"Paulaner Garden" เบียร์ยอด อาหารเยี่ยม

ที่มา manager



บรรยากาศโต๊ะนั่งเย็นสบายภายในบ้านของร้าน Paulaner Garden

       ตามหลักหยินหยาง ร้อนต้องแก้ด้วยเย็น
    
       เพราะ ฉะนั้นหน้าร้อนนี้ที่อากาศร้อนระยับ การดื่มเบียร์เย็นๆในบรรยากาศสบายๆถือเป็นหนึ่งในการคลายร้อนของ "ตระเวนกิน"ที่ช่วยได้ไม่น้อยเลยทีเดียว ยิ่งถ้าเป็นเบียร์ "Paulaner" (พอลลาเนอร์) เบียร์เยอรมันชื่อดังจากเมืองมิวนิกด้วยแล้ว ก็ยิ่งช่วยเพิ่มอรรสรถในการดื่มกินให้รื่นรมย์มากขึ้น
    
       และแน่นอนว่าถ้าคิดจะดื่มเบียร์ Paulaner สถานที่อย่างร้าน "Paulaner Garden" นั้นถือเป็นตัวเลือกในระดับหัวแถวที่น่าสนใจเป็นอย่างยิ่งของเหล่ามิตรรักนักดื่ม







บ้านเก่าถูกเนรมิตให้เป็นร้านอาหารในบรรยากาศลานเบียร์

       คุณต๋อย กานต์พิชชา คงสมบัติ เจ้าของร้านผู้รุ่มรวยรอยยิ้มและอัธยาศัยไมตรี ที่นิยมชมชอบออกมาเทกแคร์ลูกค้าที่มาดื่ม-กินในร้าน กล่าวถึงที่มาที่ไปของร้าน Paulaner Garden ว่า เธอได้เป็นตัวแทนนำเข้าเบียร์ Paulaner จากเยอรมันมานานกว่า 10 ปีแล้ว แล้ววันหนึ่งจึงเกิดความคิดว่าน่าจะเปิดร้านอาหารเล็กๆ ขายเบียร์ที่ตัวเองนำเข้ามา แต่เมื่อทำไปทำมากลับกลายมาเป็นร้านค่อนข้างใหญ่โตอย่างที่เห็น







บรรยากาศร้านด้านนอก

       Paulaner Garden เป็นร้านเก๋มีสไตล์ โดดเด่นด้วยการนำเอาบ้านเก่าสไตล์โคโลเนียนสมัย ร.5 มาจัดแต่งเป็นร้านอาหาร โดยจัดพื้นที่ชั้นล่างเป็นส่วนดื่มกินในบรรยากาศสบายๆเป็นกันเอง มีเคาเตอร์บาร์บริการเครื่องดื่มแบบครบครัน จัดชั้น 2 เป็นห้องจัดเลี้ยง ส่วนพื้นที่ด้านนอกจัดเป็นสวนเท่ๆ บรรยากาศโปร่งโล่ง มีโต๊ะเก้าอี้ม้านั่งยาวที่อิมพอร์ตมาเป็นพิเศษจากเยอรมันมาให้นั่งดื่มกิน กันตามใจชอบ พร้อมด้วยส่วนของครัวเปิดโชว์การทำอาหารให้เห็นกันจะจะ และมีมุมบาร์บริการเครื่องดื่มกันอย่างเต็มที่
    
       จากส่วน ของบรรยากาศร้านอันชวนเพลินเพลิด มาถึงเบียร์ Paulaner เครื่องดื่มชูโรงของร้าน ที่มีทั้งเบียร์สดและเบียร์ขวดให้เลือกดื่มด่ำกัน







เบียร์สดพอลลาเนอร์ 4 ชนิดที่ชวนดื่ม

       สำหรับเบียร์สดของที่นี่ มี 4 ชนิดเด่นๆด้วยกัน คือ ไวเซ่นเบียร์ เป็นเบียร์ที่ไม่ได้ผ่านการกลั่น น้ำเบียร์มีสีเหลืองขุ่น ให้รสนุ่ม มีกลิ่นหอม ฟองนุ่ม ออริจินัลเบียร์ เป็นเบียร์สดที่ผ่านการกลั่น ได้เบียร์ที่เหลืองใสสีอำพัน รสนุ่มคอ ชนิดที่สามคือ ดุนเคิลเบียร์ เป็นเบียร์ดำ เกิดจากการเอามอลล์ไปคั่วให้ดำ และไม่ได้กลั่น เบียร์จึงมีสีขุ่น แต่กลิ่มหอมนัก ให้รสกลมกล่อม และชนิดสุดท้ายคือ ออริจินัล ดุนเคิลเบียร์ เป็นเบียร์ดำที่เอามากลั่น ทำให้ได้เบียร์ที่มีกลิ่นหอมมาก และรสก็เข้มข้นมากขึ้น (ราคาเบียร์ทั้ง 4 ชนิด คือ 3 ลิตร หรือ 1 ทาวเวอร์ 1,100 บาท, 0.5 ลิตร 190 บาท, 0.3 ลิตร 140 บาท, 0.25 ลิตร 100 บาท)
    
       นอกจากเบียร์สดแล้วที่นี่ยังมีเบียร์ขวดพอลลาเนอร์ชวนดื่มอย่าง ซัลวาเตอร์ (160 บาท) ออริจินัล ลาเกอร์ (150 บาท) พิลส (150 บาท) และก็มีเบียร์ขวดตระกูล Hacker-Pschorr สเทินไวส์ มุนเชอร์เนอร์ โกลด์ และ อันโน 1417 (แต่ละชนิดราคาขวดละ 230 บาท)







ขนมปังเพรสเซล

       ครั้น จะดื่มแต่เบียร์อย่างเดียวก็กระไรอยู่ เพราะถ้าจะให้ได้อรรถรสแห่งการดื่ม-กินอย่างเต็มที่ ก็ต้องดื่มเบียร์แกล้มกับอาหารรสเลิศควบคู่กันด้วย ซึ่งที่นี่มีอาหารนานาชนิดไว้บริการ แต่ส่วนใหญ่จะเน้นไปที่อาหารเยอมัน แจมด้วยอาหารไทย อิตาเลียน สเปน และอาหารแนวฟิวชั่นที่ทางร้านคิดค้นสูตรเด็ดขึ้นมาเอง
    
       สำหรับ อาหารจานเด่นที่ชวนกินของที่นี่นั้นมีมากหลายกว่า 100 รายการ แต่ในมื้อนี้เราขอเลือกนำเสนอเมนูจานเด็ดที่ขายดี มากินคู่กับเบียร์เย็นๆ อย่าง ขนมปังเพรสเซล ( 160 บาท) เป็นเมนูทานเล่น ตัวขนมปังกรอบนอกนุ่มใน กินคู่กับตับหมูบดผสมเครื่องเทศรสเด็ดถูกปากไม่ใช่น้อย







ไส้กรอกบาวาเรียนรวม

       จากนั้นมาอร่อยกับเมนูเยอรมัน ไส้กรอกบาวาเรียนรวม (280 บาท) มีไส้กรอก 3 แบบมาในจาน อย่างแรกเป็นไส้กรอกทูริงเจอร์ ไส้กรอกหมูผสมเครื่องเทศ กินแล้วสัมผัสได้ถึงเนื้อหมูล้วนนุ่มปากออกรสชาติเครื่องเทศกำลังดี อีกตัวเป็นไส้กรอกหมูผสมชีสกินแล้วถูกปากดี สุดท้ายเป็นไส้กรอกบราทเวิร์ส เป็นไส้กกรอกหมูรสเข้มข้นเต็มปากเต็มคำ







ขาหมูเยอรมัน

       ตามมาด้วย ขาหมูเยอรมัน (450 บาท) เป็นเมนูเด่นดังที่ไม่ควรพลาดสั่ง และสาวๆ ที่กลัวมัน กลัวอ้วนไม่ต้องกลัว เพราะเป็นขาหมูเยอรมันที่ไม่ได้ผ่านการทอด แต่ทำให้สุกหนังแห้งกรอบเนื้อในนุ่มด้วยการใส่เตาหมุนขาหมูจึงนุ่มชุ่มเนื้อ หนังกรอบไม่มันมาก ถูกปากจริงๆ







พอลลาเนอร์ บาร์บีคิวซี่โครงหมู

       พอลลาเนอร์ บาร์บีคิวซี่โครงหมู (280 บาท) เมนูนี้ทางร้านคิดขึ้นมาเอง เป็นซี่โครงหมูหมักกับเครื่องเทศสูตรพิเศษและกริลล์มาจนสุก ลิ้มรสซี่โครงหมูเนื้อนุ่มหวานออกรสชาติเครื่องหมักถูกลิ้น







สปาเก็ตตี้หมึกดำซีฟู้ด

       แล้วมากิน สปาเก็ตตี้หมึกดำซีฟู้ด (150 บาท) เส้นสปาเก็ตตี้เส้นดำผัดน้ำมันมะกอกใส่เครื่องทะเลปลาหมึก กุ้ง หอลแมลงภู่นิวซีแลนด์ ใส่เครื่องเทศอิตาเลียน และพิเศษตรงที่ใส่เบียร์ดำลงไปหน่อย ชูรสชาติให้สปาเก็ตตี้เส้นดำเหนียวนุ่ม รสละมุนกลมกล่อม







พิซซ่าเยอรมันหน้าเซลามี

       ยังไม่หมดเพียงเท่านี้สำหรับเมนูจานเด็ดที่น่ากินยังมีอีกเพียบ อาทิ พิซซ่าเยอรมันหน้าเซลามี (280 บาท) ที่ไม่มีที่ไหนเหมือน เพราะแป้งบางกรอบอย่างกับขนมปังแคร็กเกอร์หน้าเซลามีรสดีออกเผ็ดนิดๆ แล้วก็มี เนื้อทอดกระเพรากรอบ (150 บาท) ปลาหมึกทรายทอง (150 บาท) ซีฟู้ดทะเลนึ่งมะนาว (290 บาท) ปูนิ่มผัดกับพริกไทยดำ v.s.o.p. ซอส (320 บาท)







ดื่มเบียร์เย็นๆ สักแก้ว

       และ อีกสารพัดเมนูมากมาย แล้วในแต่ละเดือนก็จะมีเมนูใหม่ๆ ที่ทางร้านคิดค้นขึ้นมาให้ได้ชิมรสชาติกันแบบไม่จำเจ งานนี้เรียกว่าหากมิตรรักนักดื่มและนักกินท่านใด กำลังเมียงมองหาร้านน่านั่งกิน-ดื่มอยู่ล่ะก็ "Paulaner Garden" ถือเป็นตัวเลือกระดับหัวแถวที่น่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง
    
       * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * *







ครัวเปิดด้านนอกร้าน

       "Paulaner Garden" (พอลลาเนอร์ การ์เด้น) ตั้งอยู่ที่ 42/99 หมู่ 7 ถ.สามัคคีใหม่ ต.บางตลาด อ.ปากเกร็ด จ.นนทบุรี การเดินทางถ้ามาจากแยกหลักสี่ วิ่งมาตามถ.แจ้งวัฒนะ วิ่งผ่านเซ็นทรัลแจ้งวัฒนะ แล้วเตรียมชิดซ้ายเลี้ยวเข้าถ.สามัคคีใหม่ วิ่งตรงไปแล้วกลับรถมา ร้านพอลลาเนอร์ การ์เด้นจะอยู่ริมถนนทางซ้ายมือ มีที่จอดรถกว้างขวาง เปิดทุกวัน เวลา 17.00-24.00 น.โดยทุกวันศุกร์ 20.00-22.00 น. จะมีดนตรีสดมาเล่นให้ฟังกันเพลินๆ ควรโทร.มาจองโต๊ะล่วงหน้า และทางร้านรับจัดงานเลี้ยงต่างๆ


ที่มา manager

"สปาเก็ตตี้ปูอัดผัดผัก 3 สี" รสดี กินมีประโยชน์

credit Manager.co.th



มื้อ นี้ "กุ๊กเล็ก" ขอเอาใจมิตรรักนักครัวที่ชอบทำอาหารเพื่อสุขภาพกันสักหน่อย เพราะว่าเรามีสูตรอาหารจานเส้นสปาเก็ตตี้โฮลวีทแสนอร่อยมานำเสนอ กับเมนูนี้ที่มีชื่อว่า "สปาเก็ตตี้ปูอัดผัดผัก 3 สี" แถมยังกินดีมีประโยชน์ต่อสุขภาพ

สำหรับเส้นสปาเก็ตตี้โฮลวีทนี้ มีคุณค่าทางโภชนาการสูง เพราะทำมาจากเมล็ดข้าวสาลีเต็มเมล็ด ที่มีทั้งจมูกข้าวและรำข้าว ซึ่งอุดมไปด้วยสังกะสี แมกนีเซียม วิตามินอี วิตามินบี 6 และเส้นใยอาหาร

ว่าแล้วอย่าพิรี้พิไรให้เสียเวลาเลย มาเตรียมส่วนผสมแล้วเดินหน้าเข้าครัวกันดีกว่า

ส่วนผสมมีดังนี้ (สำหรับ 2 ที่)

เส้นสปาเก็ตตี้โฮลวีทต้มสุก 2 ถ้วย
ปูอัดหั่นเป็นแท่งยาว 1 ซม. 6 แท่ง
เม็ดข้าวโพดหวานต้มสุก 1/2 ถ้วย
แครอทหั่นลูกเต๋า 1/2 ถ้วย
เม็ดถั่วลันเตา 2 ช้อนโต๊ะ
ซอสปรุงรส 1 ช้อนโต๊ะ
น้ำตาลทราย 2 ช้อนชา
น้ำมันพืช 2 ช้อนโต๊ะ

หลังจากที่ได้เตรียมส่วนผสมกันเรียบร้อยแล้ว ก็มาถึงขั้นตอนการลงมือปรุงกันได้เลย ซึ่งไม่ได้ยุ่งยากอะไรเลย โดยเริ่มจากตั้งกระทะน้ำมันด้วยไฟกลางให้ร้อน จากนั้นนำปูอัดลงไปผัด ใส่เส้นสปาเก็ตตี้โฮลวีทที่ต้มสุกแล้วลงไปผัด

แล้วก็ตามด้วยเม็ดข้าวโพดหวานต้มสุก แครอท เม็ดถั่วลันเตา พร้อมกับปรุงรสด้วยซอสปรุงรส น้ำตาลทราย แล้วก็ผัดเครื่องทุกอย่างให้เข้ากัน เพียงเท่านี้ก็เป็นอันว่าเสร็จสรรพ ตัก"สปาเก็ตตี้ปูอัดผัดผัก 3 สี" ใส่จานเสิร์ฟร้อนๆ อิ่มอร่อยกันไป


ที่มา manager

วุ้นลำใย

ที่มา คุณ Neverland bloggang.com
ช่วงนี้ลำใยเยอะเลยเอามาประยุกต์ทำขนมดีกว่า
คนอื่นจะประยุกต์ใช้อย่างอื่นแทนลำใยกับเม็ดแมงลักก็ได้นะ
เพราะสูตรทำวุ้นให้ขนมแข็งแข็งก็ใช้ปริมาณแค่นี้แระ
ขึ้นอยู่กับว่าจะใช้อะไรเป็นตัววัตถุดิบ




ส่วนผสม

วุ้นผง 2 ช้อนโต๊ะ
น้ำเปล่าต้มวุ้น 2 ลิตร
เม็ดแมงลัก 2 ช้อนโต๊ะ
ลำใยแกะเม็ดออก 2-3 ถ้วย
น้ำตาลทราย 1 ถ้วย
(ถ้าชอบหวานก็เพิ่มอีกได้)

มีเพื่อนหลังไมค์มาถามหน้าตายี่ห้อผงวุ้นเลยถ่ายรูปมาให้ดูคะ



ลำใยกับเม็ดแมงลัก




ลงมือทำ

น้ำประมาณ 1 ลิตรแช่เม็ดแมงลักทิ้งไว้



ไม่กี่นาทีฟูเป็นเหมือนไข่กบไข่อึ่งอ่างเลย



ปอกเปลือกลำใยแงะเอาเม็ดออก
ทำไปด้วยแอบกินไปด้วย ก็ขาวใสซะน่ากินเนอะ



ต้มน้ำพอร้อนใส่ลำใยลงไป



สักพักใส่น้ำตาลทรายตาม

พอน้ำตาลละลายใส่ผงวุ้นแล้วรีบคนให้ละลาย
เดี๋ยววุ้นจะจับตัวเป็นก้อน แปบนึงวุ้นละลายปิดเตา

ใส่เม็ดแมงลักที่กรองเอาน้ำออกแล้วใส่ตามไป

ทิ้งไว้ให้พออุ่นอย่าทิ้งจนลืมละแข็งคาหม้อจะยุ่งนา



เอาใส่พิม แต่ดิฉันขี้เกียจแกะพิม เล็กไม่ชอบชอบหญ่ายๆๆ
พอดีซื้อยกแพคถ้วยใส่ขนมขายมาเลยใส่ถ้วยแบบนี้ ถ้าชอบสีๆสดใส ก็เอาน้ำแดงเฮลบลูบอยใส่ถ้วยละ 1 ช้อนชา คนให้เข้ากัน



พอวุ้นเย็น ก็จะแข็งเด้งดึงหม่ำได้
ขี้เกียจก็ช้อนตักกินในถ้วย
ขยันอยากกิ๊บเก๋ คุขิ เหมือนญี่ปุ่น ก็เทใส่จาน

**เทคนิคเสริม
ที่ใส่ลำใยไปพร้อมต้มน้ำตาล เพราะ อยากให้ได้รสและกลิ่นลำใยมีในวุ้นด้วย

แต่ถ้าอยากให้ผลไม้ดูสด ก็ต้มแค่น้ำ น้ำตาลกับวุ้นก่อน
พอจะเอาใส่พิมค่อยใส่ผลไม้ตาม



ถ้าไม่ใส่เม็ดแมงรักก็หน้าตาเหมือนลำใยกระป๋องแช่แข็ง อิอิ



เปิดออกมาก็น่าหม่ำเหมือนกันน๊า



ไก่ต้มน้ำปลา

ที่มา คุณ เนเวอร์แลนด์ bloggang.com






ส่วนผสม

ใช้ไก่เป็นชิ้นพวกน่อง สะโพก 1/2 กิโล

น้ำปลา 4 ทัพพี
ซอสภูเขาทอง 4 ทัพพี
น้ำมันหอย 1 ช้อนโต๊ะ
ซีอิ้วดำ 1 ช้อนโต๊ะ
(ซอส ซีอิ๊วดำถ้าไม่มีไม่ใส่ก็ได้ปริมาณทดแทนเพิ่มน้ำปลาแทน)


ส่วนผสมเพิ่มความหอม
(จะไม่ใส่ก็ได้)

รากผักชีทุบ 2 ราก
ตะใคร้ 1 ต้น
กระเทียมสับละเอียด 1 หัว
ใบมะกรูด 3 ใบ
ข่าหั่นแว่น 1 หัว
น้ำเปล่ากะประมาณให้ท่วมตัวไก่

ทริป
-ที่เขาทำขายจะใช้ไก่บ้าน 1 ตัว แต่ชอบกินไก่พันธุ์เนื้อนุ่มมากกว่าไก่บ้านเนื้อน้อยเหนียว ขี้เกียจสับไก่ด้วยเลยใช้ไก่เป็นชิ้น
-ถ้าอยากให้ไก่สีเหลืองก็ใส่ขมิ้นเหลือง ยาวประมาณ 1 นิ้ว แต่ไม่ชอบเลยไม่ใส่





วิธีทำ

ต้มน้ำให้เดือดใส่ ข่า ตะไคร้ รากผักชี กระเทียม รอจนน้ำเดือด





ปรุง รสด้วยน้ำตาล ซีอิ้วดำ น้ำปลาซอส น้ำมันหอยคนพอให้เข้ากัน ตามด้วยใส่ไก่ลงไป ต้มเคี่ยวด้วยไฟอ่อน 30 นาทีขึ้นไปจนกว่าไก่จะสุกนิ่ม
วิธีเช็คว่าไก่สุกเอาส้อมจิ้มไปตรงเนื้อไก่ลึก ๆเเล้วดึงออก ถ้ามีน้ำสีชมพูไหลออกมาเเสดงว่าไก่ยังไม่สุกต้มต่อจนกว่าไก่จะสุกหรือนุ่ม







สูตรน้ำจิ้ม

พริกสด สับละเอียด 1 ช้อนโต๊ะ
น้ำตาล 1 ช้อนโต๊ะ
น้ำมะนาว 2 ช้อนโต๊ะ
ผักชีใช้ใบ,ต้น,ราก 1 ราก
กระเทียมสับ 2 กลีบ
พริกไทยนิดนึง
น้ำปลา 1 ช้อนโต๊ะ
น้ำที่เราต้มไก่ 1 ช้อนโต๊ะ



วิธีทำ

- โขลก พริก กระเทียม ผักชี พริกไทย ให้ละเอียด
- ปรุงรสด้วย น้ำปลา น้ำตาล น้ำมะนาว แล้วก็น้ำที่ต้มไก่ก็ได้ คนส่วนผสมให้เข้ากันได้น้ำจิ้มเเซ่บเปรี้ยวเผ็ดร้อน




ตักไก่ใส่จานเสริฟราดน้ำซุปที่ต้มไก่สักทัพพี กินกับข้าวสวยร้อน ๆ จิ้มน้ำจิ้มรสแซ่บ




ไก่เปื่อยสุกนิ่มดีมาก


อร่อยเลิศรส 'สลัดกุ้งมังกร' หอมชวนลอง น่องแกะกับไวน์ซอส

credit http://www.mcdangguide.com
สวัสดีปีใหม่ครับเพื่อน ๆ หวังว่าจะสนุกสนานและมีความสุขกันทุกคนนะครับ ช่วงระหว่างงานฉลองคริสต์มาสและปีใหม่ที่ผ่านมาหมาด ๆ ผมได้กลับมาอยู่ที่กรุงเทพฯ ซึ่งในช่วงนี้ส่วนใหญ่ผมจะไม่ได้ใช้เวลาอยู่ในประเทศไทย เพราะผมจะไปอยู่ที่อเมริกา ฉลองปีใหม่กับเพื่อน ๆ และครอบครัวที่นั่น



แต่ ปีนี้เป็นปีที่พิเศษสุดสำหรับผมเพราะผมได้ไปฉลองปีใหม่ที่จังหวัดเชียงใหม่ กับเพื่อน ๆ ที่สนิทสนมและรักใคร่กันมาก ดังนั้น ผมเลยได้โอกาสฉลองปีใหม่ที่เมืองไทยเป็นปีแรกในรอบ 6 ปีที่ผ่านมา ซึ่งผมมีความสุขมากเลยครับ และก็จะแจ้งให้เพื่อน ๆ ทราบว่า ปีนี้ผมตั้งใจจะเขียนเกี่ยวกับร้านอาหารที่ประสบอุทกภัยมาตั้งแต่ปลายปีที่ แล้ว จะได้ถือโอกาสเป็นการช่วยเหลือเพื่อน ๆ ในประเทศไทยไปด้วย

ผม อยากไปชิมร้านในจังหวัดต่าง ๆ ที่ประสบอุทกภัย เพื่อช่วยประชาสัมพันธ์ร้านให้ เขาจะได้ฟื้นตัวกลับมาทำมาหากินได้ตามเดิม และไม่ว่าจะเป็นร้านที่ผมเขียนให้หรือร้านที่ผมไม่เคยเขียนก็ตาม ผมอยากเชิญชวนให้ทุกคนตามผมไปกินอาหารในจังหวัดต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นร้านเก่าหรือร้านใหม่ ช่วยกันกลับไปชิมนะครับ ไปช่วยอุดหนุนจะได้มีของอร่อย ๆ ให้พวกเรากินไปอีกนาน ๆ แล้วก็อยากขออนุญาตให้ร้านที่ผมได้เคยแนะนำเพื่อน ๆ ไปแล้ว ตามผมไปลองกินร้านอื่น ๆ ที่อยู่ในจังหวัดเดียวกันด้วย เพื่อจะได้ช่วยกันฟื้นฟูกิจการจะได้เจริญรุ่งเรืองต่อไปนะครับ

สำหรับ ร้านแรกของปีนี้ที่ผมจะเขียนถึง ไม่ใช่ร้านครับแต่เป็นรีสอร์ท ซึ่งผมมีความผูกพันกับเจ้าของรีสอร์ทมาก ที่สำคัญเวลาที่เราได้ไปที่ไหน ที่ทั้งสวย ทั้งหรูหรา และอาหารอร่อย ทำให้เหมือนกับขึ้นสวรรค์ทั้งเป็นเลยครับ ซึ่งรีสอร์ทที่ผมกำลังจะเล่าให้เพื่อน ๆ รู้จักก็เป็นเช่นนั้น



สัปดาห์ นี้ผมจะเขียนเกี่ยวกับรีสอร์ทที่มีชื่อว่า ภารีสา รีสอร์ท ซึ่งอยู่ที่จังหวัดภูเก็ตครับ ตั้งอยู่ที่หาดกมลา เป็นรีสอร์ทที่สวยงามหรูหรา ห้องพักที่นั่นตั้งอยู่บนหน้าผาที่เป็นโขดหินทั้งนั้นเลยครับ มองลงไปเห็นทะเลอันดามันที่สวยงาม เหมาะแก่การไปเที่ยวเป็นอย่างยิ่ง เพราะสวยงามมาก

ที่นี่มีโรงเรียนสอนทำอาหาร ไม่ว่าจะเป็นคนต่างชาติหรือคนไทยก็สามารถไปเรียนที่นั่นได้ด้วยนะครับ เขาจะรับรองเราเป็นอย่างดี แต่ว่าส่วนมากแล้วนักท่องเที่ยวที่ไปพักที่นั่นจะเห็นแต่คนต่างชาติ มีทั้ง ญี่ปุ่น เกาหลี เพราะว่าเขาเห็นคุณค่าของจังหวัดภูเก็ตและความเป็นไทยของเราอย่างไรครับ รวมถึงการต้อนรับ และการรับรองที่ดีเหลือเกิน

ในส่วนของร้านอาหารของ เขาก็ทำอาหารได้อร่อยมาก ผมได้รับเกียรติและได้รับความช่วยเหลือจากโรงแรมภารีสา เมื่อครั้งที่ผมพาคณะจากอเมริกาไปถ่ายทำรายการโทรทัศน์เพื่อไปเผยแพร่ใน ประเทศอเมริกา เกี่ยวกับเรื่องอาหารและสถานที่ของทางภาคใต้ ที่ผมเลือกก็คือจังหวัดภูเก็ตครับ

ผมมาครั้งนี้ได้โอกาสกินอาหารที่ มีทั้งอาหารไทยและอาหารต่างประเทศ ตอนแรกเขาเอา อาหารเรียกน้ำย่อย ซึ่งเป็นปลาพันกับผักและสมุนไพรราดด้วยซอส จานเล็กนิดเดียวครับ กินคำเดียวก็หมด แต่ว่าเรียกน้ำย่อยได้ดีมากเลย อร่อยดีครับ

หลังจาก นั้น เขามีออร์เดิร์ฟต่าง ๆ มาให้กิน โดยเมนูที่เขาเอามาให้ผมลองนั้น คือ กุ้งโสร่ง แต่แทนที่จะเอากุ้งไปปั่นแล้วทำเป็นก้อนกลม ๆแล้วพันด้วยเส้นหมี่ เขากลับเอากุ้งทั้งตัวเลยมาพันกับเส้นหมี่แล้วเอาลงไปทอด เสร็จแล้วถึงจะเอามาจิ้มกับน้ำจิ้ม ซึ่งเขาจัดมาได้สวยงามมาก รสชาติอร่อยพอสมควร

พอกินเสร็จแล้ว ก็เสิร์ฟ ปูกับซอสครีมในแป้งพัฟ โดยมีซอสครีมเบา ๆ ไม่หนักจนเกินไปในแป้งพัฟซึ่งเป็นขนมปังเป็นแผ่น ๆ รสชาติกลมกล่อมมากเลยครับ เปรี้ยว ๆมัน ๆ เค็ม ๆ มีรสหวานนิด ๆ จากนั้น ตามมาด้วยอาหารไทย เขาอยากให้ผมลองชิม ผัดไทย ของเขาดู ซึ่งผัดไทยเขาห่อไข่ด้วยนะครับ แต่ไข่ของเขานั้น ทำเป็นเส้นเป็นแผ่นมาก่อนแล้วนะครับ โดยใช้ กระทะนอนสติ๊ก หรือที่เรียกว่า กระทะที่ไม่ต้องใช้น้ำมันมาก แล้วก็ใช้ไข่บีบออกมาเป็นเส้น ๆ ไขว้กันไปมาเหมือนกับทอผ้าเลยครับ พอสุกแล้วก็นำมาห่อผัดไทยที่ผัดเสร็จแล้ว เสิร์ฟพร้อมกับกุ้งสด หน้าตาดูดีครับ รสชาติอร่อยมาก

ยังไม่หมดครับ ยังมี น่องแกะกับไวน์ซอส เอามาให้ผมลองชิม เมื่อพนักงานเอามาเสิร์ฟผมไม่กล้ากินเลยครับ เพราะหน้าตาสวยจัง แต่เมื่อกินเข้าไปแล้วเนื้อนุ่มอร่อยมาก ๆ เลยครับ เนื้อมีความชุ่มชื้น แสดงว่าอบมาได้เป็นอย่างดีจริง ๆ ครับ

ปิดท้ายด้วย สลัดกุ้งมังกร กุ้งมังกรที่นี่เอามาลวกเสร็จแล้วก็ทำเป็นยำแบบฝรั่ง เสิร์ฟในเปลือกของกุ้งอีกทีหนึ่ง สวยงามและอร่อยมาก เราก็จบอาหารด้วย ผลไม้รวม นะ ซึ่งเขาจัดมาได้อย่างดี สวยงามมากแถมยังมี มูส ที่แสนอร่อยให้ผมกิน วันนั้นผมพุงกางเลยครับ เพราะเดี๋ยวนี้ผมกินน้อย อายุมากแล้ว

วันรุ่งขึ้นก็ถ่ายทำรายการที่นั่นกัน ถ้าอยากหนีความวุ่นวาย ลองไปพักซักสองคืน แล้วจะสดชื่น มีความสุขเหมือนกับผมนะครับ.

ข้าวมากิไส้ปลาซันมะย่าง - เข้าครัวกับหมึกแดง

เครื่องปรุงข้าวเปรี้ยว

-น้ำส้มสายชู 375 มิลลิลิตร

-เกลือป่น 2 ช้อนโต๊ะ

-น้ำตาลทราย ถ้วยตวง

-ข้าวญี่ปุ่นหุงสุกแล้ว 5 ถ้วยตวง

วิธีทำ

1.นำหม้อใส่น้ำส้มสายชู เกลือป่น น้ำตาลทราย ผสมให้เข้ากัน

2.นำขึ้นตั้งไฟอ่อน ๆ เคี่ยวจนเกลือป่นและน้ำตาลทรายละลายและเข้มข้น ยกออกพักไว้

3.นำข้าวญี่ปุ่นที่หุงสุกแล้วลงในชามผสม แล้วเทน้ำที่เคี่ยวไว้ลงไปผสมกับข้าวให้เข้ากัน พักไว้ให้เย็น

เครื่องปรุงไส้ปลาซันมะย่าง

-ปลาซันมะเลาะกระดูกออกแล้ว 200 กรัม

-ซอสเทอริยากิ 60 กรัม

-ข้าวเปรี้ยว พอประมาณ

-วาซาบิ 1 ช้อนชา

-แตงกวาญี่ปุ่นหั่นเป็นแท่ง 50 กรัม

-งาขาวและงาดำสำหรับคลุก พอประมาณ

-ขิงดองซอย 50 กรัม

-ซีอิ๊วญี่ปุ่น 2 ช้อนโต๊ะ

วิธีทำ

1.ในชามผสม ใส่ปลาซันมะเลาะกระดูก และซอสเทอริยากิ ลงไปผสมให้เข้ากัน แล้วหมักทิ้งไว้ประมาณ 10 นาที

2.นำกระทะย่างเปิดไฟให้ร้อน แล้วนำปลาที่หมักไว้ลงไปย่างให้สุกเหลืองทั้งสองด้าน พักไว้

3.นำเสื่อญี่ปุ่นวางลงบนเขียง ห่อด้วยพลาสติกแร็พ หรือวางรองด้วยผ้าขาวบางชุบน้ำ

4.ตักข้าวเปรี้ยวลงบนผ้าขาวบางที่อยู่บนเสื่อ แล้ว เกลี่ยให้ข้าวเสมอกันเต็มหน้าเสื่อ

5.นำวาซาบิทาที่ข้าว วางปลาซันมะที่ย่างแล้วลงบนข้าว แล้ววางแตงกวาญี่ปุ่นหั่นเป็นแท่ง ลงไปทับบนชิ้นปลาให้เต็ม

6. ม้วนเสื่อเข้าหากันให้เป็นแท่งกลม แล้วกดให้เป็นเหลี่ยม

7. นำงาขาวและงาดำโรยให้ทั่ว นำข้าวห่อวางลงบนเขียง ตัดให้เป็นชิ้นพอคำ เสิร์ฟกับขิงดองซอย และซีอิ๊วญี่ปุ่น

ชิมให้เป็น - การชิมกุ้งโสร่ง

อาทิตย์ นี้ผมขอพูดถึง กุ้งโสร่ง ซึ่งที่ร้านนี้เขาทำน้ำจิ้มได้อร่อย และตัวกุ้งนั้นทอดได้ดี ยังมีความชุ่มชื้น กรอบน่ากินมาก แต่ตัวกุ้งโสร่งนั้น ความจริงแล้วถ้าอยากให้รูปร่างเก๋ไก๋และรสชาติอร่อยมากกว่านี้ ต้องปรับปรุงในบางส่วน เพราะตามหลักการของการชิมและการทำอาหารที่เป็นกุ้งโสร่งหรือเนื้อประเภทอื่น ๆ ที่นำมาทำ จะต้องหมักเนื้อสัตว์นั้นด้วยรากผักชี กระเทียมที่เป็นของไทย และพริกไทย โดยตำให้เข้ากันอย่างละเอียด แล้วใส่น้ำปลา น้ำตาล ลงไปเล็กน้อยนะครับ เพื่อให้มีรสชาติ

จากนั้น ก็เอากุ้งทั้งตัวไปหมักเสร็จเรียบร้อยแล้วทิ้งไว้ค้างคืนเสียก่อนที่จะนำไป พัน เพื่อให้เวลาทอดกุ้งจะได้ให้กรอบ และมีกลิ่นหอมน่ากิน แล้วก็จะได้รสชาติที่ดีด้วย คือ จะมีความเค็มและมีความหวานนิดเดียวจริง ๆ เพราะเมื่อนำไปทอดเสร็จแล้วรสชาติก็จะเข้มขึ้นนิดหนึ่ง เวลาจิ้มกินกับน้ำจิ้มจะได้อร่อยมากขึ้น ซึ่งรายละเอียดตรงนี้ผมแนะนำที่ร้านไปแล้ว เพื่อน ๆ รู้อย่างนี้แล้วจะชิมกุ้งโสร่งให้เป็นอย่างไรครับ

หมึกแดง

http://www.mcdangguide.com

เค้กชาเขียวลายหินอ่อน

credit kobnon bloggang.com
ส่วนผสม (สำหรับ 10 ที่)
เตรียม 15 นาที ปรุง 60 นาที



แป้งสาลีอเนกประสงค์ (ร่อนแล้ว) 150 กรัม
เนยเค็ม (อุณหภูมิปกติ) 150 กรัม
น้ำตาลทราย 115 กรัม
ไข่ไก่เบอร์ 2 (ตีไข่พอแตก) 2 ฟอง
เบกกิ้งโซดา ½ ช้อนชา
ผงฟู ½ ช้อนชา
ผงชาเขียว 2 ช้อนชา (ละลายในน้ำเย็น 6 ช้อนโต๊ะ)
วิปปิ้งครีม สูตรโลว์ – แฟต 50 มิลลิลิตร

วิธีทำ

1.ใส่ เนยเค็มลงในโถปั่น ใช้ความเร็วเบอร์ 2 ตีจนเนยขึ้นฟูหรือเป็นสีเหลืองอ่อน จากนั้นใส่น้ำตาลทรายลงไปตีต่อให้เนื้อเนียน ตามด้วยไข่ไก่
ผสมแป้ง ผงฟู และเบกกิ้งโซดาเข้าด้วยกัน ใส่ลงในโถปั่นสลับกับวิปปิ้งครีม โดยแบ่งใส่ 3 ครั้ง ตีจนส่วนผสมเข้ากันดี จากนั้นตักส่วนผสมแบ่งออกมา 4 ช้อนโต๊ะ เพื่อนำมาผสมกับชาเขียวที่ละลายน้ำเย็นไว้แล้ว คนจนเป็นเนื้อเดียวกัน พักไว้
2.เทส่วนผสมที่เหลือลงในพิมพ์วงกลมสำหรับ 2 ปอนด์ จากนั้นหยดส่วนผสมแป้งและชาเขียวที่แยกไว้ตามลงไปประมาณ 8-9 หยด เพื่อทำลายหินอ่อน โดยใช้ส้อมหรือตะเกียบวนเบาๆให้เป็นลาย ลึกประมาณ 2 เซ็นติเมตร
นำเข้าเตาอบที่อุณหภูมิ 170 องศาเซลเซียส 30 นาที เมื่ออบเสร็จจะได้เนื้อเค้ก 2 สี คือสีเหลืองและสีเขียวสลับเหลืองเหมือนลายหินอ่อน พักไว้ให้เย็น

Tips

หากไม่มีเนยเค็ม สามารถใช้เนยจืดแทนได้ โดยผสมเกลือป่นปลายช้อนชา
การแบ่งใส่ส่วนผสมแป้ง 3 ครั้งในวิธีการทำข้อ 2 เนื่องจากหากใส่แป้งลงไปทั้งหมดในคราวเดียวกัน ส่วนผสมจะแห้งมาก ตีได้ไม่เนียน

ส่วนผสมหน้าเค้กชาเขียว

ผงชาเขียว 3 ช้อนชา (ละลายในน้ำเย็น 7 ช้อนโต๊ะ)
น้ำเปล่า 150 มิลลิลิตร
นมข้นจืดคาร์เนชัน (1) 100 มิลลิลิตร
ครีมข้น สูตรโลว์ – แฟต ตรา Rich’s 150 มิลลิลิตร
แป้งข้าวโพด 50 กรัม
นมข้นจืดคาร์เนชัน (2) 110 มิลลิลิตร
น้ำตาลทราย 80 กรัม
เนยเค็ม 100 กรัม
อัลมอนด์สไลซ์ และช็อกโกแลตขูด สำหรับแต่งหน้าเล็กน้อย

วิธีทำหน้าเค้กชาเขียว

1.ผสมน้ำตาล น้ำเปล่าและนมข้นจืด (1) ลงในหม้อ ตั้งไฟอ่อนให้พออุ่น
เตรียมผสมแป้งข้าวโพดกับนมข้นจืด(2) คนให้ละลายเข้ากัน พักไว้
ใส่ ชาเขียวละลายน้ำเย็นลงในหม้อ ตามด้วยส่วนผสมข้อ 2 พยายามคนตลอดเวลา เพื่อไม่ให้แป้งจับตัวเป็นก้อน คนจนส่วนผสมเหนียวคล้ายสังขยา จากนั้นใส่ครีมข้นลงไปและเนยเค็ม คนจนละลายเป็นเนื้อเดียวกัน ยกลงจากเตา พักไว้ให้เย็น จากนั้นนำไปแช่เย็นเพื่อให้ส่วนผสมเซ็ทตัวประมาณ 30 นาที
2.เมื่อ ครีมเซ็ทตัวดีแล้ว นำมาแต่งหน้าเค้กโดยปาดให้ทั่ว โรยด้วยอัลมอนด์สไลซ์และช็อกโกแลตขูด เพื่อความสวยงามและเพิ่มรสชาติให้เค้กหอม มันยิ่งขึ้น




สูตรอาหารจาก
http://www.healthandcuisine.com 

ทูน่าทอดซอสเทอริยากิ

ทูน่าทอดซอสเทอริยากิ



ทูน่าทอดซอสเทอริยากิ
เครื่องปรุง


  • วาซาบิ 1/2 ช้อนชา

  • ซอสเทอริยากิ 1 ช้อนโต๊ะ

  • ปลาทูน่าสดหั่นเต๋าเล็ก 200 กรัม

  • ต้นหอมสับ 1 ช้อนโต๊ะ

  • ไข่แดงของไข่ไก่ 1 ฟอง

  • พริกป่นญี่ปุ่น 1 ช้อนชา

  • แป้งสาลี 50 กรัม

  • ไข่ไก่ 1 ฟอง

  • เกล็ดขนมปังป่น 200 กรัม

  • น้ำมันพืช 1/4 ถ้วยตวง

  • เนยจืด 200 กรัม

  • สตูผักญี่ปุ่น ตามต้องการ

  • ข้าวสวยญี่ปุ่น ตามต้องการ

วิธีทำ


  1. ในชามผสม ใส่วาซาบิและซอสเทอริยากิผสมให้เข้ากัน

  2. ใส่เนื้อปลาทูน่าสดหั่นเต๋าเล็ก ต้นหอมสับ และไข่แดงของไข่ไก่ลงไป ผสมให้เข้ากันกับน้ำซอส

  3. นำส่วนผสมที่ได้มาปั้นเป็นก้อนแบนๆ รีๆ โรยหน้าด้วยพริกป่นญี่ปุ่นให้ทั่ว

  4. นำปลาที่ปั้นแล้วมานาบกับแป้งสาลี ชุบไข่ไก่และเกล็ดขนมปังป่น

  5. นำกระทะตั้งไฟ ใส่น้ำมันพืชกับเนยจืดลงไปให้ร้อน นำปลาทูน่าลงไปทอดในกระทะให้เหลืองทั้งสองด้าน

  6. ตักวางบนจานเสิร์ฟ ราดด้วยซอสเทอริยากิ เสิร์ฟพร้อมสตูผักญี่ปุ่น และข้าวสวยญี่ปุ่น



ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดย: หนังสือพิมพ์เดลินิวส์

ทาร์ตบลูเบอรี่ครีมชีส

credit คาร์เนชั่นสีม่วง bloggang.com


ตัวแป้งทาร์ตใช้สูตรที่ไปอบรมที่บ.เกตุวานิชมาค่ะ เมื่อปลายปีที่แล้ว
สูตรนี้ทำได้ประมาณ 20-23 ถ้วย ถ้าจะให้ใกล้เคียงกับไส้ครีมชีสด้านล่างก็ทำประมาณ 1.5 สูตร(ประมาณ 30 ถ้วย)

น้ำตาลทรายป่น 100 กรัม
มาการีนโอลิมปิคเค้ก 200 กรัม (ที่ทำใช้เนยสดและมาการีนอย่างละครึ่ง)
น้ำ 40 กรัม
แป้งอเนกประสงค์ 300 กรัม
ผิวมะนาว 5 กรัม (1 ลูก)

1. ร่อนแป้ง เทใส่อ่างผสม
2. ใส่เนยลงไปในอ่างแปัง ตีเข้าด้วยกัน ใส่น้ำ ตีพอเข้ากัน หรือจะใช้ที่สับเนยสับๆ ให้เข้ากันก็ได้ค่ะ พอเนยเข้ากับแป้งเป็นเม็ดทรายร่วนๆ ก็ค่อยๆ ใส่น้ำลงไป สับๆ ไปใส่น้ำไปจนหมด
3. รวบเป็นก้อน ห่อพลาสติกเข้าตู้เย็นพักไว้ประมาณ ครึ่งชม.
4. นำมากรุในพิมพ์ถ้วย ใช้ส้อมจิ้มที่ฐานด้วย แล้วเข้าอบ 170C ประมาณ 10 นาที หรือดูแล้วออกสีเหลืองๆ นำออกมาเคาะออกจากพิมพ์ พักให้เย็น

รูปไม่ค่อยเยอะนะคะ พอดีรีบทำ แต่เห็นว่าอร่อยดี เลยนำมาลงให้ชิมกัน

หลังพักในตู้เย็น นำออกมากรุในพิมพ์



ออกจากเตาพักไว้ในพิมพ์สักครู่ แล้วเคาะออกจากพิมพ์


รูปหลังจากพิมพ์เย็นตัวแล้ว เตรียมใส่ไส้ครีมชีสกันค่ะ




มาทำไส้ครีมชีสกันค่ะ (ดัดแปลงเล็กน้อยจากหนังสือแม่บ้าน)
ขอปรับลงแค่ครึ่งสูตรนะคะ จะได้ปริมาณใกล้เคียงกับตัวทาร์ต 1.5 เท่าของสูตร

ครีมชีส 125 กรัม
เนยเค็ม 55 กรัม
น้ำตาลไอซิ่ง 150 กรัม
น้ำมะนาว ตามชอบ (ชิมดูตามรสที่ชอบเปรี้ยวมากน้อยแค่ไหน)

1. ครีมชีสออกจากตู้เย็นพักให้คลายเย็นประมาณ ครึ่งชม. แล้วใส่อ่างผสม พร้อมเนย ตีให้เข้ากัน แล้วใส่ไอซิ่ง ตีให้ขึ้นฟู

2. ใส่น้ำมะนาวผสมให้เข้ากัน ชิมรสดูที่ชอบ



3. หยอดครีมชีสในถ้วยทาร์ตที่เตรียมไว้ ก่อนเสิร์ฟราดหน้าด้วยซอสบลูเบอรี่ หรือนำเข้าตู้เย็นไว้ ทานตอนทาร์ตเย็นๆ ก็อร่อยดีค่ะ


ยำไข่สามทัพ

credit เตยจ๋า bloggang.com




นอก จากไข่สดแล้ว ไข่เค็ม และไข่เยี่ยวม้า ยังเป็นทางเลือกยอดฮิต เพราะเก็บได้นานโดยไม่ต้องเข้าตู้เย็น ยำจานนี้จึงรวมสารพัดไข่ มาไว้ในจานเดียวทั้ง ไข่เค็ม ไข่ดาว และไข่เยี่ยวม้า โดยมีตัวผสานความอร่อย คือ น้ำยำรสเปรี้ยว เค็ม หวาน กลมกล่อมที่ผสมเครื่องยำครบสูตร ด้วยขิง หอมเล็ก กุ้งแห้ง และขึ้นฉ่าย ตามแบบฉบับร้านข้าวต้ม จนกลายเป็นเมนูยำแสนอร่อยที่ยกพลมารายงานตัวครับผม

ส่วนผสมสำหรับ 2 ที่
เตรียม 15 นาที ปรุง 10 นาที


ไข่เค็มปอกเปลือกผ่าครึ่ง 1 ฟอง
ไข่เยี่ยวม้าปอกเปลือกผ่าครึ่ง 1 ฟอง
ไข่ดาวทอดพอสุกตัดแบ่งเป็นสองส่วน 2 ฟอง
น้ำมะนาว 2 ช้อนโต๊ะ
น้ำปลา 1 ½ ช้อนโต๊ะ
น้ำตาลทราย 1 ช้อนโต๊ะ
กุ้งแห้ง 1 ช้อนโต๊ะ
ขิงซอย 2 ช้อนโต๊ะ
หอมเล็กซอย 2 ช้อนโต๊ะ
พริกขี้หนูซอย 1 ช้อนโต๊ะ
ขึ้นฉ่ายหั่นท่อน 2 ช้อนโต๊ะ

วิธีทำ ผสมน้ำยำโดยใส่กุ้งแห้ง หอมเล็ก ขิงซอย ปรุงรสด้วยพริกขี้หนู น้ำมะนาว น้ำปลา และน้ำตาล ชิมรสตามชอบ คนพอเข้ากัน
จัดไข่เค็ม ไข่เยี่ยวม้า และไข่ดาวลงจาน ราดน้ำยำ แล้วโรยหน้าด้วยใบขึ้นฉ่ายก่อนเสิร์ฟ

Health & Cuisine ปีที่ : 11 ฉบับที่ : 132 เดือน : มกราคม 2555