คุณปัสสาวะถี่เกินไปหรือเปล่า (Lisa)
คุณมีอาการอย่างนี้หรือเปล่า ปวดปัสสาวะบ่อย แม้จะมีน้ำปัสสาวะไม่เต็มกระเพาะปัสสาวะก็ตาม หรือต้องเข้าส้วมมากกว่า 20 ครั้งต่อวัน
ทั้งนี้ มีคนประมาณ 5-7 ล้านคนในประเทศเยอรมนีที่ต้องเก็บตัวไม่ไปไหนไกล ๆ ตกตอนกลางคืนก็นอนหลับไม่สบาย เพราะต้องเข้าห้องน้ำทุกชั่วโมง ซึ่ง ดร.ไฮซ์ โคลบ์ จากคลินิกสตรีในมหาวิทยาลัยไมนซ์ได้อธิบายว่า ส่วนใหญ่เกิดจากจิตใจ จึงควรไปพบแพทย์ เพราะมียารักษา หรือควรฝึกพฤติกรรมต่าง ๆ
อย่างเช่น การจดบันทึกและการฝึกเข้าห้องน้ำ โดยจดปริมาณน้ำที่ดื่ม และความถึ่ในการเข้าห้องน้ำ เพื่อจะได้เปลี่ยนแผนการดื่มน้ำ เช่น ดื่มในช่วงกลางคืนให้น้อยลง เพื่อจะได้ไม่ต้องเข้าส้วมบ่อย นอกจากนี้ ก็ควรควบคู่กับการฝึกเข้าห้องน้ำ โดยการเข้าให้น้อยลง โดยถ้าหากไม่ปวดก็ไม่ต้องเข้าและไม่เบ่ง ปล่อยให้ปัสสาวะเองตามธรรมชาติ
ดื่มน้ำอย่างเหมาะสม จะได้ไม่เข้าห้องน้ำบ่อย
http://health.kapook.com/view20305.html
ขอขอบคุณข้อมูลจาก
มะเร็งเต้านม คุกคามหญิงไทยปีละ 1.2 หมื่น ตาย 5 พัน (ไทยโพสต์)
"จุรินทร์" เผยสตรีไทยเป็นมะเร็งเต้านมปีละ 12,000 ราย เสียชีวิตปีละ 5,000 ราย จัดอบรมตรวจมะเร็งเต้านมด้วยตนเองแก่ อสม.ทั่วประเทศ
นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) พร้อมด้วย นพ.สมชัย ภิญโญพรพาณิชย์ อธิบดีกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ และคณะ เปิดโครงการรวมพลัง อสม.ทั่วไทยต้านภัยมะเร็งเต้านม พร้อมมอบประกาศนียบัตรให้ อสม.จังหวัดเพชรบุรีที่ผ่านการอบรมการตรวจคัดกรองมะเร็งเต้านมด้วยตนเอง จำนวน 5,000 คน
นายจุรินทร์กล่าวว่า สัปดาห์นี้เป็นสัปดาห์อบรมให้ความรู้ อสม.ในเรื่องการรณรงค์ตรวจคัดกรองมะเร็งเต้านมด้วยตนเอง ที่ผ่านมา สธ.ได้จัดอบรม อสม.ไปแล้ว 5 แสนคน จากทั้งหมด 1 ล้านคนในสัปดาห์นี้ ระหว่างวันที่ 12-16 ม.ค.2554 จะอบรม อสม.อีก 5 แสนคนที่เหลือ ให้มีความรู้ความเข้าใจในการตรวจมะเร็งเต้านมด้วยตนเอง เพื่อนำไปสอนสตรีในชุมชนหมู่บ้านต่าง ๆ โดยการอบรมจะดำเนินการพร้อมกันทั่วประเทศ
รม ว.สธ.กล่าวว่า การตรวจมะเร็งเต้านมด้วยตนเอง จะเน้นการเริ่มต้นตรวจตั้งแต่ในสตรีอายุ 20 ปีขึ้นไป โดยขณะนี้มะเร็งที่คุกคามสตรีไทยมากที่สุดคือ มะเร็งเต้านม รองลงมาคือมะเร็งปากมดลูก สำหรับมะเร็งเต้านมมีผู้ป่วยรายใหม่ปีละ 12,000 ราย เสียชีวิตปีละ 5,000 ราย ซึ่ง สธ.ตั้งเป้าลดตัวเลขผู้ป่วยและผู้เสียชีวิตลงให้มากที่สุด
"โรค มะเร็งเต้านม หากตรวจพบตั้งแต่ระยะเริ่มต้นสามารถที่จะรักษาให้หายขาดได้ โดยการสอนให้สตรีไทยตรวจเต้านมด้วยตนเองได้ หากพบผิดปกติจะได้รับการตรวจยืนยันด้วยเครื่องแมมโมแกรมต่อไป หากรีบเข้าสู่กระบวนการรักษาตั้งแต่ระยะเริ่มต้น ก็จะสามารถรักษาให้หายขาดและจำนวนผู้เสียชีวิตให้ลดลง"
http://health.kapook.com/view20510.html
ขอขอบคุณข้อมูลจาก
ASTVผู้จัดการออนไลน์ | 4 สิงหาคม 2554 16:01 น. |
โดย : กุ๊กเล็ก
มื้อนี้ “กุ๊กเล็ก” อยากจะทำเมนูอร่อยจัดจ้านแต่อิ่มเบาๆ สบายท้องดูบ้าง แต่ตำรับของ “กุ๊กเล็ก” นั้นต้องทำง่ายอยู่แล้ว ก็เลยเลือกเมนู “ยำมะเขือยาว” มานำเสนอกันให้ลองชิม
ส่วนผสมมีดังนี้
มะเขือยาว 2-3 ลูก
ไข่ไก่ต้ม 2 ฟอง
หอมแดง 2 หัว
หมูสับ 50 กรัม
พริกขี้หนู 4 เม็ด
น้ำปลา 1 ½ ช้อนโต๊ะ
น้ำมะนาว 2 ช้อนโต๊ะ
น้ำตาลทราย 2 ช้อนชา
วิธีทำเริ่มจากนำมะเขือยาวมาตัดขั้วออก แล้วนำไปเผาจนสุก (ระวังอย่าให้ไหม้) แล้วลอกเปลือกออก หั่นมะเขือยาวเป็นท่อนๆ พักใส่จานไว้ นำหมูสับไปลวกจนสุก นำพริกขี้หนูมาซอย และนำหอมแดงมาซอยบางๆ ทำน้ำยำโดยผสมน้ำตาล น้ำปลา และน้ำมะนาวเข้าด้วยกัน (เพิ่มเติมรสชาติได้ตามชอบ) ใส่พริกขี้หนูและหอมแดงที่เตรียมไว้ ใส่หมูสับที่ลวกสุกแล้ว ตักใส่ถ้วยเล็กๆ เสิร์ฟพร้อมกับมะเขือยาวในจาน และไข่ต้มเพิ่มโปรตีนให้กับเมนูอร่อยในมื้อนี้
ครีมหน้าขาวก่อ "มะเร็ง" สธ. พบ วัยรุ่น-สาวเทียมนิยมใช้ (ไทยโพสต์)
เตือนวัยรุ่น สาวประเภทสอง ใช้ครีมกัดผิว เปลี่ยนสีผิวให้ขาวใสทันใจเป็นเหมือนเกาหลี เสี่ยงเนื้องอก - มะเร็งผิวหนัง
นายแพทย์สุพรรณ ศรีธรรมมา โฆษกกระทรวงสาธารณสุข เปิดเผยว่า ปัจจุบันสังคมไทยกำลังนิยมการมีสีผิวขาวใส เพราะเชื่อว่าสามารถทำให้ดูดีขึ้น ดูสดใสเหมือนชาวเกาหลี โดยเฉพาะในกลุ่มวัยรุ่นชาย-หญิง และเริ่มแพร่หลายในกลุ่มนักเรียนมัธยมต้น โดยเฉพาะสาวประเภทสองจะนิยมใช้มาก เนื่องจากเข้าใจว่าทำให้ผิวขาวเนียนเหมือนผู้หญิง และทำให้ขนตามแขนขาเปลี่ยนจากสีดำเป็นสีทอง ดูไม่น่าเกลียดเมื่อใส่ชุดโชว์เรือนร่าง จึงหันมาใช้ครีมเปลี่ยนสีผิว เนื่องจากราคาถูก ใช้แล้วเห็นผลเร็ว หาซื้อง่ายตามตลาดนัด ร้านเสริมความงาม และมีขายทางอินเทอร์เน็ตจำนวนมาก
"ครีมเปลี่ยนสีผิวนั้นจะมีส่วนผสมหลักก็คือ สารไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์ (Hydrogenperoxide) สารนี้มีฤทธิ์กัดกร่อนระคายเคืองสูง อาจทำให้เกิดระคายเคือง แสบ คัน และเป็นผื่น จะมีลักษณะเป็นน้ำ ในทางการแพทย์นำมาใช้ในการทำความสะอาดแผลที่ทำความสะอาดได้ยาก เช่น แผลลึก ปากแผลแคบ จากตะปูตำ ถูกแทง เป็นต้น" นพ.สุพรรณกล่าว
โฆษกสาธารณสุข กล่าวว่า เมื่อถูกบาดแผล ไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์จะกลายเป็นฟอง สามารถชำระสิ่งสกปรก เชื้อโรค เศษดินต่างๆ ที่อยู่ในแผลออกมา โดยในการใช้จะนำมาผสมกับน้ำในสัดส่วนไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์ 1 ส่วนต่อน้ำ 20 หรือ 30 ส่วน เป็นต้น นอกจากนี้ สารดังกล่าวยังมีการนำมาใช้กัดสีผม ย้อมผม ผสมในยาสีฟัน กัดสีขน และใช้ในอุตสาหกรรมบางประเภท ทั้งนี้ ผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางทุกชนิดจัดเป็นเครื่องสำอางควบคุมตามประกาศกระทรวง สาธารณสุข เรื่องการกำหนดเครื่องสำอางควบคุม ลงวันที่ 8 กรกฎาคม 2551 ดังนั้นผู้ผลิตหรือผู้นำเข้าเครื่องสำอางที่มีส่วนผสมของไฮโดรเจนเปอร์ ออกไซด์ต้องมาขอขึ้นทะเบียนกับสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา ก่อนผลิตหรือนำเข้าเครื่องสำอางนั้น ๆ โดยอนุญาตให้ผสมในผลิตภัณฑ์สำหรับเส้นผมในอัตราส่วนไม่เกิน 12 เปอร์เซ็นต์ ผลิตภัณฑ์สำหรับเล็บไม่เกิน 2 เปอร์เซ็นต์ ผลิตภัณฑ์เพื่อสุขอนามัยในช่องปากไม่เกิน 0.1 เปอร์เซ็นต์ ผลิตภัณฑ์ฟอกสีฟันไม่เกิน 6 เปอร์เซ็นต์ และผลิตภัณฑ์สำหรับผิวหนังไม่เกิน 4 เปอร์เซ็นต์ หากเกินอัตราส่วนที่กำหนดถือว่าเป็นเครื่องสำอางผิดกฎหมาย
ด้านนายแพทย์จิโรจ สินธวานนท์ ผู้อำนวยการสถาบันผิวหนัง กรมการแพทย์ กล่าวว่า การนำสารไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์มาใช้กับผิวโดยตรง ถือว่าเป็นการนำมาใช้ผิดวัตถุประสงค์ เพราะไม่ได้มีข้อบ่งชี้กำหนดว่าให้ใช้สารนี้ในการฟอกสีผิว แต่เพราะค่านิยมในปัจจุบันจึงมีการนำมาใช้ผสมในครีมกัดผิวในเปอร์เซ็นต์ที่ มีความเข้มข้นสูง เมื่อนำสารไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์หรือครีมที่ส่วนผสมของสารนี้มาใช้กับผิวหนัง เพื่อหวังให้ผิวขาว สารนี้จะไปกัดผิวชั้นนอกออก จึงทำให้ผิวดูขาวขึ้นจริง แต่จะขาวได้ในระดับหนึ่งเท่านั้น และหากใช้ตั้งแต่อายุยังน้อยและใช้บ่อยๆ จะทำให้ผิวหนังซึ่งเป็นเกราะป้องกันโดยธรรมชาติเสื่อมหรือบางลง เมื่อทาครีมหรือสารชนิดอื่นที่ผิวหนังก็จะเกิดการซึมซับของสารได้ง่ายกว่า ปกติ ทำให้เกิดอาการแพ้ระคายเคืองได้ง่ายขึ้น
ประการสำคัญ ผิวหนังที่ผ่านการใช้สารกัดผิวมาแล้วจะมีความทนทานต่อแสงแดดน้อยลง เนื่องจากสารเม็ดสีในผิวหนังที่เรียกว่าสารเมลานิน (Melanin) จะโดนฟอกออกไปด้วย ทำให้สารเม็ดสีน้อยลง หากใช้เป็นเวลานานจะเกิดอาการผิวแพ้ง่าย เมื่อโดนแสงแดด เหงื่อออกหรืออยู่ในที่ร้อน ๆ ผิวหนังจะตึงและมีอาการแสบ คัน หากโดนแสงแดดซ้ำบ่อยๆ อาจทำให้เกิดรอยเหี่ยวย่นที่ผิวก่อนวัยอันควรได้ง่ายขึ้น ที่สำคัญเซลล์ผิวหนังที่มีเม็ดสีน้อย เมื่อโดนแสงแดดมากๆ หรือเป็นเวลานานๆ จะถูกทำลายลึกไปถึงระดับโมเลกุลและระดับดีเอ็นเอด้วย จะเกิดการเปลี่ยนแปลง เกิดเป็นตุ่ม เป็นเม็ดแข็ง เป็นเนื้องอกผิวหนัง มีแนวโน้มที่จะเป็นมะเร็งผิวหนังได้มากกว่าผิวธรรมดา
นพ.จิโรจ กล่าวว่า อยากจะทำความเข้าใจกับวัยรุ่นว่าผิวคนเรานั้นเกิดจากพันธุกรรม สายพันธุ์แตกต่างกันไป ซึ่งผิวทุกสีทุกลักษณะจะดูดีในแบบของตัวเอง บางคนที่ผิวเข้มก็สามารถทำให้ผิวเนียน สวย ดูดีได้ ซึ่งมีหลายวิธี เช่น การอาบน้ำทำความสะอาดร่างกายสม่ำเสมอ รับประทานอาหารที่มีโปรตีน เช่น เนื้อสัตว์ คาร์โบไฮเดรต วิตามินอีและวิตามินซี หรืออาหารที่มีแอนตี้ออกซิแดนต์ เช่น ผักผลไม้ที่มีสีเหลือง เช่น ฟักทอง แครอต เพื่อดักของเสียออกจากร่างกายหรือผิวหนัง ทาครีมให้ความชุ่มชื้นแก่ผิวหลังอาบน้ำเช้า เย็น หรือทาบ่อยๆ เท่าที่ต้องการ และควรหลีกเลี่ยงแสงแดด
นอกจากนั้น เรื่องของจิตใจ เช่น ความเครียด การนอนดึก จะกระตุ้นให้ต่อมใต้สมองมีการกระตุ้นการสร้างสารเมลานินมากขึ้น ทำให้ผิวหมองคล้ำ จึงควรทำจิตใจให้ผ่องใส พักผ่อนให้เพียงพอ และออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ
ขอขอบคุณข้อมูลจาก