสาร

          ถ้าคำตอบคือ ใช่ เพียงแค่ 1 ข้อ ก็ถือว่ามีความเสี่ยงแล้ว แต่อย่าเพิ่งตกใจไปค่ะ เพียงลุกขึ้นบิดตัว ขยับซ้าย-ขวา จะช่วยให้อาการดีขึ้น เพราะอาการดังกล่าวเกิดมาจากความเมื่อยล้าในการทำงาน ตำแหน่งที่มักจะเกิดอาการปวดเมื่อย คือ คอ สะบักและศีรษะ รองลงมาคือ บริเวณหลัง บางครั้งมีอาการมือชาด้วย

          แต่บางคนอาจมีอาการเกี่ยวกับระบบทางเดินหายใจ อาจรู้สึกหายใจไม่เต็มที่ หายใจไม่สะดวก อึดอัด นอกจากนี้ความเครียดจากการทำงาน ไม่ว่าจะเป็นความเครียดจากการทำงาน หรือเครียดจากร่างกายซึ่งอยู่ในท่าที่ไม่เหมาะ อุณหภูมิห้องร้อนหรือเย็นเกินไป และเลือดไหลเวียนไม่สะดวก ทำให้อาการออฟฟิศซินโดรมชัดเจนยิ่งขึ้น

          อาการ ใกล้ตัวนี้ถ้าเป็นมาก จะก่อกวนระบบประสาทอัตโนมัติบริเวณคอและศีรษะ ทำให้ปวดเมื่อยคอ ตาพล่า หูอื้อ มึนศีรษะ หากละเลยไม่ใส่ใจอาจถึงขั้นวูบได้ ดังนั้นควรหมั่นสังเกตและใส่ใจตัวเองอย่างสม่ำเสมอค่ะ

ออฟฟิศซินโดรม...เลี่ยงได้ไม่ยาก

          อาการนี้แม้จะมีวิธีการรักษา แต่ก็ทำให้เสียทั้งเวลาและค่าใช้จ่าย คงดีกว่าหากออฟฟิศซินโดรมจะไม่มากล้ำกราย เพราะฉะนั้นต้องปรับเปลี่ยนพฤติกรรมรวมถึงอุปกรณ์บางอย่าง เพื่อช่วยลดความเสี่ยงกับอาการนี้ให้น้อยลง
   
ปรับพฤติกรรม

          กะพริบตาบ่อย ๆ

          ยืดเหยียดกล้ามเนื้อมือและแขนทุก ๆ 1 ชั่วโมง

          พักสายตาจากจอคอมพิวเตอร์ทุก ๆ 10 นาที

          เปลี่ยนท่าการทำงานทุก 20 นาที

          นั่งหลังตรงชิดขอบด้านในของเก้าอี้

          วางข้อมือในตำแหน่งตรง ไม่บิด หรืองอข้อมือขึ้นหรือลง

ปรับอุปกรณ์เครื่องใช้สำนักงาน

1.คอมพิวเตอร์

          ตั้งจอคอมพิวเตอร์และคีย์บอร์ดไว้ในแนวตรงกับหน้า

          ขอบบนของจอคอมพิวเตอร์ ควรอยู่ระดับสายตา ในท่านั่งที่คุณรู้สึกสบาย

          จอคอมพิวเตอร์ควรอยู่ห่างเท่ากับความยาวแขน ซึ่งเป็นระยะที่อ่านสบายตา

          ควรให้จออยู่ในมุมที่เหนือกว่าระดับตาเล็กน้อย

          ใช้เมาส์ โดยพักข้อศอกบนที่รองแขน และสามารถเคลื่อนไหวได้แบบไม่จำกัดพื้นที่

2.โต๊ะ-เก้าอี้

          ควรปรับให้ขอบของเบาะเก้าอี้ต่ำกว่าระดับเข่า

          ลองนั่งบนเก้าอี้ แล้ววางเท้าลงบนพื้น ให้ขาทำมุมประมาณ 90 องศา

          ปรับพนักพิงให้รองรับกับหลังส่วนล่าง ถ้าไม่สามารถทำได้ใช้หมอนหนุนหลังส่วนล่าง

          ปรับที่รองแขนให้อยู่ระดับข้อศอกและไหล่อยู่ในระดับที่ผ่อนคลาย

          ปรับให้มีช่องว่างระหว่างขอบเก้าอี้กับขาด้านหลัง

          ปรับที่วางคีย์บอร์ดให้อยู่ในระดับข้อศอก ทำมุม 90 องศา

          ปรับ เปลี่ยนพฤติกรรมและอุปกรณ์หลักที่ต้องใช้แล้ว ควรให้ความสำคัญเรื่องออกกำลังกายด้วย โยคะเป็นการออกกำลังกายที่เหมาะสมมาก เพราะยืดเหยียดกล้ามเนื้อส่วนต่าง ๆ ได้ดี รวมถึงการออกกำลังกายด้วยวิธีอื่น ๆ เพื่อเสริมสร้างความแข็งแรงของสุขภาพและกล้ามเนื้อ เพียงเท่านี้...ออฟฟิศซินโดรมไม่มากล้ำกรายให้วุ่นวายแล้วค่ะ
 
http://health.kapook.com/view19298.html
ขอขอบคุณข้อมูลจาก

ข้อมูลอ้างอิง
- โรค Office โรคที่คนทำงานออฟฟิศคาดไม่ถึง โดย ดร.สร้อยสุดา เกสรทอง สำนักพิมพ์ more of life
- เอกสารประกอบการสัมมนา "เมื่อความปวดเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตคุณ" โดยสมาคมการศึกษาเรื่องความปวดแห่งประเทศไทยและบริษัท ไฟเซอร์ (ประเทศไทย) จำกัด

http://health.kapook.com/view19298.html