homeowners insurance Claim home insurance Claim state farm car insurance Claim comprehensive insurance Claim commercial insurance Claim cheap auto insurance Claim cheap health insurance Claim indemnity Claim car insurance companies Claim progressive quote Claim usaa car insurance Claim insurance near me Claim term life insurance Claim auto insurance near me Claim state farm car insurance Claim comprehensive insurance Claim progressive home insurance Claim house insurance Claim progressive renters insurance Claim state farm insurance quote Claim metlife auto insurance Claim best insurance companies Claim progressive auto insurance quote Claim cheap car insurance quotes Claim allstate car insurance Claim rental car insurance Claim car insurance online Claim liberty mutual car insurance Claim cheap car insurance near me Claim best auto insurance Claim home insurance companies Claim usaa home insurance Claim list of car insurance companies Claim full coverage insurance Claim allstate insurance near me Claim cheap insurance quotes Claim national insurance Claim progressive home insurance Claim house insurance Claim health insurance quotes Claim ameritas dental Claim state farm renters insurance Claim medicare supplement plans Claim progressive renters insurance Claim aetna providers Claim title insurance Claim sr22 insurance Claim medicare advantage plans Claim aetna health insurance Claim ambetter insurance Claim umr insurance Claim massmutual 401k Claim private health insurance Claim assurant renters insurance Claim assurant insurance Claim dental insurance plans Claim state farm insurance quote Claim health insurance plans Claim workers compensation insurance Claim geha dental Claim metlife auto insurance Claim boat insurance Claim aarp insurance Claim costco insurance Claim flood insurance Claim best insurance companies Claim cheap car insurance quotes Claim best travel insurance Claim insurance agents near me Claim car insurance Claim car insurance quotes Claim auto insurance Claim auto insurance quotes Claim long term care insurance Claim auto insurance companies Claim home insurance quotes Claim cheap car insurance quotes Claim affordable car insurance Claim professional liability insurance Claim cheap car insurance near me Claim small business insurance Claim vehicle insurance Claim best auto insurance Claim full coverage insurance Claim motorcycle insurance quote Claim homeowners insurance quote Claim errors and omissions insurance Claim general liability insurance Claim best renters insurance Claim cheap home insurance Claim cheap insurance near me Claim cheap full coverage insurance Claim cheap life insurance Claim

หัวใจวาย-อัมพฤกษ์ถามหา...ถ้าไม่แปรงฟัน



เคล็ดลับสุขภาพ


หัวใจวาย-อัมพฤกษ์อัมพาตถามหา...ถ้าไม่แปรงฟัน (Hair)

          ไม่ น่าเชื่อว่า ความบกพร่องในการดูแลสุขภาพช่องปาก เช่น การละเลยเรื่องการแปรงฟันจะส่งผลร้ายถึงขั้นทำให้เกิดอาการหัวใจวาย หรือเป็นอัมพฤกษ์อัมพาตได้

          ศาสตราจารย์โฮเวิร์ด เจนกินสัน อาจารย์วิชาจุลชีววิทยาช่องปาก แห่งมหาวิทยาลัยบริสตอลในอังกฤษ ได้เสนอรายงานผลการศึกษาเรื่องนี้ต่อที่ประชุมสมาคมจุลชีววิทยาทั่วไป โดยอธิบายถึงความเกี่ยวพันของเรื่องที่เราอาจมองข้ามนี้ว่า ตามปกติแล้เชื้อแบคทีเรียตัวกลมจะอาศัยอยู่แต่ในปากเท่านั้น แต่ถ้าผู้นั้นมีแผลที่เหงือก เจ้าแบคทีเรียตัวร้ายนี้ก็อาจจะไหลไปตามกระแสเลือดได้

          โดย มันจะใช้โปรตีนที่มีอยู่ตามตัวไปทำให้เกล็ดเลือดจับตัวกัน เพื่อเป็นโล่ป้องกันตัวเอง เมื่อเกล็ดเลือดจับตัวมันจะห่อหุ้มแบคทีเรียไว้ทั้งตัว กลายเป็นเกราะกำบังจากระบบภูมิคุ้มโรค หรือจากยาปฏิชีวนะที่ใช้รักษาอาการอักเสบ ถ้าเคราะห์หามยามร้าย เกล็ดเลือดที่จับตัวกันจนเป็นลิ่มเลือดเกิดไปปิดกั้นลิ้นหัวใจ หรือทำให้หลอดเลือดอักเสบก็จะไปอุดกั้นเลือดที่ไปเลี้ยงหัวใจและสมอง ซึ่งจะนำไปสู่อาการหัวใจวายหรืออัมพฤกษ์อัมพาตในที่สุด

          รู้อย่างนี้แล้วอย่าลืมแปรงฟันหลังอาหารทุกครั้งด้วยล่ะ

http://health.kapook.com/view20374.html
ขอขอบคุณข้อมูลจาก

สยอง! ตู้เอทีเอ็มสกปรกเกือบเท่าห้องน้ำ




เอทีเอ็ม

เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม
ขอขอบคุณข้อมูลจาก topnews.us

          ใคร จะไปคิดว่าเทคโนโลยีที่หลาย ๆ คน จำเป็นต้องใช้อย่างเช่นตู้เอทีเอ็มนั้น จะมีความสกปรกมากเกือบเท่ากับห้องน้ำ ซึ่งสามารถทำให้ผู้ที่สัมผัสเกิดอาการคลื่นไส้และท้องร่วงได้

          เรื่องดังกล่าวได้รับการเปิดเผยจากนักวิทยาศาสตร์เมืองผู้ดี ที่ได้ทำการสำรวจแหล่งสะสมเชื้อโรคที่มนุษย์ต้องสัมผัสหรือใช้งาน โดยผลการสำรวจส่วนของประชาชน ส่วนใหญ่ต่างคิดว่า "ห้องน้ำ" เป็นแหล่งรวมเชื้อโรคที่มากที่สุด ตามมาด้วย ตู้โทรศัพท์, สถานีรถไฟใต้ดิน-รถโดยสาร, เก้าอี้รถไฟ และตู้เอทีเอ็มอยู่ที่อันดับ 10 และผลการตรวจสอบตามสถานที่ต่าง ๆ "ห้องน้ำ" ก็ครองแหล่งของความสกปรกเป็นอันดับหนึ่ง ส่วนตู้เอทีเอ็มตามมาติด ๆ จนเกือบเทียบเท่าห้องน้ำเลยก็ว่าได้

         นอกจากนี้ ผลวิจัยก็ระบุอีกด้วยว่า ตู้เอทีเอ็มมีเชื้อโรคที่สามารถทำให้ผู้ที่สัมผัสเกิดอาการคลื่นไส้และท้องร่วงได้ด้วย

http://health.kapook.com/view20441.html

ใส่ถุงน่อง รักษาเส้นเลือดขอดได้จริงหรือ


เส้นเลือดขอด

เส้นเลือดขอดรักษาได้โดยใส่ถุงน่องจริงหรือไม่ (Woman's Story)

          เนื่องจากในปัจจุบันได้มีการออกมาโฆษณาขายถุงน่องที่มีสรรพคุณ ช่วยรักษาอาการเส้นเลือดขอดให้หายได้ โดยมีราคาคู่ละ 10,000 บาท และได้รับการอนุญาตจากคณะกรรมการอาหารและยา ซึ่งจากข้อมูลดังกล่าวทำให้สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาได้ตรวจสอบพบว่า ผลิตภัณฑ์ดังกล่าว ยังไม่มีการนำเข้ามาแต่อย่างใด

          อีกทั้งการโฆษณาดังกล่าว ก็ยังไม่ได้ขออนุญาตโฆษณาเครื่องมือแพทย์จากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา เช่นกัน ดังนั้นสาว ๆ อย่าได้หลงเชื่อ

          จริง ๆ แล้วปัญหาเส้นเลือดขอดสามารถป้องกันได้ง่าย ๆ คือ ไม่สวมเสื้อผ้าที่คับเกินไป โดยเฉพาะบริเวณเอวและต้นขา เนื่องจากทำให้เลือดไหลเวียนไม่สะดวก หลีกเลี่ยงการยืน หรือนั่งนาน ๆ  ควรพักเท้าโดยการนั่งหรือนอนยกเท้าสูงคราวละ 15 นาที หรือการพักเท้าบนม้านั่ง

          นอกจากนี้ยังควรทำการฝึกกล้ามเนื้อน่องโดยการยืนตัวตรง เขย่งเท้าขึ้นลงช้า ๆ 3 ชุด ชุดละ 10 ครั้ง ซึ่งการกระทำเหล่านี้ มีส่วนช่วยให้การไหลเวียนของเลือดในเส้นเลือดดำที่ขา ไหลกลับสู่ร่างกายส่วนบนได้ดีขึ้น ในกรณีที่เริ่มเห็นอาการเส้นเลือดขอดขึ้นตามขาบ้างแล้ว การป้องกันสามารถทำได้โดยใส่ถุงน่องแบบกระชับ ก็อาจช่วยให้อาการไม่เป็นไปมากกว่าที่เป็นอยู่ หรือทำให้การดำเนินไปของโรคนี้ช้าลงไปได้

          ส่วน การรักษาให้หายขาดจะใช้วิธีฉีดยาให้เส้นตีบ ไปจนกระทั่งการผ่าตัดดึงเส้นออก ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับความเหมาะสมของคนไข้ และการตัดสินใจของแพทย์ในแต่ละรายไปค่ะ



http://health.kapook.com/view20372.html
ขอขอบคุณข้อมูลจาก

ไขความเชื่อผิด ๆ เกี่ยวกับสุขภาพ



เคล็ดลับสุขภาพ


ความเชื่อผิด ๆ เกี่ยวกับสุขภาพ (Mix Magazine)

          บาง เรื่องสุขภาพที่เรารู้กันมา อาจไม่ใช่เรื่องจริง หรือเป็นความเข้าใจผิดไปก็ได้ ลองมาดูสิว่า 10 เรื่องต่อไปนี้ คุณเคยเข้าใจอะไรผิดมาบ้างหรือเปล่า

1. ชาเขียวเพื่อสุขภาพ

          ความเชื่อนี้ฮิตที่สุดเมื่อหลายปีก่อน ถึงขั้นทำให้ทำอะไรก็ต้องเอาชาเขียวมาเป็นส่วนประกอบ ไม่เว้นแม้กระทั่งผ้าอนามัย ปัจจุบันก็ยังคงความฮิตต่อเนื่อง แม้ว่ากระแสจะน้อยลงก็ตาม แต่นั่นก็ทำให้คนไทยเคยชินกับการกินชาเขียวแทนการดื่มน้ำอัดลม หรือน้ำอื่น ๆ

          โดยความเชื่อนี้ คือในชาเขียวจะมี Cathechin ที่มี EGCG อันเป็นสารตัวเอกในการต้านอนุมูลอิสระ และสามารถยับยั้งการเกิดมะเร็งต่าง ๆ ได้ สาร Cathechin ที่ว่านั้นไม่ได้มีเฉพาะชาเขียวเท่านั้น ชาดำ หรือชาจีนก็มีเช่นกัน แต่อาจจะไม่มากเท่าชาเขียว และนั่นทำให้ชาเขียวกลายเป็นทุกคำตอบของสุขภาพไป

          แต่ ในความเป็นจริงแล้ว ระดับความเข้มข้นของ EGCG ที่สามารถจัดการกับมะเร็งได้นั้น จะเทียบเท่าการดื่มชาเขียวแบบเข้มข้นไม่ผสมน้ำตาลวันละอย่างต่ำ 10 แก้ว ซึ่งนอกจากจะช่วยป้องกันมะเร็งได้แล้ว ของแถมที่ตามมาก็คือ เจ้าสาร Tannin ที่เป็นสาเหตุของการเกิดอาการท้องผูก และนั่นทำให้ไม่ต้องคิดต่อเลยว่า ชาเขียวที่มีน้ำตาลผสมอยู่นั้น จะสามารถช่วยดูแลสุขภาพของเราให้ยืนยาวปราศจากโรคต่าง ๆ ได้อย่างไร

2. เดินลงดีต่อเข่ามากกว่าเดินขึ้น

          เวลาที่จะให้เลือกระหว่างเดินลงบันไดกับเดินขึ้นบันได หลายคนคงจะเลือกเดินลงบันไดมากกว่า หนึ่งเพราะไม่ต้องรู้สึกเหนื่อยมาก และสองทำให้ไม่ปวดขา ปวดเข่าเวลาเดินอีกด้วย

          ความเชื่อนี้อาจจะไม่จริงแล้ว เมื่อผลงานวิจัยของมหาวิทยาลัยทั้งไทยและต่าง ประเทศเห็นตรงกันว่า การเดินลงทางลาดชันรวมไปถึงบันไดนั้น จะทำให้ความเครียดเกิดขึ้นที่ข้อ และตัวกระดูกอ่อนของเข่ามากกว่าการเดินขึ้น รวมทั้งมีโอกาสสร้างความบาดเจ็บได้มากกว่า และที่เราคิดว่าการเดินขึ้น น่าจะทำร้ายเข่ามากกว่านั้น เป็นเพราะเวลาที่เราเดินขึ้น เราจะล้าและปวดกล้ามเนื้อมากกว่าเวลาเดินลงนั่นเองครับ

3. กระดูกพรุนต้องกินแคลเซียม

          ความเชื่อนี้ส่วนหนึ่งเป็นเพราะความเชื่อที่ว่า กระดูกของร่างกายมนุษย์เรานั้นมี แคลเซียมเป็นส่วนประกอบที่สำคัญ ดังนั้นเมื่อเกิดภาวะกระดูกพรุน ก็เลยคิดว่าการกินแคลเซียมเข้าไปมาก ๆ จะช่วยทำให้กระดูกแข็งแรงได้

          แต่ในความเป็นจริงนั้น การกินแคลเซียมเสริมเข้าไปในร่างกายอย่างเดียว อาจจะไม่ใช่คำตอบของการแก้ปัญหา เพราะ การเสริมกระดูกของร่างกายมนุษย์เรานั้นมันมีกลไก และความซับซ้อนหลายอย่าง เช่น อัตราส่วนแคลเซียมต่อแมกนีเซียมที่ใช้ในการดูดซึม เพื่อให้เกิดประโยชน์มากที่สุด รวมไปถึงการใช้วิตามินดีให้พอเพียงกับปริมาณแคลเซียมที่ได้รับเพิ่มมา เพราะหากมีวิตามินดีไม่มากพอ ร่างกายก็ไม่อาจดูดซึมแคลเซียมที่ได้รับเพิ่มไปใช้ได้อยู่ดี

          ดังนั้นการกินแคลเซียมเสริมเข้าไปในร่างกายนั้น ไม่ใช่คำตอบสุดท้ายของการแก้ไขโรคกระดูกพรุนอย่างแน่นอน แต่การออกกำลังกายอย่างเป็นประจำ และต่อเนื่อง มีโอกาสทำให้ร่างกายได้รับความเสี่ยงต่อโรคกระดูกพรุนน้อยลง และหากสงสัยว่า มีอาการเริ่มต้นของภาวะกระดูกพรุน ควรปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านกระดูกจะดีกว่า

อบซาวน่า

4. ซาวน่า ยิ่งอบนานยิ่งสุขภาพดี

          ความเชื่อนี้ส่วนหนึ่งน่าจะเป็นเพราะทุกครั้งที่เราออกจากห้องซาวน่าแล้ว น้ำหนักจะลดลงไปหลายขีด แล้วก็จะรู้สึกสบายตัวเป็นอย่างมาก เลยกลายเป็นความเชื่อที่ว่ายิ่งนานยิ่งดี แต่ในความเป็นจริงแล้ว มีคนเคยเกือบเสียชีวิตเพราะนั่งในห้องซาวน่านานจนเป็นลมไปเลยก็มี ดังนั้นความเชื่อนี้เห็นทีจะไม่ถูกต้อง

          การอบซาวน่าหรืออบสมุนไพรที่จะให้ได้ประโยชน์จริงนั้น ชาวฟินแลนด์ต้นตำรับเขาระบุไว้ว่า ต้องเป็นการอบร้อนสลับเย็น โดยอบร้อนเป็นเวลาประมาณ 3-5 นาที จากนั้นก็ลุกออกไปแช่น้ำเย็นประมาณ 1-2 นาที โดยทำสลับกัน 3 รอบ การทำแบบนี้จะส่งผลให้ร่างกายได้รับการกระตุ้นให้เลือดไหลเวียนได้ดี เลือดลมเดินสะดวก และรู้สึกโปร่ง โล่ง สบาย

5. น้ำตาล ของหวาน ช่วยให้สดชื่น

          เวลาที่เรารู้สึกเหนื่อย กระหาย อ่อนเพลียนั้น การดื่มน้ำหวาน หรือกินของหวาน ๆ เข้าไปจะทำให้รู้สึกกระชุ่มกระชวยขึ้นได้ ความคิดแบบนี้มีหลาย ๆ คนที่เชื่อเช่นนั้น และให้ความหวานเป็นทางออกของชีวิตเสมอ ๆ

          แต่ ในความเป็นจริงแล้ว การกินของหวานหรือดื่มน้ำหวาน นอกจากจะไม่ช่วยให้หายจากอาการอ่อนเพลีย ไม่มีแรงแล้ว ยังจะทำให้ร่างกายเรายิ่งแย่ลงไปอีกด้วย เพราะเมื่อเรารับน้ำตาลเข้าไปในร่างกาย ร่างกายก็จำเป็นต้องใช้วิตามินบีร่วมในการเผาผลาญเสมอ ๆ และเมื่อไรที่วิตามินบีหมด ร่างกายก็จะเข้าสู่ภาวะพร่องวิตามินบี ผลที่ตามมาก็คือเหนื่อย อ่อนเพลีย ไม่มีแรงนั่นเอง ดังนั้นใครที่อยากสดชื่น ลองเปลี่ยนมาเป็นน้ำสะอาด ๆ สักแก้วน่าจะช่วยได้ดีกว่าเยอะ

ยาพารา

6. ปวดหัว ตัวร้อน ต้องพาราฯ

          เคยสังเกตไหมครับว่า ทุกครั้งที่เราไปพบแพทย์ ด้วยอาการไม่ว่าจะอะไรก็ตาม ยาอย่างหนึ่งที่เรามักจะได้กลับมาเสมอ ๆ ก็คือ ยาพาราเซทามอล บางคนเป็นหวัด บางคนเป็นไข้ แต่หลังจากที่กินยาชนิดนี้ลงไปแล้ว อาการที่เป็นก็ดีขึ้น และทำให้เรารู้สึกดีขึ้น ทั้ง ๆ ที่ความเป็นจริงแล้วร่างกายเรากำลังโดนหลอกอยู่ เพราะการกินยาพาราฯ เข้าไปนั้น ไม่ใช่เป็นการแก้ปัญหาที่ถูกจุด

          ก่อนอื่นต้องขออธิบายง่าย ๆ ก่อนว่า ร่างกายของมนุษย์ทุกคนนั้น มีสารชนิดหนึ่งที่สามารถต่อสู้กับโรคภัยต่าง ๆ ที่เข้ามากล้ำกรายร่างกายเราอยู่แล้ว นั่นก็คือ เม็ดเลือดขาว และเมื่อเราเจ็บป่วย เม็ดเลือดขาวก็จะต่อสู้แทนเราทุก ๆ ครั้ง และจะทำงานได้ดีในอุณหภูมิที่สูงกว่าอุณหภูมิร่างกาย

          หมาย ความง่าย ๆ ก็คือเวลาที่เราตัวร้อนนั้น สาเหตุก็เนื่องมาจากเม็ดเลือดขาวกำลังต่อสู้อยู่ และกำลังจะเอาชนะเชื้อโรคต่าง ๆ ที่บุกเข้าไป แต่ เมื่อเรากินยาพาราเซทามอลเข้าไป ร่างกายก็ปรับอุณหภูมิเข้าสู่ภาวะปกติ ซึ่งเป็นภาวะที่เชื้อโรคชื่นชอบ ทำให้เม็ดเลือดขาวเสียเปรียบ ไม่สามารถทำงานได้เต็มประสิทธิภาพ โรคที่เป็นอยู่ก็แค่ถูกกดทับไว้เท่านั้น แทนที่ร่างกายจะแข็งแรงเร็วขึ้น กลับกลายเป็นเลี้ยงไข้ไปแทน

          นอกจากนี้ ยังมีผลข้างเคียงจากยาพาราเซทามอลนี้อีก เพราะส่งผลรุนแรงต่อตับ ดังนั้นไม่ควรกินติดต่อกันเกิน 5 วัน วิธีที่ดีที่สุดในการแก้ตัวร้อนก็คือ การเช็ดตัว เพราะจะช่วยทำให้ร่างกายถูกกระตุ้น และทำงานได้มีประสิทธิภาพที่สุด ส่วนอาหารปวดหัวพักผ่อนให้เพียงพอแค่นี้อาการก็ดีขึ้นเอง อย่าถึงขั้นต้องกินยาเลยครับ

7. อาหารเสริมรักษาโรค

          ถ้าลองอ่านสลากข้างขวดของอาหารเสริมทุกขวดดี ๆ จะเห็นได้อย่างชัดเจนว่า มีการเขียนระบุไว้ว่า "ไม่มีผลต่อการรักษาโรค" เพราะอาหารเสริมก็คืออาหารเสริม ไม่ใช่ยาที่จะทำหน้าที่เข้าไปรักษาโรคใด ๆ ได้ อาหารเสริมนั้นเป็นเพียงตัวช่วยที่ทำให้ร่างกายได้รับสารอาหารต่าง ๆ ที่ขาดในรูปแบบที่รวดเร็วและสะดวกเท่านั้น แต่ไม่สามารถรักษาโรคนั้น ๆ ที่เป็นได้อย่างร้อยเปอร์เซ็นต์

          การกินอาหารเสริมยังทำให้ผู้คนหลงผิดคิดว่า ไม่จำเป็นต้องห่วงสุขภาพ ละเลยต่อการกินอาหารที่ดี รวมไปถึงไม่ออกกำลังกาย เพราะแม้อาหารเสริมระดับเทพก็คงไม่สามารถช่วยเยียวยาใด ๆ ได้อย่างแน่นอน ดังนั้นการกินอาหารดี ๆ ผักสด ผลไม้สด ข้าวกล้อง รวมทั้งออกกำลังกายเป็นประจำ ก็ทำให้ร่างกายได้รับวิตามินและแร่ธาตุอย่างพอเพียงแล้ว หากแต่ถ้าทำไม่ได้ การรู้จักใช้อาหารเสริมเป็นส่วนช่วยเพิ่มก็เป็นเรื่องที่ดี

เคล็ดลับสุขภาพ

8. ดื่มน้ำมาก ๆ ดีต่อสุขภาพแน่นอน

          ความเชื่อนี้ทำให้คนจำนวนไม่น้อย ดื่มน้ำกันละทีเป็นลิตร ๆ บางคนยิ่งรู้ว่ายิ่งดื่มยิ่งดีต่อสุขภาพ ก็ดื่มวันละหลายขวด หลายลิตร เรียกกันว่าดื่มกันลิตรต่อลิตรเลยทีเดียว

          การดื่มน้ำเยอะเกินไปแบบนี้เมื่อสะสมเป็นเวลานานเข้า ร่างกายก็จะเกิดอาการปัสสาวะมาก มีสีใส มือเท้าเย็น ทำให้ร่างกายรู้สึกหนาวง่าย นานวันเข้าก็เกิดเป็นอาการสะสมที่เรียกว่าอ่อนเพลียเรื้อรัง ขาอ่อนแรง และมีสิทธิ์ที่จะหย่อนสมรรถภาพทางเพศสูงอีกด้วย

          เหตุผลง่าย ๆ ที่ทำให้เป็นเช่นนี้ เพราะเวลาดื่มน้ำเข้าไปมาก ๆ นั้น ไตก็จะทำหน้าที่คัดกรองสิ่งที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกายเก็บไว้ เช่น เกลือแร่ แต่เมื่อเราดื่มน้ำเข้าไปมากเกินความจำเป็น ก็ทำให้ไตทำงานมากขึ้น เมื่อผ่านช่วงเวลาสะสมนานเข้า ก็กลายเป็นอาการ "พร่องพลังไต"  นั่นเอง

          แต่ก็ไม่ใช่ว่าทุกคนจะพร่องพลังไตกันหมด เพราะแม้ในมื้ออาหารที่เรากินเข้าไปในแต่ละมื้อจะมีน้ำอยู่แล้ว และเราก็กินน้ำอยู่ตลอดทั้งวัน แต่ร่างกายเราก็มีการขับถ่ายของเสียประเภทน้ำออกทางเหงื่อ ปัสสาวะ แถมยังใช้ในกระบวนการต่าง ๆ ของร่างกายอยู่แล้ว ดังนั้นหากไม่ดื่มน้ำเลย หรือดื่มน้ำน้อยไปก็ส่งผลเสียต่อสุขภาพเช่นกัน

          ทางออกที่ดีที่สุดก็คือ อย่ารอให้หิวกระหายน้ำ แล้วค่อยดื่มน้ำ แต่ควรจิบน้ำอยู่เป็นประจำตลอดทั้งวัน ไม่ต้องกลัวว่าจะต้องไปเข้าห้องน้ำบ่อย หรือจะทำให้ไตทำงานหนัก เพราะการดื่มน้ำสะอาด ๆ เป็นประจำอย่างน้อยวันละ 8 แก้ว มีผลทำให้ผิวเรามีสุขภาพดี รวมไปถึงร่างกายเราก็สุขภาพดีอีกด้วย

9.กินไขมันแย่ ตายผ่อนส่ง

          เป็นอีกหนึ่งความเชื่อที่หลาย ๆ คนคิด และยืนยันในการเลือกกินอาหารไร้มัน เพราะจะทำให้น้ำหนักขึ้น แต่นั่นไม่ใช่ทั้งหมดของสิ่งที่ไขมันมีอย่างแน่นอน เพราะนอกจากความอ้วนแล้ว ไขมันยังมีประโยชน์ในส่วนของเป็นสารประกอบพื้นฐานในเยื่อหุ้มเซลล์ ช่วยสร้างเนื้อเยื่อของสมองและเส้นประสาท และมีความสำคัญในการทำให้เซลล์ เนื้อเยื่อ ต่อม และอวัยวะต่าง ๆ ทำงานได้ตามปกติ แถมยังเป็นตัวช่วยในการซ่อมแซมเซลล์ที่เสื่อมสภาพ และให้พลังงานที่เสถียรกับ ร่างกายในระยะยาว

          ไขมันยังเป็นตัวที่ช่วยในเรื่องของการละลายวิตามิน A, D, E, K ซึ่งมักจะพบมากในพวกถั่วเปลือกแข็งต่าง ๆ เช่น อัลมอลด์ วอลนัท เมล็ดธัญพืชต่าง ๆ หรือแม้กระทั่งอาหารจำพวกปลาที่มีไขมันสูงก็มีประโยชน์ เช่น ปลาแซลมอน ปลาทูน่า หรือผลไม้อย่าง อะโวคาโด้ มะกอก ก็มีกรดไขมันตัวดีที่นำไปใช้ และก่อให้เกิดประโยชน์ต่อร่างกายด้วยเช่นกัน

10. กินผลไม้เยอะ ๆ มีประโยชน์

          ความเชื่อนี้เกือบจริง เพราะผลไม้เป็นสิ่งที่มีประโยชน์และมีวิตามิน แถมมีกากใยอีกต่างหาก แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าการกินผลไม้ชนิดเดียวกันมาก ๆ ต่อเนื่องยาวนานจะมีประโยชน์

          อย่างเช่น ถ้าเรากินทุเรียนหลังอาหารเย็นทุกวัน คุณคิดว่าจะทำให้สุขภาพดีขึ้นไหม เพราะในผลไม้นั้นมีน้ำตาลฟรุกโตสเป็นสารให้ความหวานหลัก ซึ่งมีโอกาสส่งผลให้ผู้ป่วยที่ป่วยเป็นโรคเบาหวาน มีอาการน้ำตาลในเลือดสูง หรือแม้กระทั่งผู้ป่วยโรคหัวใจหรือความดันโลหิตสูงก็ตาม ผลไม้บางชนิดก็ไม่เหมาะด้วยเช่นกัน


http://health.kapook.com/view20329.html

ขอขอบคุณข้อมูลจาก

เผยคนไทยป่วยมะเร็งพุ่ง มะเร็งตับ มาที่ 1



ตรวจสุขภาพ


มะเร็งคนไทยพุ่งแห่รักษาศิริราช (ไทยโพสต์)

          "นายกมะเร็งวิทยาสมาคม" เผยรายงานสำรวจสถานการณ์มะเร็งล่าสุด พบผู้ป่วยมะเร็งพุ่งเพิ่มจากเดิม 23% เสียชีวิต 156 ราย/วัน ขณะที่ รพ.ศิริราชมีผู้ป่วยเข้ารักษากว่า 8 พันราย/ปี รพ.รามา 3 พันราย/ปี และสถาบันมะเร็ง 2.5 พันราย/ปี ชี้มะเร็งเต้านมสูงเป็นอันดับ 1 ในผู้หญิง มะเร็งตับสูงเป็นอันดับ 1 ในผู้ชาย พร้อมชี้ผู้ป่วยส่วนใหญ่มีความเชื่อผิด ๆ ไม่กินเนื้อสัตว์ ทั้งที่จำเป็นต่อร่างกาย

          พญ.สุดสวาท เลาหวินิจ นายกมะเร็งวิทยาสมาคมแห่งประเทศไทย เปิดเผยถึงสถานการณ์โรคมะเร็งว่า จากข้อมูลกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) พบว่า คนไทยเสียชีวิตจากโรคมะเร็งเป็นอันดับ 1 และจากการสำรวจปี 2541-2543 พบผู้ป่วยมะเร็ง 195,780 ราย หรือ 65,260 ราย ขณะที่ปี 2544-2546 พบ 241,051 ราย หรือ 80,350 รายต่อปี โดยมีอัตราเพิ่มขึ้นร้อยละ 23

          โดยมะเร็งที่พบในผู้ชาย มะเร็งตับและทางเดินน้ำดีพบเป็นอันดับหนึ่ง รองลงมาคือ มะเร็งปอด มะเร็งลำไส้ใหญ่ มะเร็งต่อมลูกหมาก และมะเร็งต่อมน้ำเหลือง ขณะที่ผู้หญิงพบมะเร็งเต้านมอันดับหนึ่ง รองลงมาคือ มะเร็งปากมดลูก มะเร็งตับและทางเดินน้ำดี มะเร็งปอด และมะเร็งลำไส้ใหญ่

          สถิติดังกล่าวสอดคล้องกับจำนวนผู้ป่วยมะเร็งที่เข้ารักษาในโรงพยาบาล โดย รพ.ศิริราชในปี 51 มีผู้ป่วยมะเร็ง 8,256 ราย รพ.รามาธิบดีปี 51 มีผู้ป่วย 3,028 ราย และสถาบันมะเร็งแห่งชาติปี 52 มีผู้ป่วย 2,497 ราย ซึ่งมะเร็งที่พบอันดับ 1 และ 2 เป็นมะเร็งเต้านม มะเร็งตับ และมะเร็งปอดเช่นกัน

          นอกจากนี้พบว่าในปี 2552 คนไทยยังเสียชีวิตจากโรคมะเร็ง 56,058 ราย หรือ 88.34 รายต่อประชากร 1 แสนราย หรือคิดเป็น 156 รายต่อวัน โดยเพิ่มขึ้นประมาณร้อยละ 10.7 เมื่อเปรียบเทียบกับปี 2548 โดยผลสำรวจนี้เป็นข้อมูลที่รายงานในปี 2553

          พญ.สุดสวาท กล่าวว่า ในกลุ่มผู้หญิง สาเหตุที่จำนวนผู้ป่วยมะเร็งเต้านมแซงหน้ามะเร็งปากมดลูก มาจากหลายปัจจัย ทั้งในเรื่องอาหาร เช่น การกินอาหารไขมันสูง การดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ รวมไปถึงการเก็บสถิติและการตรวจคัดกรองที่ดีขึ้น ทำให้ทราบข้อมูลที่แท้จริง โดยข้อมูลที่พบนี้เป็นไปในทิศทางเดียวกับในต่างประเทศ ที่มะเร็งเต้านมสูงเป็นอันดับหนึ่ง อย่างไรก็ตามหากดูภาพรวม มะเร็งเต้านมยังมาเป็นอันดับ 3 รองจากมะเร็งตับที่เป็นอันดับ 1 และมะเร็งปอดอันดับ 2

          พญ.สุดสวาท กล่าวต่อว่า สำหรับการรักษา หากพบในระยะแรกจะใช้การผ่าตัดซึ่งจะได้ผล แต่วิธีนี้ใช้ได้เฉพาะมะเร็งบางชนิดเท่านั้น เช่น มะเร็งปอด แต่หากเป็นระยะที่ 2 หรือ 3 ต้องใช้ยาเคมีบำบัด ส่วนยาใหม่ที่เป็นยามุ่งเป้าที่เซลล์มะเร็งนั้น จะใช้ในกลุ่มผู้ป่วยมะเร็งระยะลุกลาม ซึ่งเป็นยาที่ช่วยเสริมจากการทำเคมีบำบัด ซึ่งยาเหล่านี้มีราคาแพงมาก มีค่าใช้จ่ายสูงถึง 70,000-100,000 บาทต่อเดือน ทั้งนี้การรักษาโรคมะเร็งปัจจุบันครอบคลุมทั้ง 3 ระบบ ทั้งสวัสดิการข้าราชการ ประกันสังคม และหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า

          ทั้ง นี้ การรักษาผู้ป่วยโรคมะเร็งที่ผ่านมา สิ่งที่วงการแพทย์ไทยมีความกังวล ยังคงเป็นเรื่องของความรู้ความเข้าใจของผู้ป่วยเกี่ยวกับการดูแลตนเอง อย่าง ความเชื่อเกี่ยวกับอาหาร ที่ผู้ป่วยส่วนใหญ่เชื่อว่าจะต้องไม่กินเนื้อสัตว์เลย ถือเป็นความเชื่อที่ผิด ไม่ถูกต้อง เป็นความเชื่อที่มีมานานกว่า 10 ปีมาแล้ว ทั้ง ๆ ที่โปรตีนมีความจำเป็นอย่างมาก สำหรับผู้ป่วยมะเร็งในการฟื้นฟูสภาพร่างกาย ซึ่งหากไม่อยากทานเนื้อแดง ก็ควรการกินเนื้อปลาหรือไข่ขาวทดแทน แต่หลีกเลี่ยงการปิ้งย่าง

          เช่นเดียวกับการใช้ยาสมุนไพร หรือยาลูกกลอนที่ไม่ได้มีการศึกษาทดลองแบบ มาตรฐานที่อาจทำให้เกิดผลเสีย ทั้งยังอาจทำให้หมดโอกาสในการรักษา นอก จากนี้สาเหตุที่ทำให้ผู้ป่วยมะเร็งเสียชีวิตมากที่สุดคือ ความไม่ตระหนักหรือไม่รู้ว่าเป็นมะเร็งในระยะแรก ซึ่งผู้ป่วยส่วนใหญ่มาในระยะที่มะเร็งแพร่กระจายแล้ว ยากต่อการรักษา




http://health.kapook.com/view20332.html
ขอขอบคุณข้อมูลจาก