ความรู้สึกอิ่มแน่นท้องมากมาย กับอาหารสารพัดอย่างที่อยู่ตรงหน้า เกิดขึ้นกับ “ตระเวนกิน” อีกแล้ว เมื่อในมื้อนี้เราได้เดินทางมาตระเวนกินบุฟเฟต์ซีฟู้ดที่ ห้องอาหาร “Jess” (เจส) โรงแรมเซ็นจูรี่ พาร์ค ห้องอาหาร Jess แห่งนี้ได้ถูกปรับโฉมใหม่ เมื่อมาแล้วจะสัมผัสได้ถึงบรรยากาศห้องอาหารที่ตกแต่งสไตล์โมเดิร์น ดูโปร่งโล่งชวนนั่ง จัดโต๊ะนั่งในมุมสบายๆ และมีมุมเคาน์เตอร์อาหารมากมายให้ได้เลือกอร่อยกัน | ||||
| ||||
| ||||
| ||||
| ||||
| ||||
| ||||
| ||||
ห้องอาหาร “Jess” (เจส) ตั้งอยู่ที่ชั้นล็อบบี้ โรงแรมเซ็นจูรี่ พาร์ค 9 ถ.ราชปรารภ ประตูน้ำ-อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ กรุงเทพฯ การเดินทางจากอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ ให้ตรงมาที่แยกดินแดง แล้วเลี้ยวขวาเข้าถ.ราชปรารภ จะเห็นรร.เซ็นจูรี่ฯ อยู่ทางซ้ายมือ ห้องอาหารเจสเปิดทุกวัน เวลา 06.00 - 10.30 น. (อาหารเช้า) 11.30 - 14.30 น.(อาหารกลางวันตามสั่ง ) 18.00 - 22.30 น. (อาหารค่ำ และซีฟู้ดบุฟเฟต์มีเฉพาะศุกร์และเสาร์) ถ้ามากินบุฟเฟต์แนะนำว่าควรโทร. มาจองโต๊ะก่อนจะ โทร. 0-2246-7800 ต่อ 4503 |
“Jess” เสิร์ฟความสด กับบุฟเฟต์ซีฟู้ดเต็มอิ่ม
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์2 สิงหาคม 2555 17:55 น.
“บุษราคัม” อาหารไทยชาววัง เมนูวิจิตรเลิศรส
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์16 สิงหาคม 2555 16:11 น.
ดังนั้นในมื้อนี้ “ตระเวนกิน” เลยอยากจะชวนแฟนๆ ที่พิสมัยอาหารไทย ไปอิ่มอ่อยกับอาหารไทยแบบชาววังแท้ๆ กันที่ร้านนี้ดีกว่า “บุษราคัม” เป็น ร้านอาหารที่นำเอาบ้านเก่าหลังงามมาดัดแปลงตกแต่งให้เป็นร้านอาหารที่มี บรรยากาศชวนนั่งสบายๆ ดูอบอุ่น มีพื้นที่โต๊ะนั่งชั้นล่าง ชั้นบน มีห้องส่วนตัวให้บริการเหมาะแก่การมาจัดเลี้ยงสังสรรค์ และยังมีส่วนโต๊ะนั่งด้านนอกรับลมธรรมชาติเย็นๆ | ||||
| ||||
ส่วนอีกอย่างคือถุงเงินยวง เป็นฟองเต้าหู้ที่ข้างในสอดไส้กุ้งกับปูปรุงรสและนำไปทอด มีน้ำจิ้มใส่มาให้พร้อม กินแล้วแผ่นฟองเต้าหู้ข้างนอกกรอบนิดๆ ส่วนไส้ข้างในนุ่มปากได้รสชาติน้ำจิ้มหวานๆ เข้ากันดีจริง แล้วก็ยังมีหรุ่ม หน้าตาเป็นตาข่ายที่นำมาจากไข่แล้วห่อกับไส้กุ้งกับหมูปรุงรส ลิ้มรสแล้วไส้รสกลมกล่อมถูกปากดีไม่น้อย อย่างสุดท้ายคือกุ้งซ่อนกลิ่น รูปทรงสวยชวนกินเป็นการนำเอากุ้งสับมาผสมกับมะนาว ขิง หอมแดงคลุกเคล้าให้เข้ากันและบีบเอาน้ำออก แล้วปั้นเป็นลูกกลมๆ จากนั้นนำมาห่อด้วยใบผักกาดหอมที่ต้มแล้ว ส่งเข้าปากทั้งลูกเคี้ยวกร้วมไส้รสชาติดีออกเปรี้ยวนิดๆ ถูกปากไปอีกแบบ | ||||
| ||||
| ||||
| ||||
| ||||
เห็นทีว่าถ้าแฟนๆ นักกินคนไหน เป็นแฟนพันธุ์แท้อาหารไทย และอยากจะลิ้มรสชาติของอาหารไทยชาววังขนานแท้ คงต้องรีบจูงมือกันมาที่ร้าน “บุษราคุม” กันแล้วล่ะ เพราะว่าอาหารไทยเลิศรสรอทุกคนอยู่ | ||||
* * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * ร้าน “บุษราคัม” ตั้ง อยู่ที่ 1 ถ.ศรีเวียง (ซอยประมวล) แขวงสีลม เขตบางรัก กทม. การเดินทางนั่งรถไฟฟ้า BTS ลงที่สถานีสุรศักดิ์ (ทางออก 3 ) และให้เดินมาที่ซอยประมวล เดินตรงเข้ามาแล้วเลี้ยวซ้ายซอยแรก (ถ.ศรีเวียง) ตรงเข้ามาแล้วก็จะเห็นร้านบุษราคัมอยู่ทางซ้ายมือมีป้ายร้านให้เห็นชัดเจน ร้านเปิดทุกวัน เวลา 11.00-14.00 น. และ 17.30-22.30 น. แนะนำว่าควรโทร. มาจองโต๊ะก่อน โทร. 0-2630-2216-8, 0-2235-7341-3 หรือเข้าไปดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ www.bussaracum.com |
อิ่มอร่อยที่ “Four Seasons” ลิ้มรสเป็ดย่างชั้นเทพ ต้นตำรับจากลอนดอน
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์9 สิงหาคม 2555 14:49 น.
โอลิมปิกครั้งนี้จัดขึ้นที่กรุงลอนดอน เมืองหลวงเก่าแก่ของอังกฤษซึ่งหากพูดถึงเรื่องอาหารการกินแล้ว บรรดาเศรษฐีและนักการเมืองหลายคนในบ้านเราที่เคยไปเยือนเมืองนี้ ส่วนใหญ่มักจะไม่พลาดการไปหม่ำ “เป็ดย่างโฟร์ซีซั่นส์” ของร้าน “Four Seasons London” หนึ่งในเมนูอันขึ้นชื่อลือชาของกรุงลอนดอน | ||||
ด้วยเหตุนี้ “ตระเวนกิน” จึงขอพามากินเป็ดย่างโฟร์ซีซั่นส์เจ้าใหม่กันที่ร้าน “Four Seasons” ที่ตั้งอยู่ที่ Mega Bangna เมื่อเข้ามาในร้านก็จะได้อารมณ์เดียวกับร้านที่ลอนดอน ด้วยสไตล์การตกแต่งแบบจีนโมเดิร์น มีโต๊ะให้เลือกนั่งในมุมสบายและมีห้องส่วนตัวให้บริการอยู่ 4 ห้อง | ||||
โดยมีการนำเป็ดมาหมักกับเครื่องเทศจีนหลายชนิด แล้วยัดเข้าไปท้องเป็ดและทำการเย็บปิดตัวเป็ด หลังจากนั้นนำเป็ดไปราดด้วยน้ำซอสเลมอนกับน้ำส้มสายชู แล้วนำไปพึ่งลมให้ได้ที่ และนำไปอบให้ได้ที่อีกที จนได้เป็ดที่เนื้อนุ่ม หนังกรอบพอดี มีน้ำซอสเป็ดสูตรพิเศษเฉพาะของทางร้านที่เข้มข้นราดมาบนเนื้อเป็ด และมีน้ำจิ้ม 3 อย่างให้กินคู่กัน คือ พริกดอง น้ำพริกเผา และซอสพริก แค่ส่งชิ้นเป็ดส่งเข้าปากเคี้ยวแล้วสัมผัสได้ถึงความบางกรอบของหนัง และเนื้อเป็นที่เคี้ยวนุ่มปากชุ่มน้ำซอสที่ราดมาช่างอร่อยกลมกลืนเข้าถูกปาก โดนใจมากๆ | ||||
| ||||
| ||||
| ||||
| ||||
ร้าน “Four Seasons” (โฟร์ซี ซั่นส์) ตั้งอยู่ที่ Mega Bangna (เมกะ บางนา) โซนเมกะฟู้ด ถ.บางนา-ตราด กม.8 ต.บางแก้ว อ.บางพลี จ.สมุทรปราการ ร้านเปิดทุกวัน เวลา 11.00-22.00 น. ถ้ามากินแนะนำว่าควรโทร.มาจองโต๊ะก่อนจะดี โทร. 0-2105-1616 และยังมีอีกสาขาตั้งอยู่ที่สยามพารากอน โทร. 0-2610-9578 |
“Faye’s” อาหารไทย-อินเตอร์ ครบรสความอร่อย
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ | 23 สิงหาคม 2555 13:46 น. |
“ตระเวนกิน” ก็เป็นพวกตามใจปากท้องเสียด้วยไม่ค่อยชอบให้ ท้องร้องหาอาหาร เราก็เลยต้องไปเสาะหาอาหารอร่อยๆ มาเติมเต็มความอิ่มให้กับปากท้องกัน และในมื้อนี้เราก็ได้มาอิ่มอร่อยกับอาหารรสเด็ดกันที่ร้าน“Faye’s” (เฟ ย์) ซึ่งถึงแม้จะเป็นร้านอาหารน้องใหม่ ที่เพิ่งเปิดตัวมาได้ไม่นาน แต่มีความน่าสนใจในเรื่องของอาหารและบรรยากาศร้านที่ชวนให้มานั่งกินข้าวแบบ สบายๆ | ||||
| ||||
| ||||
| ||||
| ||||
| ||||
| ||||
นอกจากนี้แล้วทางร้านก็ยังมีเมนูจานเด่นอื่นๆ ให้ได้เลือกลิ้มรสกัน อาทิ ยำผลไม้จี๊ดจ๊าด (120 บาท++) ปลากระป๋องฟู (150 บาท++) สตูขาแกะ (620 บาท++) วากิวริบอาย (680 บาท++) และอีกหลากหลายกว่า 200 เมนู ให้ได้เลือกอิ่มอร่อยกันตามในชอบ เพียงแค่พากันมาที่ร้าน “Faye’s” แห่งนี้ | ||||
* * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * “Faye’s” ตั้งอยู่ที่ 1 ถ.นราธิวาสราชนครินทร์ แขวงทุ่งวัดดอน เขตสาทร กทม. การเดินทางถ้ามาจากถ.สีลม ให้ขับมาที่ ถ.นราธิวาสราชนครินทร์ แล้วตรงมาที่ห้างแม็คโคร จะเห็นร้านเฟย์ตั้งอยู่บริเวณที่จอดรถด้านหน้าแม็คโคร มีป้ายร้านให้เห็นชัดเจน มีที่จอดรถด้านหน้าร้าน เปิดทุกวัน (ยกเว้นวันจันทร์) เวลา 10.30-14.00 น. และ 17.30-22.00 น. ถ้ามากินอาหารแนะนำว่าควรโทร. มาจองโต๊ะก่อน โทร. 0-2676-2559, 0-2676-2959 หรือเข้าไปดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ www.fayebyfai.com พิเศษสำหรับผู้ที่มากินอาหารที่ร้านแล้วบอกว่าอ่านมาจาก www.manager.co.th ทางร้านยินดีมอบยำผลไม้จี๊ดจ๊าดให้ฟรี 1 จาน ตั้งแต่วันนี้ ถึง 31 ส.ค. นี้ |
การปลูกตำลึง
ที่มา กรมส่งเสริมการเกษตร
ตำลึง เป็นผักพื้นบ้านที่คนทั่วไปรู้จักกันมานาน เป็นผักที่มี คุณค่าทางโภชนาการมาก สามารถนำไปปรุงอาหารได้หลากหลายชนิด เช่น แกงจืด ต้มจิ้มน้ำพริก ใส่ก๋วยเตี๋ยวและต้มเลือดหมู เป็นต้น ในอดีตนั้นเราไม่ จำเป็น ต้องปลูกตำลึงเอาไว้รับประทานเอง เนื่องจากตำลึงมักพบเห็นทั่วไป ตามเถาไม้เลื้อยอื่น ตามพุ่มไม้เตี้ยหรือพุ่มไม้แห้งตาย รวมทั้งขึ้นตามริม รั้วบ้าน จนมีคำกล่าวถึง “ ตำลึงริมรั้ว ” อยู่เสมอ
แต่ในปัจจุบันเราไม่ค่อยพบตำลึงตามริมรั้วอีกแล้ว จะเห็นก็เฉพาะ ในที่รกร้างว่างเปล่า หรือไม่ก็ตามสวนที่ปลูกตำลึงไว้เพื่อการค้า ซึ่งสามารถ ทำรายได้อย่างงามแก่ผู้ปลูกตำลึงขายเป็นอย่างดี
ลักษณะทางพฤกษศาสตร์
ตำลึงเป็นไม้เถาเลื้อย เถาตำลึงมี ลักษณะกลม แยกเพศกันอยู่คนละต้น ปลายดอก
แยกออกเป็น 5 แฉก โคนติดกันเป็นกรวย ผลมีรูปร่าง กลมรีคล้ายแตงกวาแต่มีขนาดเล็กกว่า ผลอ่อนมี
สีเขียวลายขาว เมื่อแก่กลายเป็นสีแดง ตำลึงเป็น พืชที่ชอบน้ำ จะสังเกตเห็นว่าในหน้าแล้งใบตำลึงจะ
แคระแกร็น แต่ในหน้าฝนยอดตำลึงจะอ่อนอวบอิ่ม น่ารับประทาน ตำลึงออกดอกประมาณ
เดือนมิถุนายน - กรกฎาคม
คุณค่าทางอาหาร
ตำลึงเป็นผักใบเขียวเข้มมีคุณค่าทางอาหารสูงมีทั้งเบต้า – แคโรทีน ที่ช่วยลดอัตราเสี่ยงในการเกิดโรคมะเร็ง โรคหัวใจขาดเลือด ทั้งในแคลเซียม และสารอาหารอื่น ๆ ที่พร้อมกันมาช่วยให้สุขภาพร่างกายสมบูรณ์แข็งแรง นอกจากนี้ยังพบว่า ตำลึงยังประกอบไปด้วยเส้นใย ที่มีความสามารถในการจับ
ไนไตรท์ได้ดีที่สุด เมื่อเทียบกับพืชชนิดอื่น นี่เป็นคุณลักษณะพิเศษของตำลึง ที่มีเส้นใยคอยจับไนไตรท์เพราะจะเป็นการลดอัตราเสี่ยงในการเกิดโรคมะเร็งใน กระเพาะอาหารได้
การปลูกและการขยายพันธุ์
ตำลึงมีการปลูกและขยายพันธุ์ได้ 2 วิธี คือ
• เพาะเมล็ด
• ปักชำด้วยเถา
การเพาะเมล็ด
มีวิธีการง่าย ๆ ดังนี้
เตรียมดินเหมือนปลูกผักทั่วไปผสมปุ๋ยชีวภาพหรือปุ๋ยคอกก็ได้ นำ ผลตำลึงแก่สีแดงแกะเอาเมล็ดออกมาโรยบนดินที่เตรียมไว้ โรยดินกลบหรือ ใช้ใบไม้แห้งกลบบาง ๆ รดน้ำให้ชุ่มเช้าเย็น ตำลึงชอบดินชุ่มแต่อย่าให้แฉะ เพราะจะเกิดโรคโคนเน่าได้ เมื่อต้นงอกขึ้นมาสักประมาณ 5 ซม. เริ่มมีมือเกาะให้ทำค้าง
(เนื่องจากตำลึงเป็นไม้เลื้อย จำเป็นต้องใช้ค้าง เพื่อให้ตำลึงไต่ขึ้นสู่ที่สูงเพื่อ รับแสงแดด ) เหมาะที่สุดคือ ความสูงระดับ 1 เมตรขึ้นไป แต่ไม่ควรสูงเกิน 3 เมตร เพราะจะไม่สะดวกในการเก็บยอดตำลึง โดยใช้ไม้ไผ่ต้นเล็ก 3 ต้น ปัก เป็น 3 เส้า รอบปลายเชือกเข้าไว้ด้วยกัน ผูกด้วยเชือกกล้วยหรือเชือกปอ ใช้
วัสดุที่ย่อยสลายได้ตามธรรมชาติ เพื่อช่วยกันอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมอีกทางหนึ่ง หรือหากมีรั้วไม้ระแนง ก็ถือโอกาสใช้ประโยชน์โดยโรยเมล็ดไปตามริมรั้วเลย ทีเดียว
ตำลึงต้องได้รับแสงแดดตลอดทั้งวัน ลมโกรกผ่านได้ ตำลึงจะ สังเคราะห์แสงแดดคายไอน้ำได้เต็มที่ ควรปล่อยให้มดแดงขึ้น เพราะจะช่วยกิน เพลี้ยและแมลงที่จะมากัดกินตำลึง
ปักชำด้วยเถา
การปลูกตำลึงเพื่อการค้านั้นนิยมขยายพันธุ์ด้วยวิธีนี้ เนื่องจาก ตำลึงจะเจริญเติบโตเร็วกว่าการเพาะด้วยเมล็ด
วิธีการปักชำ
ให้นำเถาที่แก่พอสมควรมาตัดให้ยาว 15 – 20 ซม. ปักชำในหลุม ปลูกที่ได้เตรียมไว้แล้ว( ลักษณะขั้นตอนการปลูกเหมือนกับหัวข้อการเพาะ เมล็ด ) พอเจริญเติบโตเต็มที่ประมาณ 1 เดือน ก็สามารถเก็บยอดมาปรุงอาหาร ได้ ทั้งนี้ เพื่อให้ตำลึงแตกยอดใหม่ทยอยออกมาตลอดปี ต้องหมั่น เก็บมาบริโภคอยู่เสมอ ในขณะเดียวกันให้ใส่ปุ๋ยคอก ช่วยเพิ่มเติมอาหารในดิน ประมาณเดือนละครั้ง ต้องหมั่นรดน้ำสม่ำเสมอในหน้าแล้งและหน้าหนาว ส่วนหน้าฝนจะเว้นได้บ้างแต่ต้องช่วยรดน้ำในขณะที่ฝนทิ้งช่วง
จัดทำ/เผยแพร่โดย : กลุ่มสื่อส่งเสริมการเกษตร
สำนักพัฒนาการถ่ายทอดเทคโนโลยี
กรมส่งเสริมการเกษตร
ตำลึง เป็นผักพื้นบ้านที่คนทั่วไปรู้จักกันมานาน เป็นผักที่มี คุณค่าทางโภชนาการมาก สามารถนำไปปรุงอาหารได้หลากหลายชนิด เช่น แกงจืด ต้มจิ้มน้ำพริก ใส่ก๋วยเตี๋ยวและต้มเลือดหมู เป็นต้น ในอดีตนั้นเราไม่ จำเป็น ต้องปลูกตำลึงเอาไว้รับประทานเอง เนื่องจากตำลึงมักพบเห็นทั่วไป ตามเถาไม้เลื้อยอื่น ตามพุ่มไม้เตี้ยหรือพุ่มไม้แห้งตาย รวมทั้งขึ้นตามริม รั้วบ้าน จนมีคำกล่าวถึง “ ตำลึงริมรั้ว ” อยู่เสมอ
แต่ในปัจจุบันเราไม่ค่อยพบตำลึงตามริมรั้วอีกแล้ว จะเห็นก็เฉพาะ ในที่รกร้างว่างเปล่า หรือไม่ก็ตามสวนที่ปลูกตำลึงไว้เพื่อการค้า ซึ่งสามารถ ทำรายได้อย่างงามแก่ผู้ปลูกตำลึงขายเป็นอย่างดี
ลักษณะทางพฤกษศาสตร์
ตำลึงเป็นไม้เถาเลื้อย เถาตำลึงมี ลักษณะกลม แยกเพศกันอยู่คนละต้น ปลายดอก
แยกออกเป็น 5 แฉก โคนติดกันเป็นกรวย ผลมีรูปร่าง กลมรีคล้ายแตงกวาแต่มีขนาดเล็กกว่า ผลอ่อนมี
สีเขียวลายขาว เมื่อแก่กลายเป็นสีแดง ตำลึงเป็น พืชที่ชอบน้ำ จะสังเกตเห็นว่าในหน้าแล้งใบตำลึงจะ
แคระแกร็น แต่ในหน้าฝนยอดตำลึงจะอ่อนอวบอิ่ม น่ารับประทาน ตำลึงออกดอกประมาณ
เดือนมิถุนายน - กรกฎาคม
คุณค่าทางอาหาร
ตำลึงเป็นผักใบเขียวเข้มมีคุณค่าทางอาหารสูงมีทั้งเบต้า – แคโรทีน ที่ช่วยลดอัตราเสี่ยงในการเกิดโรคมะเร็ง โรคหัวใจขาดเลือด ทั้งในแคลเซียม และสารอาหารอื่น ๆ ที่พร้อมกันมาช่วยให้สุขภาพร่างกายสมบูรณ์แข็งแรง นอกจากนี้ยังพบว่า ตำลึงยังประกอบไปด้วยเส้นใย ที่มีความสามารถในการจับ
ไนไตรท์ได้ดีที่สุด เมื่อเทียบกับพืชชนิดอื่น นี่เป็นคุณลักษณะพิเศษของตำลึง ที่มีเส้นใยคอยจับไนไตรท์เพราะจะเป็นการลดอัตราเสี่ยงในการเกิดโรคมะเร็งใน กระเพาะอาหารได้
การปลูกและการขยายพันธุ์
ตำลึงมีการปลูกและขยายพันธุ์ได้ 2 วิธี คือ
• เพาะเมล็ด
• ปักชำด้วยเถา
การเพาะเมล็ด
มีวิธีการง่าย ๆ ดังนี้
เตรียมดินเหมือนปลูกผักทั่วไปผสมปุ๋ยชีวภาพหรือปุ๋ยคอกก็ได้ นำ ผลตำลึงแก่สีแดงแกะเอาเมล็ดออกมาโรยบนดินที่เตรียมไว้ โรยดินกลบหรือ ใช้ใบไม้แห้งกลบบาง ๆ รดน้ำให้ชุ่มเช้าเย็น ตำลึงชอบดินชุ่มแต่อย่าให้แฉะ เพราะจะเกิดโรคโคนเน่าได้ เมื่อต้นงอกขึ้นมาสักประมาณ 5 ซม. เริ่มมีมือเกาะให้ทำค้าง
(เนื่องจากตำลึงเป็นไม้เลื้อย จำเป็นต้องใช้ค้าง เพื่อให้ตำลึงไต่ขึ้นสู่ที่สูงเพื่อ รับแสงแดด ) เหมาะที่สุดคือ ความสูงระดับ 1 เมตรขึ้นไป แต่ไม่ควรสูงเกิน 3 เมตร เพราะจะไม่สะดวกในการเก็บยอดตำลึง โดยใช้ไม้ไผ่ต้นเล็ก 3 ต้น ปัก เป็น 3 เส้า รอบปลายเชือกเข้าไว้ด้วยกัน ผูกด้วยเชือกกล้วยหรือเชือกปอ ใช้
วัสดุที่ย่อยสลายได้ตามธรรมชาติ เพื่อช่วยกันอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมอีกทางหนึ่ง หรือหากมีรั้วไม้ระแนง ก็ถือโอกาสใช้ประโยชน์โดยโรยเมล็ดไปตามริมรั้วเลย ทีเดียว
ตำลึงต้องได้รับแสงแดดตลอดทั้งวัน ลมโกรกผ่านได้ ตำลึงจะ สังเคราะห์แสงแดดคายไอน้ำได้เต็มที่ ควรปล่อยให้มดแดงขึ้น เพราะจะช่วยกิน เพลี้ยและแมลงที่จะมากัดกินตำลึง
ปักชำด้วยเถา
การปลูกตำลึงเพื่อการค้านั้นนิยมขยายพันธุ์ด้วยวิธีนี้ เนื่องจาก ตำลึงจะเจริญเติบโตเร็วกว่าการเพาะด้วยเมล็ด
วิธีการปักชำ
ให้นำเถาที่แก่พอสมควรมาตัดให้ยาว 15 – 20 ซม. ปักชำในหลุม ปลูกที่ได้เตรียมไว้แล้ว( ลักษณะขั้นตอนการปลูกเหมือนกับหัวข้อการเพาะ เมล็ด ) พอเจริญเติบโตเต็มที่ประมาณ 1 เดือน ก็สามารถเก็บยอดมาปรุงอาหาร ได้ ทั้งนี้ เพื่อให้ตำลึงแตกยอดใหม่ทยอยออกมาตลอดปี ต้องหมั่น เก็บมาบริโภคอยู่เสมอ ในขณะเดียวกันให้ใส่ปุ๋ยคอก ช่วยเพิ่มเติมอาหารในดิน ประมาณเดือนละครั้ง ต้องหมั่นรดน้ำสม่ำเสมอในหน้าแล้งและหน้าหนาว ส่วนหน้าฝนจะเว้นได้บ้างแต่ต้องช่วยรดน้ำในขณะที่ฝนทิ้งช่วง
จัดทำ/เผยแพร่โดย : กลุ่มสื่อส่งเสริมการเกษตร
สำนักพัฒนาการถ่ายทอดเทคโนโลยี
กรมส่งเสริมการเกษตร
Subscribe to:
Posts (Atom)