“Jess” เสิร์ฟความสด กับบุฟเฟต์ซีฟู้ดเต็มอิ่ม

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์2 สิงหาคม 2555 17:55 น.

บรรยากาศภายในห้องอาหาร “Jess”
       อิ่มจริง...อิ่มจัง....
      
       ความรู้สึกอิ่มแน่นท้องมากมาย กับอาหารสารพัดอย่างที่อยู่ตรงหน้า เกิดขึ้นกับ “ตระเวนกิน” อีกแล้ว เมื่อในมื้อนี้เราได้เดินทางมาตระเวนกินบุฟเฟต์ซีฟู้ดที่ ห้องอาหาร “Jess” (เจส) โรงแรมเซ็นจูรี่ พาร์ค
      
       ห้องอาหาร Jess แห่งนี้ได้ถูกปรับโฉมใหม่ เมื่อมาแล้วจะสัมผัสได้ถึงบรรยากาศห้องอาหารที่ตกแต่งสไตล์โมเดิร์น ดูโปร่งโล่งชวนนั่ง จัดโต๊ะนั่งในมุมสบายๆ และมีมุมเคาน์เตอร์อาหารมากมายให้ได้เลือกอร่อยกัน
มุมอาหารทะเลสดๆ
       สำหรับบุฟเฟต์ซีฟู้ดของที่ห้องอาหาร Jess นี้จะมีบริการเฉพาะมื้อเย็นวันศุกร์และวันเสาร์เท่านั้น ราคา 1,300 บาทต่อคน (ไม่รวมเครื่องดื่ม) ต้องบอกว่ามีความน่าสนใจมาก เพราะว่ามีอาหารทะเลสดๆ นำเข้ามาจากต่างประเทศให้ได้ลิ้มลองกันมากมาย ไม่ว่าจะเป็น ปูอลาสก้าก้ามโตนำเข้าจากอเมริกา หอยแมลงภู่ตัวใหญ่นำเข้าจากนิวซีแลนด์ หอยนางรมตัวโตสดๆ นำเข้าจากชิลี กุ้งลายเสือ Rock Lobsterของเมืองไทยเรา
มุมขนมหวานทั้งไทยและฝรั่ง
       และยังมีปูม้านึ่งกับสมุนไพรไทย ซึ่งอาหารทะเลพวกนี้ต้องบอกว่ามีความสดใหม่ กินแล้วเนื้อแน่นหวาน จิ้มกินคู่กับน้ำจิ้มซีฟู้ดรสแซบเด็ดโดนใจ และก็ยังมีปลากะพงแดง หรือปลากะพงขาว ตัวโตๆ นำมาอบเกลือ ให้ได้ลิ้มรสชาติของเนื้อปลาที่สดหวาน
มุมสลัดและอาหารญี่ปุ่น
       นอกจากมุมซีฟู้ดสดๆ แล้วก็ยังมีมุมเคาน์เตอร์อาหารอื่นๆ ให้ได้เลือกตักมากินแบบอิ่มไม่อั้นกันอีกมากมาย ไม่ว่าจะเป็น มุมอาหารนานาชาติ ที่มีทั้งอาหารไทยรสเด็ด หรืออาหารฝรั่งนานาเมนูจานเด็ดหลากหลายให้ได้ลิ้มรสตามใจ แบบหมุนเวียนเปลี่ยนกันไปเพื่อไม่ให้เกิดความจำเจ
อาหารทะเลๆ ชวนกิน
       ยังไม่หมดเพียงเท่านี้ยังมีมุมติ่มซำนึ่งร้อนๆ ให้ได้เลือกมากินกัน มีมุมซุปที่มีซุปเห็ด ซุปถั่วลันเตา หรือซุปข้าวโพดให้ได้ลิ้มรส และยังมีซุปสไตล์ไทยๆ อย่างต้มข่าไก่ ต้มยำกุ้งแม่น้ำ หรือกระเพาะปลา ซึ่งจะหมุนเวียนเปลี่ยนกันไปในแต่ละวัน ให้ได้เลือกมาชิมกันตามใจชอบ
สเต็กเนื้อเซอร์ลอย
       ส่วนถ้าใครชอบกินสเต็กก็มีมุมสเต็ก ที่จะมีเชฟคอยทำสเต็กให้ และมีเนื้อสเต็กให้เลือกอยู่ 2 อย่างคือ สเต็กเนื้อเซอร์ลอยนำเข้าจากออสเตรเลีย และสเต็กปลาแซลมอนนำเข้าจากนอร์เวย์ และมีน้ำเกรวี่สูตรพิเศษรสชาติดีราดมาบนสเต็ก ซึ่งเนื้อสเต็กเคี้ยวนุ่มหนึบหนับปากมาก ส่วนเนื้อปลาแซลมอนก็นุ่มแน่น แล้วก็ยังมี Baked Virginia Ham นำเข้าจากอเมริกา เนื้อนุ่มๆ หอมอร่อยให้ได้ชิมกัน และมีพาร์มาแฮมนำเข้าจากอิตาลีให้ได้ลิ้มรสกันอีกด้วย
สเต็กปลาแซลมอน
       แล้วก็ยังมีมุมอาหารญี่ปุ่น ที่มีซูชิหลากหลายหน้าให้ได้เลือกกินกันตามชอบใจ มุมสลัดที่มีผักสลัดสดๆ และน้ำสลัดนานาชนิดให้เลือกกิน มีมุมของหวานที่มีทั้งเค้ก ขนมไทยๆ ไอศกรีม และผลไม้สดๆ เรียกว่ามีอาหารมากมายหลากหลายอย่างให้ได้เลือกกินกันตามใจชอบแบบไม่อั้น
มุมอาหารนานาชาติ
       ถ้าหากแฟนๆ นักกินคนไหนที่ชื่นชอบกินซีฟู้ดสดๆ และอาหารอื่นๆ แบบไม่อั้น มาที่นี่ขอบอกว่าไม่ผิดหวัง รวมถึงถ้าหากใครไม่อยากกินบุฟเฟต์ทางห้องอาหาร “Jess” ยังมีอาหาร a la carte จานเด็ดอื่นๆ ให้ได้เลือกสั่งมากินกันอีกมากมาย แบบถูกปากถูกใจนักกินทั้งหลายอย่างแน่นอน
โซนโต๊ะนั่งสบายๆ
       * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * *
      
       ห้องอาหาร “Jess” (เจส) ตั้งอยู่ที่ชั้นล็อบบี้ โรงแรมเซ็นจูรี่ พาร์ค 9 ถ.ราชปรารภ ประตูน้ำ-อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ กรุงเทพฯ การเดินทางจากอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ ให้ตรงมาที่แยกดินแดง แล้วเลี้ยวขวาเข้าถ.ราชปรารภ จะเห็นรร.เซ็นจูรี่ฯ อยู่ทางซ้ายมือ ห้องอาหารเจสเปิดทุกวัน เวลา 06.00 - 10.30 น. (อาหารเช้า) 11.30 - 14.30 น.(อาหารกลางวันตามสั่ง ) 18.00 - 22.30 น. (อาหารค่ำ และซีฟู้ดบุฟเฟต์มีเฉพาะศุกร์และเสาร์) ถ้ามากินบุฟเฟต์แนะนำว่าควรโทร. มาจองโต๊ะก่อนจะ โทร. 0-2246-7800 ต่อ 4503

“บุษราคัม” อาหารไทยชาววัง เมนูวิจิตรเลิศรส

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์16 สิงหาคม 2555 16:11 น.
บรรยากาศโต๊ะนั่งสบายๆ ภายในร้าน “บุษราคัม”
       ความประณีตบรรจง ในการปรุงแต่งอาหารให้มีหน้าตาออกมาวิจิตรงดงามชวนกิน เห็นทีต้องขอยกให้กับ “อาหารไทยชาววัง” ของ ไทยเรา ที่มีการบรรจงตกแต่งอาหารและสลักเสลาผักต่างๆ ประกอบจานให้ออกมามีหน้าตาที่สวยงาม อีกทั้งอาหารไทยก็ยังมีรสชาติอันเลิศรสชวนลิ้มลอง เป็นที่ถูกปากถูกใจเหล่านักกินทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ
      
       ดังนั้นในมื้อนี้ “ตระเวนกิน” เลยอยากจะชวนแฟนๆ ที่พิสมัยอาหารไทย ไปอิ่มอ่อยกับอาหารไทยแบบชาววังแท้ๆ กันที่ร้านนี้ดีกว่า “บุษราคัม” เป็น ร้านอาหารที่นำเอาบ้านเก่าหลังงามมาดัดแปลงตกแต่งให้เป็นร้านอาหารที่มี บรรยากาศชวนนั่งสบายๆ ดูอบอุ่น มีพื้นที่โต๊ะนั่งชั้นล่าง ชั้นบน มีห้องส่วนตัวให้บริการเหมาะแก่การมาจัดเลี้ยงสังสรรค์ และยังมีส่วนโต๊ะนั่งด้านนอกรับลมธรรมชาติเย็นๆ
บรรยากาศโต๊ะนั่งชั้นบน
       สำหรับอาหารของที่นี่ นำเสนออาหารไทยแต่เพียงอย่างเดียว และเป็นอาหารไทยแท้สูตรชาววัง ที่เสิร์ฟมาพร้อมผักและผลไม้ที่แกะสลักอย่างประณีตงดงามวางแต่งมาบนอาหารทุก จาน ซึ่งรสชาติอาหารไทยของที่นี่เป็นแบบไทยแท้ไม่ผิดเพี้ยน ด้วยฝีมือการปรุงที่ถ่ายทอดมาจากอาจารย์บุญชู ผลวัฒนะ ที่ได้รับการยกย่องจากนิตยสาร Heinz ให้เป็น 1 ใน 10 สุดยอดแม่ครัวโลก
อาหารว่างชุดบุษราคัมชาววัง
       ว่าแล้วจะรอช้าอยู่ใย ตามมาชิมอาหารไทยเมนูเด็ดของที่นี่กันดีกว่า ขอนำเสนอเมนูแรกด้วย อาหารว่างชุดบุษราคัมชาววัง (160 บาท++/ชุด/คน) หน้าตาอาหารชวนกินมากๆ เป็นของว่างที่ในชุดจะมีอาหารอยู่ 5 อย่าง มาแบบอย่างละ 1 ชิ้น ประกอบไปด้วยช่อม่วงสีสวยจับจีบเป็นดอกไม้สวยงาม กินแล้วสัมผัสได้ถึงแป้งที่นุ่มกลมกลืนเข้ากับไส้ไก่ปรุงรสที่สอดไส้อยู่ ข้างใน อีกอย่างเป็นกระทงทอง เป็นแป้งทอดกรอบทำเป็นรูปกระทงและใส่ไส้กุ้งกับหมูที่ผัดปรุงรสกับข้าวโพด ถั่วลันเตา และแครอท ชิมแล้วกระทงทองกรอบเข้ากับไส้ที่ใส่มารสกลมกล่อมถูกปากดี
      
       ส่วนอีกอย่างคือถุงเงินยวง เป็นฟองเต้าหู้ที่ข้างในสอดไส้กุ้งกับปูปรุงรสและนำไปทอด มีน้ำจิ้มใส่มาให้พร้อม กินแล้วแผ่นฟองเต้าหู้ข้างนอกกรอบนิดๆ ส่วนไส้ข้างในนุ่มปากได้รสชาติน้ำจิ้มหวานๆ เข้ากันดีจริง แล้วก็ยังมีหรุ่ม หน้าตาเป็นตาข่ายที่นำมาจากไข่แล้วห่อกับไส้กุ้งกับหมูปรุงรส ลิ้มรสแล้วไส้รสกลมกล่อมถูกปากดีไม่น้อย อย่างสุดท้ายคือกุ้งซ่อนกลิ่น รูปทรงสวยชวนกินเป็นการนำเอากุ้งสับมาผสมกับมะนาว ขิง หอมแดงคลุกเคล้าให้เข้ากันและบีบเอาน้ำออก แล้วปั้นเป็นลูกกลมๆ จากนั้นนำมาห่อด้วยใบผักกาดหอมที่ต้มแล้ว ส่งเข้าปากทั้งลูกเคี้ยวกร้วมไส้รสชาติดีออกเปรี้ยวนิดๆ ถูกปากไปอีกแบบ
หมี่กรอบชาววัง
       จากนั้นมาชิมเมนูนี้ หมี่กรอบชาววัง (160 บาท++) เป็นเส้นหมี่ขาวที่นำไปทอดให้ฟูกรอบ แล้วจึงนำมาผัดกับน้ำปรุงสูตรพิเศษของทางร้าน ผัดคลุกเคล้าจนน้ำปรุงซึมเข้าไปในเส้นหมี่ แล้วนำมาใส่ในกระทงรังนกที่ทำจากเส้นหมี่ขาวทอดกรอบ ด้านในใส่กุ้ง แล้วโรยหน้าด้วยผิวส้มซ่าและไข่ฝอย มีกระเทียมดอง ถั่วงอกดิบ พริก มาให้กินเคียง ลองลิ้มหมี่กรอบเคี้ยวกรุบกรอบได้รสชาติน้ำปรุงรสเข้มข้นที่ซึมอยู่ในเส้น หมี่อร่อยถูกปากดีแท้
ไก่ห่อใบเตย
       ตามด้วยมากินเมนู ไก่ห่อใบเตย (240 บาท++) ทางร้านนำเนื้อไก่ส่วนสะโพกมาหมักกับเครื่องสมุนไพรไทย หมักนานกว่า 1 ชม. แล้วนำมาห่อกับใบเตยหอม เอาไปนึ่งและทอดอีกครั้ง เสิร์ฟมาร้อนๆ พร้อมกับน้ำจิ้มไก่สูตรพิเศษ ชิมแล้วเนื้อไก่หอมกลิ่นใบเตยอ่อนๆ ไก่เนื้อนุ่มถึงเครื่องหมักรสชาติดี แถมยังมีเครื่องเคียงอย่างหอมดอง แครอทดอง หัวไชเท้าดองมาให้กินแกล้มด้วย
ฉู่ฉี่กุ้งนาง
       แล้วก็ต้องไม่พลาดเมนูนี้ ฉู่ฉี่กุ้งนาง (380 บาท++) หน้าตาน่ากินมาก เป็นกุ้งแม่น้ำขนาดกลางๆ 2 ตัว นำมาทอดให้เนื้อกุ้งพอตึง แล้วจึงนำมาผัดกับเครื่องแกงฉู่ฉี่ที่ทางร้านโขลกเอง ใส่เห็ดฟางด้วย แกงฉู่ฉี่ของที่นี่ออกแนวข้นน้ำกะทิ ชิมแล้วขอยกนิ้วให้เลยในรสชาติของกุ้งเนื้อแน่นผสานด้วยรสชาติเครื่องแกงฉู่ ฉี่รสเข้มข้นถึงเครื่องแกงโดนใจปากมากๆ
ฟักทองเลิศรส
       ส่งท้ายแนะนำเมนูของหวาน ฟักทองเลิศรส (60 บาท++) เป็นฟักทองที่นำไปผสมกับแป้งมันแล้วนวดให้เข้ากัน และรีดให้เป็นแผ่นตัดมาเป็นชิ้นๆ แล้วจึงนำมาบวด (ต้ม) กับน้ำกะทิคั้นสด และใส่เนื้อมะพร้าวอ่อนด้วย ชิมฟักทองเนื้อเนียนนิ่มนุ่ม เข้ากับรสชาติน้ำกะทิหอมหวานมัน
บุฟเฟต์อาหารไทยมีเฉพาะมื้อเที่ยง
       และนอกจากเมนูต่างๆ ที่ได้แนะนำมานี้แล้ว ในเมนูอาหารก็ยังมีอาหารไทยจานเด็ดอีกหลายเมนูที่ชวนลองลิ้มอีก อาทิ แสร้งว่า (450 บาท++) ต้มจิ๋วหมู/เนื้อ (120 บาท++) น้ำพริกลงเรือ (220 บาท++) ขนมชุดบุษราคัม (270 บาท++) ฯลฯ และถ้าหากมากินช่วงมื้อกลางวัน เวลา 11.00-14.00 น. ทางร้านมีบุฟเฟต์อาหารไทยนำเสนอ ราคา 350 บาท++/คน จะได้อิ่มไม่อั้นกับอาหารไทยกว่า 25 อย่างรวมขนมหวานด้วย และมีโปรโมชั่น มา 4 จ่าย 3
      
       เห็นทีว่าถ้าแฟนๆ นักกินคนไหน เป็นแฟนพันธุ์แท้อาหารไทย และอยากจะลิ้มรสชาติของอาหารไทยชาววังขนานแท้ คงต้องรีบจูงมือกันมาที่ร้าน “บุษราคุม” กันแล้วล่ะ เพราะว่าอาหารไทยเลิศรสรอทุกคนอยู่
       * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * *
      
       ร้าน “บุษราคัม” ตั้ง อยู่ที่ 1 ถ.ศรีเวียง (ซอยประมวล) แขวงสีลม เขตบางรัก กทม. การเดินทางนั่งรถไฟฟ้า BTS ลงที่สถานีสุรศักดิ์ (ทางออก 3 ) และให้เดินมาที่ซอยประมวล เดินตรงเข้ามาแล้วเลี้ยวซ้ายซอยแรก (ถ.ศรีเวียง) ตรงเข้ามาแล้วก็จะเห็นร้านบุษราคัมอยู่ทางซ้ายมือมีป้ายร้านให้เห็นชัดเจน ร้านเปิดทุกวัน เวลา 11.00-14.00 น. และ 17.30-22.30 น. แนะนำว่าควรโทร. มาจองโต๊ะก่อน โทร. 0-2630-2216-8, 0-2235-7341-3 หรือเข้าไปดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ www.bussaracum.com

อิ่มอร่อยที่ “Four Seasons” ลิ้มรสเป็ดย่างชั้นเทพ ต้นตำรับจากลอนดอน

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์9 สิงหาคม 2555 14:49 น.

บรรยากาศโต๊ะนั่งภายในร้าน “Four Seasons”
       การแข่งขันกีฬาโอลิมปิก 2012 เดินทางมาถึงโค้งสุดท้ายแล้ว อีกไม่กี่วันก็จะรูดม่านปิดฉากลง
      
       โอลิมปิกครั้งนี้จัดขึ้นที่กรุงลอนดอน เมืองหลวงเก่าแก่ของอังกฤษซึ่งหากพูดถึงเรื่องอาหารการกินแล้ว บรรดาเศรษฐีและนักการเมืองหลายคนในบ้านเราที่เคยไปเยือนเมืองนี้ ส่วนใหญ่มักจะไม่พลาดการไปหม่ำ “เป็ดย่างโฟร์ซีซั่นส์” ของร้าน “Four Seasons London” หนึ่งในเมนูอันขึ้นชื่อลือชาของกรุงลอนดอน
“Four Seasons” ร้านชื่อดังจากลอนดอน
       สำหรับใครที่อยากจะกินเป็ดย่างชื่อดังกับเขาบ้าง ปัจจุบันไม่ต้องบินไปกินไกลถึงที่ลอนดอนแล้ว เพราะร้านเป็ดย่างโฟร์ซีซั่นส์ได้มาเปิดให้บริการในรสชาติต้นตำรับจากลอนดอน ที่เมืองไทย 2 สาขาด้วยกัน สาขาแรกที่สยามพารากอน ส่วนอีกสาขาหนึ่งเป็นสาขาใหม่อยู่ที่เมกะบางนาที่เพิ่งให้บริการได้ไม่นาน
      
       ด้วยเหตุนี้ “ตระเวนกิน” จึงขอพามากินเป็ดย่างโฟร์ซีซั่นส์เจ้าใหม่กันที่ร้าน “Four Seasons” ที่ตั้งอยู่ที่ Mega Bangna เมื่อเข้ามาในร้านก็จะได้อารมณ์เดียวกับร้านที่ลอนดอน ด้วยสไตล์การตกแต่งแบบจีนโมเดิร์น มีโต๊ะให้เลือกนั่งในมุมสบายและมีห้องส่วนตัวให้บริการอยู่ 4 ห้อง
เป็ดย่างโฟร์ซีซั่นส์
       ส่วนอาหารไม่ต้องพูดถึงแน่นอนว่าก็ต้องลิ้มรสเป็ดย่างกันให้ได้ และที่ร้านก็ยังมีอาหารจีนสไตล์จีนแคะ ให้ได้ลองล้มรสชาติกันมากหลายเมนู แต่ว่าเราขอประเดิมแรกด้วยเมนูขึ้นชื่อชูโรงอย่าง เป็ดย่างโฟร์ซีซั่นส์ (ตัว ละ 1,100 บาท++) โดยทางร้านใช้เป็ดไทยพันธุ์ผสมที่คัดมาเป็นพิเศษเฉพาะของทางร้าน (แต่ในช่วงปลายเดือนธ.ค. จะมีเป็ดที่ส่งตรงมาจากลอนดอนโดยเฉพาะ) นำมาล้างทำความสะอาดแล้วผ่านขั้นตอนการทำแบบเป็ดย่างสูตรต้นตำรับจากลอนดอน แท้ๆ
      
       โดยมีการนำเป็ดมาหมักกับเครื่องเทศจีนหลายชนิด แล้วยัดเข้าไปท้องเป็ดและทำการเย็บปิดตัวเป็ด หลังจากนั้นนำเป็ดไปราดด้วยน้ำซอสเลมอนกับน้ำส้มสายชู แล้วนำไปพึ่งลมให้ได้ที่ และนำไปอบให้ได้ที่อีกที จนได้เป็ดที่เนื้อนุ่ม หนังกรอบพอดี มีน้ำซอสเป็ดสูตรพิเศษเฉพาะของทางร้านที่เข้มข้นราดมาบนเนื้อเป็ด และมีน้ำจิ้ม 3 อย่างให้กินคู่กัน คือ พริกดอง น้ำพริกเผา และซอสพริก แค่ส่งชิ้นเป็ดส่งเข้าปากเคี้ยวแล้วสัมผัสได้ถึงความบางกรอบของหนัง และเนื้อเป็นที่เคี้ยวนุ่มปากชุ่มน้ำซอสที่ราดมาช่างอร่อยกลมกลืนเข้าถูกปาก โดนใจมากๆ
เป็ดอโรเมติก
       เมนูถัดมาเป็นอีกหนึ่งเมนูเป็ดที่ชวนลองลิ้มไม่แพ้กัน นั่นคือ เป็ดอโรเมติก ( 1 ตัว 1,500 บาท++, ครึ่งตัว 800 บาท++) ทางร้านเลือกใช้เป็ดผสมพันธุ์พิเศษ นำเป็ดมาตุ๋นในน้ำซุป ต่อจากนั้นทิ้งไว้ให้สะเด็ดน้ำ และทุบด้วยค้อนให้เนื้อเป็ดมีความนุ่ม แล้วนำไปแช่ในน้ำซุปอีกประมาณ 1 ชม. ก่อนจะนำมาทอดอีกที เสิร์ฟมาร้อนๆ และพนักงานจะมาฉีกเนื้อและหนังให้เป็นเส้นๆ พร้อมกินคู่กับแผ่นแป้งโรตี ต้นหอมญี่ปุ่น แตงกวาญี่ปุ่น และราดด้วยน้ำซอสสูตรพิเศษ ห่อเข้าด้วยกันกัดกินทั้งคำได้รสชาติของแผ่นแป้งโรตีหอมนุ่มเข้ากับเป็ด เนื้อนุ่มแห้งหนังกรอบไม่อมน้ำมัน และเข้ากันดีกับน้ำซอสที่หวานหอมอร่อยถูกปากดีจริง
ปลาหยินหยาง
       จากนั้นมาชิมเมนูปลากันบ้าง ปลาหยินหยาง (450 บาท++) เป็นปลาตาเดียวมาทำเป็นสองเมนูในจานเดียวกัน อย่างแรกแล่เนื้อปลาออกจากก้าง และนำก้างไปทอดให้ได้รูปทรงปลา นำเนื้อไปชุบแป้งทอดจนได้ที่ แล้วนำไปผัดกับเครื่องเคียง มีทั้งพริกชี้ฟ้าซอย ต้นหอมซอย หัวหอมใหญ่ซอย ผัดกับเกลือและพริกไทยจนเข้ากัน อีกอย่างเอาแต่เนื้อปลามาผัดกับเหล้าจีน ใส่คะน้าฮ่องกง เห็ดหลินจือขาว แครอท ผัดจนเข้ากัน และนำทั้งสองอย่างมาเสิร์ฟในจานเดียวกัน จะได้ลิ้มรสเนื้อปลา 2 แบบ 2 รสชาติที่อร่อยตรงที่เนื้อปลาสดเนื้อนุ่มหวาน
หมูสามชั้นผักกาดดองหม้อดิน
       แล้วก็มากินเมนู หมูสามชั้นผักกาดดองหม้อดิน (320 บาท++) เป็นหมูสามชั้นนำมาทอดจนได้ที่ และนำมาหมักกับซอสสูตรพิเศษ แล้วเอามาใส่หม้อดิน อบกับผักกาดดองสับปรุงรส พร้อมเสิร์ฟร้อนๆ ชิมแล้วได้รสชาติหมูสามชั้นที่เนื้อนุ่มหอมมันกำลังดี เข้ากันได้ดีกับผักกาดดองสับ หากใครที่ชอบเมนูหมูสามชั้นแล้วพลาดไม่ได้จริงๆ
โต๊ะนั่งมุมสบายๆ
       และนอกจากเหนือจากที่แนะนำมานี้แล้ว ก็ยังมีเมนูอื่นๆ ที่ชวนกินอีกมากมาย อาทิ กุ้งมังกรอบบะหมี่ (3,500 บาท++) ไก่ทอดฉงชิ่ง (280 บาท++) ปูเนื้อผัดกระเทียมเจียว (500 บาท++) กุ้งลายเสือพริกเกลือจัดจ้าน (600 บาท++) ฯลฯ ซึ่งหากใครที่ชื่นชอบการกินเป็ด หรืออาหารจีนเป็นชีวิตจิตใจ ก็ไม่ควรที่จะพลาดร้านอาหารชื่อดังอย่าง “Four Seasons” ซึ่ง มีเมนูเป็ดย่างโฟร์ซีซั่นส์อร่อยๆ สูตรต้นตำรับจากกรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ ส่งตรงมาให้นักกินได้ลิ้มรสกันถึงเมืองไทย แบบไม่ต้องเสียเวลาในการเดินทางและค่าใช้จ่ายมากมาย ก็ได้ลิ้มลองความอร่อยแบบสมใจปาก
บรรยากาศห้องส่วนตัว
       * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * *
      
       ร้าน “Four Seasons” (โฟร์ซี ซั่นส์) ตั้งอยู่ที่ Mega Bangna (เมกะ บางนา) โซนเมกะฟู้ด ถ.บางนา-ตราด กม.8 ต.บางแก้ว อ.บางพลี จ.สมุทรปราการ ร้านเปิดทุกวัน เวลา 11.00-22.00 น. ถ้ามากินแนะนำว่าควรโทร.มาจองโต๊ะก่อนจะดี โทร. 0-2105-1616 และยังมีอีกสาขาตั้งอยู่ที่สยามพารากอน โทร. 0-2610-9578

“Faye’s” อาหารไทย-อินเตอร์ ครบรสความอร่อย

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์23 สิงหาคม 2555 13:46 น.
บรรยากาศภายในร้าน “Faye’s” ชวนนั่งสบายๆ
       อาการท้องร้องโหยหิวหาอาหาร นี่มันไม่เข้าใครออกใครจริงๆ เพราะถึงแม้ว่าบางทีเราเพิ่งจะกินข้าวผ่านไปเพียงแค่ไม่กี่ชั่วโมง จู่ๆ ท้องก็ร้องจ๊อก..จ๊อก..อยากจะได้อาหารมาใส่ท้องกันอีกแล้ว
      
       “ตระเวนกิน” ก็เป็นพวกตามใจปากท้องเสียด้วยไม่ค่อยชอบให้ ท้องร้องหาอาหาร เราก็เลยต้องไปเสาะหาอาหารอร่อยๆ มาเติมเต็มความอิ่มให้กับปากท้องกัน และในมื้อนี้เราก็ได้มาอิ่มอร่อยกับอาหารรสเด็ดกันที่ร้าน“Faye’s” (เฟ ย์) ซึ่งถึงแม้จะเป็นร้านอาหารน้องใหม่ ที่เพิ่งเปิดตัวมาได้ไม่นาน แต่มีความน่าสนใจในเรื่องของอาหารและบรรยากาศร้านที่ชวนให้มานั่งกินข้าวแบบ สบายๆ
บรรยากาศห้องส่วนตัว
       บรรยากาศของร้าน“Faye’s” ถูกตกแต่งสไตล์ฮิปแอนด์ชิลล์ ดูโปร่งโล่งสบายชวนนั่ง แถมยังมีห้องส่วนตัวให้บริการอีก 4 ห้อง ส่วนอาหารของที่ร้านนี้นำเสนอทั้งอาหารไทยแนวประยุกต์รสจัดจ้าน และมีอาหารอินเตอร์ อย่างอาหารอิตาเลียน, ยุโรป และฝรั่งเศสให้ได้ลิ้มลองรสชาติ ตามสูตรเด็ดเฉพาะที่ทางร้านคิดค้นขึ้นมาเป็นพิเศษ และใส่ใจในเรื่องของการคัดสรรวัตถุดิบที่มีคุณภาพ และมีวัตถุดิบที่ต้องอิมพอร์ตเข้ามาเป็นพิเศษอีกด้วย
ไก่ทอดซอสมะขาม
       ว่าแล้วก็เปิดเมนูอาหารเลือกสั่งอาหารจานเด็ดของที่นี่มาชิมกันดีกว่า เริ่มด้วยเมนูแรก ไก่ทอดซอสมะขาม (150 บาท++) เป็นเนื้อไก่ส่วนอกนำมาสไลด์เป็นชิ้นแล้วหมักกับเครื่องปรุงสูตรพิเศษของทาง ร้าน แล้วนำไปทอดแบบกรอบนอกนุ่มใน และทำซอสน้ำมะขามสูตดเด็ดมาราดบนเนื้อไก่อีกที โรยหน้าด้วยตะไคร้ซอย ใบมะกรูด และพริกแห้งทอดกรอบ ชิมแล้วเนื้อไก่กรอบนอกนุ่มในได้รสชาติซอสมะขามรสดีออกเปรี้ยวๆ หวานๆ ถูกปากจริง
หมี่กรอบ
       เมนูถัดมานำเสนอ หมี่กรอบ (180 บาท++) สไตล์พิเศษของทางร้านที่นำเอาเส้นหมี่ขาวที่มีความยาว 1 นิ้ว มาทอดแล้วนำมาคลุกเคล้ากับน้ำซอสสูตรพิเศษ และใส่กุ้งแห้งทอดกรอบ เต้าหู้เหลืองทอด ใบกุยช่าย หอมแดง โรยหน้าด้วยไข่ฟูทอดกรอบ และกุ้ง แถมมีผักสดอย่างถั่วงอกกับใบกุยช่ายเป็นเครื่องเคียง กินแล้วเส้นหมี่กรอบกรุบซึมรสชาติน้ำซอสรสเข้มข้น
หมูตกน้ำมะนาว
       ตามมาด้วยเมนูนี้ หมูตกน้ำมะนาว (200 บาท++) เป็นเนื้อหมูส่วนสันนอกหั่นเป็นชิ้นสี่เหลี่ยมลูกเต๋า แล้วนำมาหมักกับเครื่องปรุงจนนุ่มและนำมาย่าง และมีน้ำปรุงรสเด็ดที่ใช้น้ำมะนาวสดๆ ปรุงกับส่วนผสมต่างๆ นำมาราดบนเนื้อหมู ที่รองจานด้วยใบคะน้าทอดกรอบ โรยด้วยใบสะระแหน่หอมๆ ส่งชิ้นเนื้อหมูเข้าปากเคี้ยวนุ่มหนึบปากได้รสชาติเปรี้ยวแซบของน้ำปรุงโดน ใจ
เกี๊ยวสะดุ้งกุ้งสับ
       จากนั้นมากินเมนูนี้กันบ้าง เกี๊ยวสะดุ้งกุ้งสับ (180 บาท++) ทางร้านนำแผ่นเกี๊ยวมาทอดกรอบ แล้วก็ทำน้ำซอสข้นๆ หนืดๆ คล้ายกับราดหน้า มีส่วนผสมของเนื้อกุ้งสับ และผงกะหรี่หอมๆ แล้วนำมาราดบนแผ่นเกี๊ยว ชิมแล้วก็ถูกปากไปอีกแบบกับแผ่นเกี๊ยวเคี้ยวกรอบ ชุ่มน้ำซอสรสกลมกล่อมลิ้น
เพนเน่หมูเผ็ด
       แล้วก็มาชิม เพนเน่หมูเผ็ด (180 บาท++) เป็นเส้นเพนเน่นำมาผัดกับโอลีฟออย ใส่เบคอน หมูสับ เห็ดออรินจิ และใส่ชิลลี่ออยสไตล์อิตาเลียน และพริกไทยดำ ผัดมาแบบแห้งๆ โรยด้วยใบมะกรูดทอดกรอบ ลิ้มรสแล้วเส้นเพนเน่อร่อยถูกปากรสชาติออกเผ็ดจัดจ้านโดนใจดีแท้
ช็อกโก้โทส
       และมากินเมนูของหวาน ช็อกโก้โทส (180 บาท++) เป็นขนมปังนำมาชุบเนยแล้วอบ แล้วก็ราดด้วยซอสชอคโกแลตที่ทำมาจากดาร์กชอกโกแลตจากเบลเยี่ยม โรยด้วยน้ำตาลไอซ์ซิ่ง กินแล้วขนมปังกรอบนอกนุ่มในฉ่ำซอสชอคโกแลตหวานหอม
      
       นอกจากนี้แล้วทางร้านก็ยังมีเมนูจานเด่นอื่นๆ ให้ได้เลือกลิ้มรสกัน อาทิ ยำผลไม้จี๊ดจ๊าด (120 บาท++) ปลากระป๋องฟู (150 บาท++) สตูขาแกะ (620 บาท++) วากิวริบอาย (680 บาท++) และอีกหลากหลายกว่า 200 เมนู ให้ได้เลือกอิ่มอร่อยกันตามในชอบ เพียงแค่พากันมาที่ร้าน “Faye’s” แห่งนี้
       * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * *
      
       “Faye’s” ตั้งอยู่ที่ 1 ถ.นราธิวาสราชนครินทร์ แขวงทุ่งวัดดอน เขตสาทร กทม. การเดินทางถ้ามาจากถ.สีลม ให้ขับมาที่ ถ.นราธิวาสราชนครินทร์ แล้วตรงมาที่ห้างแม็คโคร จะเห็นร้านเฟย์ตั้งอยู่บริเวณที่จอดรถด้านหน้าแม็คโคร มีป้ายร้านให้เห็นชัดเจน มีที่จอดรถด้านหน้าร้าน เปิดทุกวัน (ยกเว้นวันจันทร์) เวลา 10.30-14.00 น. และ 17.30-22.00 น. ถ้ามากินอาหารแนะนำว่าควรโทร. มาจองโต๊ะก่อน โทร. 0-2676-2559, 0-2676-2959 หรือเข้าไปดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ www.fayebyfai.com
      
       พิเศษสำหรับผู้ที่มากินอาหารที่ร้านแล้วบอกว่าอ่านมาจาก www.manager.co.th ทางร้านยินดีมอบยำผลไม้จี๊ดจ๊าดให้ฟรี 1 จาน ตั้งแต่วันนี้ ถึง 31 ส.ค. นี้

การปลูกตำลึง

ที่มา กรมส่งเสริมการเกษตร
ตำลึง เป็นผักพื้นบ้านที่คนทั่วไปรู้จักกันมานาน เป็นผักที่มี คุณค่าทางโภชนาการมาก สามารถนำไปปรุงอาหารได้หลากหลายชนิด เช่น แกงจืด ต้มจิ้มน้ำพริก ใส่ก๋วยเตี๋ยวและต้มเลือดหมู เป็นต้น ในอดีตนั้นเราไม่ จำเป็น ต้องปลูกตำลึงเอาไว้รับประทานเอง เนื่องจากตำลึงมักพบเห็นทั่วไป ตามเถาไม้เลื้อยอื่น ตามพุ่มไม้เตี้ยหรือพุ่มไม้แห้งตาย รวมทั้งขึ้นตามริม รั้วบ้าน จนมีคำกล่าวถึง “ ตำลึงริมรั้ว ” อยู่เสมอ
แต่ในปัจจุบันเราไม่ค่อยพบตำลึงตามริมรั้วอีกแล้ว จะเห็นก็เฉพาะ ในที่รกร้างว่างเปล่า หรือไม่ก็ตามสวนที่ปลูกตำลึงไว้เพื่อการค้า ซึ่งสามารถ ทำรายได้อย่างงามแก่ผู้ปลูกตำลึงขายเป็นอย่างดี
ลักษณะทางพฤกษศาสตร์
ตำลึงเป็นไม้เถาเลื้อย เถาตำลึงมี ลักษณะกลม แยกเพศกันอยู่คนละต้น ปลายดอก
แยกออกเป็น 5 แฉก โคนติดกันเป็นกรวย ผลมีรูปร่าง กลมรีคล้ายแตงกวาแต่มีขนาดเล็กกว่า ผลอ่อนมี
สีเขียวลายขาว เมื่อแก่กลายเป็นสีแดง ตำลึงเป็น พืชที่ชอบน้ำ จะสังเกตเห็นว่าในหน้าแล้งใบตำลึงจะ
แคระแกร็น แต่ในหน้าฝนยอดตำลึงจะอ่อนอวบอิ่ม น่ารับประทาน ตำลึงออกดอกประมาณ
เดือนมิถุนายน - กรกฎาคม
คุณค่าทางอาหาร
ตำลึงเป็นผักใบเขียวเข้มมีคุณค่าทางอาหารสูงมีทั้งเบต้า – แคโรทีน ที่ช่วยลดอัตราเสี่ยงในการเกิดโรคมะเร็ง โรคหัวใจขาดเลือด ทั้งในแคลเซียม และสารอาหารอื่น ๆ ที่พร้อมกันมาช่วยให้สุขภาพร่างกายสมบูรณ์แข็งแรง นอกจากนี้ยังพบว่า ตำลึงยังประกอบไปด้วยเส้นใย ที่มีความสามารถในการจับ
ไนไตรท์ได้ดีที่สุด เมื่อเทียบกับพืชชนิดอื่น นี่เป็นคุณลักษณะพิเศษของตำลึง ที่มีเส้นใยคอยจับไนไตรท์เพราะจะเป็นการลดอัตราเสี่ยงในการเกิดโรคมะเร็งใน กระเพาะอาหารได้
การปลูกและการขยายพันธุ์
ตำลึงมีการปลูกและขยายพันธุ์ได้ 2 วิธี คือ
• เพาะเมล็ด
• ปักชำด้วยเถา
การเพาะเมล็ด
มีวิธีการง่าย ๆ ดังนี้
เตรียมดินเหมือนปลูกผักทั่วไปผสมปุ๋ยชีวภาพหรือปุ๋ยคอกก็ได้ นำ ผลตำลึงแก่สีแดงแกะเอาเมล็ดออกมาโรยบนดินที่เตรียมไว้ โรยดินกลบหรือ ใช้ใบไม้แห้งกลบบาง ๆ รดน้ำให้ชุ่มเช้าเย็น ตำลึงชอบดินชุ่มแต่อย่าให้แฉะ เพราะจะเกิดโรคโคนเน่าได้ เมื่อต้นงอกขึ้นมาสักประมาณ 5 ซม. เริ่มมีมือเกาะให้ทำค้าง
(เนื่องจากตำลึงเป็นไม้เลื้อย จำเป็นต้องใช้ค้าง เพื่อให้ตำลึงไต่ขึ้นสู่ที่สูงเพื่อ รับแสงแดด ) เหมาะที่สุดคือ ความสูงระดับ 1 เมตรขึ้นไป แต่ไม่ควรสูงเกิน 3 เมตร เพราะจะไม่สะดวกในการเก็บยอดตำลึง โดยใช้ไม้ไผ่ต้นเล็ก 3 ต้น ปัก เป็น 3 เส้า รอบปลายเชือกเข้าไว้ด้วยกัน ผูกด้วยเชือกกล้วยหรือเชือกปอ ใช้
วัสดุที่ย่อยสลายได้ตามธรรมชาติ เพื่อช่วยกันอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมอีกทางหนึ่ง หรือหากมีรั้วไม้ระแนง ก็ถือโอกาสใช้ประโยชน์โดยโรยเมล็ดไปตามริมรั้วเลย ทีเดียว
ตำลึงต้องได้รับแสงแดดตลอดทั้งวัน ลมโกรกผ่านได้ ตำลึงจะ สังเคราะห์แสงแดดคายไอน้ำได้เต็มที่ ควรปล่อยให้มดแดงขึ้น เพราะจะช่วยกิน เพลี้ยและแมลงที่จะมากัดกินตำลึง
ปักชำด้วยเถา
การปลูกตำลึงเพื่อการค้านั้นนิยมขยายพันธุ์ด้วยวิธีนี้ เนื่องจาก ตำลึงจะเจริญเติบโตเร็วกว่าการเพาะด้วยเมล็ด
วิธีการปักชำ
ให้นำเถาที่แก่พอสมควรมาตัดให้ยาว 15 – 20 ซม. ปักชำในหลุม ปลูกที่ได้เตรียมไว้แล้ว( ลักษณะขั้นตอนการปลูกเหมือนกับหัวข้อการเพาะ เมล็ด ) พอเจริญเติบโตเต็มที่ประมาณ 1 เดือน ก็สามารถเก็บยอดมาปรุงอาหาร ได้ ทั้งนี้ เพื่อให้ตำลึงแตกยอดใหม่ทยอยออกมาตลอดปี ต้องหมั่น เก็บมาบริโภคอยู่เสมอ ในขณะเดียวกันให้ใส่ปุ๋ยคอก ช่วยเพิ่มเติมอาหารในดิน ประมาณเดือนละครั้ง ต้องหมั่นรดน้ำสม่ำเสมอในหน้าแล้งและหน้าหนาว ส่วนหน้าฝนจะเว้นได้บ้างแต่ต้องช่วยรดน้ำในขณะที่ฝนทิ้งช่วง

จัดทำ/เผยแพร่โดย : กลุ่มสื่อส่งเสริมการเกษตร
สำนักพัฒนาการถ่ายทอดเทคโนโลยี
กรมส่งเสริมการเกษตร