หัวใจวาย-อัมพฤกษ์อัมพาตถามหา...ถ้าไม่แปรงฟัน (Hair)
ไม่ น่าเชื่อว่า ความบกพร่องในการดูแลสุขภาพช่องปาก เช่น การละเลยเรื่องการแปรงฟันจะส่งผลร้ายถึงขั้นทำให้เกิดอาการหัวใจวาย หรือเป็นอัมพฤกษ์อัมพาตได้
ศาสตราจารย์โฮเวิร์ด เจนกินสัน อาจารย์วิชาจุลชีววิทยาช่องปาก แห่งมหาวิทยาลัยบริสตอลในอังกฤษ ได้เสนอรายงานผลการศึกษาเรื่องนี้ต่อที่ประชุมสมาคมจุลชีววิทยาทั่วไป โดยอธิบายถึงความเกี่ยวพันของเรื่องที่เราอาจมองข้ามนี้ว่า ตามปกติแล้เชื้อแบคทีเรียตัวกลมจะอาศัยอยู่แต่ในปากเท่านั้น แต่ถ้าผู้นั้นมีแผลที่เหงือก เจ้าแบคทีเรียตัวร้ายนี้ก็อาจจะไหลไปตามกระแสเลือดได้
โดย มันจะใช้โปรตีนที่มีอยู่ตามตัวไปทำให้เกล็ดเลือดจับตัวกัน เพื่อเป็นโล่ป้องกันตัวเอง เมื่อเกล็ดเลือดจับตัวมันจะห่อหุ้มแบคทีเรียไว้ทั้งตัว กลายเป็นเกราะกำบังจากระบบภูมิคุ้มโรค หรือจากยาปฏิชีวนะที่ใช้รักษาอาการอักเสบ ถ้าเคราะห์หามยามร้าย เกล็ดเลือดที่จับตัวกันจนเป็นลิ่มเลือดเกิดไปปิดกั้นลิ้นหัวใจ หรือทำให้หลอดเลือดอักเสบก็จะไปอุดกั้นเลือดที่ไปเลี้ยงหัวใจและสมอง ซึ่งจะนำไปสู่อาการหัวใจวายหรืออัมพฤกษ์อัมพาตในที่สุด
รู้อย่างนี้แล้วอย่าลืมแปรงฟันหลังอาหารทุกครั้งด้วยล่ะ
http://health.kapook.com/view20374.html
ขอขอบคุณข้อมูลจาก
เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม
ขอขอบคุณข้อมูลจาก topnews.us
ใคร จะไปคิดว่าเทคโนโลยีที่หลาย ๆ คน จำเป็นต้องใช้อย่างเช่นตู้เอทีเอ็มนั้น จะมีความสกปรกมากเกือบเท่ากับห้องน้ำ ซึ่งสามารถทำให้ผู้ที่สัมผัสเกิดอาการคลื่นไส้และท้องร่วงได้
เรื่องดังกล่าวได้รับการเปิดเผยจากนักวิทยาศาสตร์เมืองผู้ดี ที่ได้ทำการสำรวจแหล่งสะสมเชื้อโรคที่มนุษย์ต้องสัมผัสหรือใช้งาน โดยผลการสำรวจส่วนของประชาชน ส่วนใหญ่ต่างคิดว่า "ห้องน้ำ" เป็นแหล่งรวมเชื้อโรคที่มากที่สุด ตามมาด้วย ตู้โทรศัพท์, สถานีรถไฟใต้ดิน-รถโดยสาร, เก้าอี้รถไฟ และตู้เอทีเอ็มอยู่ที่อันดับ 10 และผลการตรวจสอบตามสถานที่ต่าง ๆ "ห้องน้ำ" ก็ครองแหล่งของความสกปรกเป็นอันดับหนึ่ง ส่วนตู้เอทีเอ็มตามมาติด ๆ จนเกือบเทียบเท่าห้องน้ำเลยก็ว่าได้
นอกจากนี้ ผลวิจัยก็ระบุอีกด้วยว่า ตู้เอทีเอ็มมีเชื้อโรคที่สามารถทำให้ผู้ที่สัมผัสเกิดอาการคลื่นไส้และท้องร่วงได้ด้วย
http://health.kapook.com/view20441.html
เส้นเลือดขอดรักษาได้โดยใส่ถุงน่องจริงหรือไม่ (Woman's Story)
เนื่องจากในปัจจุบันได้มีการออกมาโฆษณาขายถุงน่องที่มีสรรพคุณ ช่วยรักษาอาการเส้นเลือดขอดให้หายได้ โดยมีราคาคู่ละ 10,000 บาท และได้รับการอนุญาตจากคณะกรรมการอาหารและยา ซึ่งจากข้อมูลดังกล่าวทำให้สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาได้ตรวจสอบพบว่า ผลิตภัณฑ์ดังกล่าว ยังไม่มีการนำเข้ามาแต่อย่างใด
อีกทั้งการโฆษณาดังกล่าว ก็ยังไม่ได้ขออนุญาตโฆษณาเครื่องมือแพทย์จากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา เช่นกัน ดังนั้นสาว ๆ อย่าได้หลงเชื่อ
จริง ๆ แล้วปัญหาเส้นเลือดขอดสามารถป้องกันได้ง่าย ๆ คือ ไม่สวมเสื้อผ้าที่คับเกินไป โดยเฉพาะบริเวณเอวและต้นขา เนื่องจากทำให้เลือดไหลเวียนไม่สะดวก หลีกเลี่ยงการยืน หรือนั่งนาน ๆ ควรพักเท้าโดยการนั่งหรือนอนยกเท้าสูงคราวละ 15 นาที หรือการพักเท้าบนม้านั่ง
นอกจากนี้ยังควรทำการฝึกกล้ามเนื้อน่องโดยการยืนตัวตรง เขย่งเท้าขึ้นลงช้า ๆ 3 ชุด ชุดละ 10 ครั้ง ซึ่งการกระทำเหล่านี้ มีส่วนช่วยให้การไหลเวียนของเลือดในเส้นเลือดดำที่ขา ไหลกลับสู่ร่างกายส่วนบนได้ดีขึ้น ในกรณีที่เริ่มเห็นอาการเส้นเลือดขอดขึ้นตามขาบ้างแล้ว การป้องกันสามารถทำได้โดยใส่ถุงน่องแบบกระชับ ก็อาจช่วยให้อาการไม่เป็นไปมากกว่าที่เป็นอยู่ หรือทำให้การดำเนินไปของโรคนี้ช้าลงไปได้
ส่วน การรักษาให้หายขาดจะใช้วิธีฉีดยาให้เส้นตีบ ไปจนกระทั่งการผ่าตัดดึงเส้นออก ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับความเหมาะสมของคนไข้ และการตัดสินใจของแพทย์ในแต่ละรายไปค่ะ
http://health.kapook.com/view20372.html
ขอขอบคุณข้อมูลจาก
มะเร็งคนไทยพุ่งแห่รักษาศิริราช (ไทยโพสต์)
"นายกมะเร็งวิทยาสมาคม" เผยรายงานสำรวจสถานการณ์มะเร็งล่าสุด พบผู้ป่วยมะเร็งพุ่งเพิ่มจากเดิม 23% เสียชีวิต 156 ราย/วัน ขณะที่ รพ.ศิริราชมีผู้ป่วยเข้ารักษากว่า 8 พันราย/ปี รพ.รามา 3 พันราย/ปี และสถาบันมะเร็ง 2.5 พันราย/ปี ชี้มะเร็งเต้านมสูงเป็นอันดับ 1 ในผู้หญิง มะเร็งตับสูงเป็นอันดับ 1 ในผู้ชาย พร้อมชี้ผู้ป่วยส่วนใหญ่มีความเชื่อผิด ๆ ไม่กินเนื้อสัตว์ ทั้งที่จำเป็นต่อร่างกาย
พญ.สุดสวาท เลาหวินิจ นายกมะเร็งวิทยาสมาคมแห่งประเทศไทย เปิดเผยถึงสถานการณ์โรคมะเร็งว่า จากข้อมูลกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) พบว่า คนไทยเสียชีวิตจากโรคมะเร็งเป็นอันดับ 1 และจากการสำรวจปี 2541-2543 พบผู้ป่วยมะเร็ง 195,780 ราย หรือ 65,260 ราย ขณะที่ปี 2544-2546 พบ 241,051 ราย หรือ 80,350 รายต่อปี โดยมีอัตราเพิ่มขึ้นร้อยละ 23
โดยมะเร็งที่พบในผู้ชาย มะเร็งตับและทางเดินน้ำดีพบเป็นอันดับหนึ่ง รองลงมาคือ มะเร็งปอด มะเร็งลำไส้ใหญ่ มะเร็งต่อมลูกหมาก และมะเร็งต่อมน้ำเหลือง ขณะที่ผู้หญิงพบมะเร็งเต้านมอันดับหนึ่ง รองลงมาคือ มะเร็งปากมดลูก มะเร็งตับและทางเดินน้ำดี มะเร็งปอด และมะเร็งลำไส้ใหญ่
สถิติดังกล่าวสอดคล้องกับจำนวนผู้ป่วยมะเร็งที่เข้ารักษาในโรงพยาบาล โดย รพ.ศิริราชในปี 51 มีผู้ป่วยมะเร็ง 8,256 ราย รพ.รามาธิบดีปี 51 มีผู้ป่วย 3,028 ราย และสถาบันมะเร็งแห่งชาติปี 52 มีผู้ป่วย 2,497 ราย ซึ่งมะเร็งที่พบอันดับ 1 และ 2 เป็นมะเร็งเต้านม มะเร็งตับ และมะเร็งปอดเช่นกัน
นอกจากนี้พบว่าในปี 2552 คนไทยยังเสียชีวิตจากโรคมะเร็ง 56,058 ราย หรือ 88.34 รายต่อประชากร 1 แสนราย หรือคิดเป็น 156 รายต่อวัน โดยเพิ่มขึ้นประมาณร้อยละ 10.7 เมื่อเปรียบเทียบกับปี 2548 โดยผลสำรวจนี้เป็นข้อมูลที่รายงานในปี 2553
พญ.สุดสวาท กล่าวว่า ในกลุ่มผู้หญิง สาเหตุที่จำนวนผู้ป่วยมะเร็งเต้านมแซงหน้ามะเร็งปากมดลูก มาจากหลายปัจจัย ทั้งในเรื่องอาหาร เช่น การกินอาหารไขมันสูง การดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ รวมไปถึงการเก็บสถิติและการตรวจคัดกรองที่ดีขึ้น ทำให้ทราบข้อมูลที่แท้จริง โดยข้อมูลที่พบนี้เป็นไปในทิศทางเดียวกับในต่างประเทศ ที่มะเร็งเต้านมสูงเป็นอันดับหนึ่ง อย่างไรก็ตามหากดูภาพรวม มะเร็งเต้านมยังมาเป็นอันดับ 3 รองจากมะเร็งตับที่เป็นอันดับ 1 และมะเร็งปอดอันดับ 2
พญ.สุดสวาท กล่าวต่อว่า สำหรับการรักษา หากพบในระยะแรกจะใช้การผ่าตัดซึ่งจะได้ผล แต่วิธีนี้ใช้ได้เฉพาะมะเร็งบางชนิดเท่านั้น เช่น มะเร็งปอด แต่หากเป็นระยะที่ 2 หรือ 3 ต้องใช้ยาเคมีบำบัด ส่วนยาใหม่ที่เป็นยามุ่งเป้าที่เซลล์มะเร็งนั้น จะใช้ในกลุ่มผู้ป่วยมะเร็งระยะลุกลาม ซึ่งเป็นยาที่ช่วยเสริมจากการทำเคมีบำบัด ซึ่งยาเหล่านี้มีราคาแพงมาก มีค่าใช้จ่ายสูงถึง 70,000-100,000 บาทต่อเดือน ทั้งนี้การรักษาโรคมะเร็งปัจจุบันครอบคลุมทั้ง 3 ระบบ ทั้งสวัสดิการข้าราชการ ประกันสังคม และหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า
ทั้ง นี้ การรักษาผู้ป่วยโรคมะเร็งที่ผ่านมา สิ่งที่วงการแพทย์ไทยมีความกังวล ยังคงเป็นเรื่องของความรู้ความเข้าใจของผู้ป่วยเกี่ยวกับการดูแลตนเอง อย่าง ความเชื่อเกี่ยวกับอาหาร ที่ผู้ป่วยส่วนใหญ่เชื่อว่าจะต้องไม่กินเนื้อสัตว์เลย ถือเป็นความเชื่อที่ผิด ไม่ถูกต้อง เป็นความเชื่อที่มีมานานกว่า 10 ปีมาแล้ว ทั้ง ๆ ที่โปรตีนมีความจำเป็นอย่างมาก สำหรับผู้ป่วยมะเร็งในการฟื้นฟูสภาพร่างกาย ซึ่งหากไม่อยากทานเนื้อแดง ก็ควรการกินเนื้อปลาหรือไข่ขาวทดแทน แต่หลีกเลี่ยงการปิ้งย่าง
เช่นเดียวกับการใช้ยาสมุนไพร หรือยาลูกกลอนที่ไม่ได้มีการศึกษาทดลองแบบ มาตรฐานที่อาจทำให้เกิดผลเสีย ทั้งยังอาจทำให้หมดโอกาสในการรักษา นอก จากนี้สาเหตุที่ทำให้ผู้ป่วยมะเร็งเสียชีวิตมากที่สุดคือ ความไม่ตระหนักหรือไม่รู้ว่าเป็นมะเร็งในระยะแรก ซึ่งผู้ป่วยส่วนใหญ่มาในระยะที่มะเร็งแพร่กระจายแล้ว ยากต่อการรักษา
http://health.kapook.com/view20332.html
ขอขอบคุณข้อมูลจาก