อร่อยล้ำ ดื่มด่ำแจ๊ส ที่ “Brown Sugar”

ที่มา โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 19 เมษายน 2555 17:22 น.
บรรยากาศร้าน Brown Sugar นั่งสบายๆ ฟังเพลงแจ๊ส
       ท่วงทำนองของดนตรีเพลงแจ๊สดังขึ้นอย่างสนุกสนาน พาใจให้ “ตระเวนกิน” ต้องรีบเยื้องกรายเดินตามเสียงดนตรีอันไพเราะสะเนาหู เพื่อไปยังต้นตอของเสียงเพลงแจ๊สที่ชวนฟัง ซึ่งกำลังดังมาจากร้าน “Brown Sugar the Jazz Boutique” ที่ตั้งอยู่ตรง ถ.พระสุเมรุ
      
       สำหรับคอเพลงแจ๊สทั้งหลาย เชื่อว่าถ้าเอ่ยชื่อร้าน “Brown Sugar the Jazz Boutique”ขึ้นมาแล้วต้องรู้จักถึงชื่อเสียงของร้านกันเป็นอย่างดี เพราะว่าร้าน Brown Sugar โด่ง ดังมาจากที่ย่านหลังสวน มานานเกือบ 30 ปี จัดได้ว่าเป็นร้านตำนานแจ๊สผับของเมืองไทย แต่ว่าทุกวันนี้ได้ย้ายมาอยู่ที่ ถ.พระสุเมรุ และเนรมิตให้ตึกแถวเก่าที่มีมนต์ขลัง กลายมาเป็นร้านแจ๊สที่มีสไตล์เป็นของตัวเอง โดดเด่นด้วยบรรยากาศร้านที่ตกแต่งแบบคลาสสิค มีงานศิลปะประดับอย่างลงตัว
วงดนตรี Brown Sugar House Band
       ด้านในร้านจัดเป็นโต๊ะนั่งแบบสบายๆ มีโต๊ะหลายโซนให้เลือกนั่ง มีทั้งโต๊ะนั่งโซนติดเวทีด้านหน้าที่จะได้เห็นนักดนตรีเล่นเพลงอย่างใกล้ชิด และมีโต๊ะนั่งติดกับเคาเตอร์บาร์ที่คอยบริการเครื่องดื่มแบบครบครัน หรือถ้าใครชอบความเป็นส่วนตัวสักนิดก็มีห้องวีไอพีบริการ 1 ห้อง ส่วนถ้าใครชอบสัมผัสความเป็นธรรมชาติรับลมเย็นๆ ก็มีโซนเทอเรสโต๊ะนั่งด้านหลังที่อยู่ติดกับคลองบางลำพูชวนนั่งแบบรื่นรมย์ กับสายน้ำตกจำลอง
      
       แล้วยังมีชั้น 2 ที่จัดให้เป็นส่วนของ Gallery & Play House มีพื้นที่กว่า 80ตร.ม. ทางร้านอยากให้เป็นพื้นที่สำหรับการแสดงนิทรรศการศิลปะแขนงต่างๆ หรือจัดงานคอนเสิร์ต งานอีเว้นท์ จัดกิจกรรมต่างๆ ที่ถ้าใครสนใจก็สามารถมาเลือกใช้บริการพื้นที่ได้
       และหากใครที่เป็นคอกาแฟโดยเฉพาะ ทางด้านหน้าร้านยังเปิดเป็น Brown Sugar Café ที่จะมีอาหารเช้าและกลางวันแบบจานด่วนแต่เน้นคุณภาพและรสชาติ พร้อมให้ลิ้มรสควบคู่ไปกับการจิบกาแฟหอมๆ รสละมุน และมีเค้กโฮมเมดให้ได้ละเลียดลิ้นกันอีกด้วย ซึ่งส่วนนี้เปิดตั้งแต่ 08.00-19.00 น.
      
       นี่แค่บรรยากาศร้านก็ชวนให้เคลิบเคลิ้มน่านั่ง ถ้าพูดถึงดนตรีแจ๊สแล้วรับรองว่าไม่ผิดหวัง ทางร้านจัดเต็มเรื่องดนตรีแจ๊ส โดยทุกวันตั้งแต่ 21.00 น. เป็นต้นไปจะมีนักดนตรีวงประจำอยู่ 3 วง คือ Brown Sugar House Band, Mellow Motif และวงสาวสะดุ้ง แล้วในวันเสาร์-อาทิตย์ ก็จะมีมินิคอนเสิร์ตจากศิลปินแจ๊สชื่อดังจากทั่วโลกมาเล่นดนตรีแจ๊สให้ฟัง อย่างสนุกสนานสลับหมุนเวียนเปลี่ยนกันไป
      
       แต่ถ้าจะมานั่งฟังเพลงแจ๊สให้อิ่มใจอย่างเดียวก็กระไร ต้องขออิ่มท้องแบบครบสูตรกันไปด้วย ซึ่งที่นี่มีอาหารเลิศรสคอยให้ได้ลิ้มรสกันด้วย ซึ่งอาหารของที่นี่มีทั้งอาหารไทย, เม็กซิกัน, เยอรมัน, อิตาเลียน และอาหารเมนูใหม่ๆ แนวฟิวชั่นที่ทางร้านคิดค้นสูตรขึ้นมาโดยเฉพาะ และคัดสรรแต่วัตถุดิบชั้นดีมาปรุงเป็นอาหารจานเด็ดให้ได้ลิ้มรสกันมากมาย
สโมกแซลมอนลุยสวน
       อย่างที่อยากจะแนะนำให้ลองลิ้มกันก็มี สโมกแซลมอนลุยสวน (240 บาท) จะได้ลิ้มรสเแซลมอนรมควันจากนอร์เวย์เนื้อหอมนุ่ม กินคู่กับเครื่องสมุนไพรไทยต่างๆ ที่คลุกเคล้ากับน้ำยำ 3 รส เปรี้ยว เค็ม หวานเจือรสเผ็ดนิดหน่อย และมีผักสดมาให้กินเคียงเหมือนกินเมี่ยง
กุ้งคั่วพริกกะเกลือ
       กุ้งคั่วพริกกะเกลือ (350 บาท) เป็นกุ้งทะเลตัวใหญ่ทอดแล้วคั่วกับเกลือและพริกขี้หนู เพิ่มความหอมด้วยเม็ดพริกไทยสดและใบมะกรูดทอด เต็มปากเต็มคำกับกุ้งเนื้อแน่นหวานผสานความเค็มนิดๆ เผ็ดหน่อยๆ หอมกลิ่นเครื่องเทศ
แซลมอนราดซอสมะขามพริกเผา
       แซลมอนราดซอสมะขามพริกเผา (280 บาท) เมนูนี้จะได้ลิ้มรสเนื้อปลาแซลมอนสดจากนอร์เวย์ที่นำมาทอดกรอบนอกนุ่มในชุ่ม ด้วยซอสมะขามน้ำพริกเผาสูตรเด็ด เเปรี้ยว หวาน เค็มโดนใจปากดี
หมูดำผัดกิมจิ
       หมูดำผัดกิมจิ (220 บาท) เมนูใหม่ที่นำหมูดำมาหมักกับซอสสูตรพิเศษ แล้วนำมาผัดกับกิมจิที่ทางร้านทำเอง ปรุงรสใส่ขิง งาขาวคั่ว พริกเกาหลี เสิร์ฟมาแบบกระทะร้อน ลิ้มรสหมูดำเคี้ยวนุ่มปากเข้าเนื้อกับกิมจิที่ถึงเครื่องถูกลิ้น
สปาเก็ตตี้ต้มยำซีฟู้ดซอสครีม
       สปาเก็ตตี้ต้มยำซีฟู้ดซอสครีม (250 บาท) เป็นเมนูฟิวชั่นที่นำเส้นสปาเก็ตตี้มาผัดกับซอสครีมชีสและเครื่องต้มยำไทย ใส่หอยแมลงภู่นิวซีแลนด์ กุ้งทะเล และหมึก ราดหน้าด้วยซอสครีมชีสอีก ม้วนเส้นสปาเก็ตตี้เคี้ยวเหนียวนุ่มปากได้รสชาติเครื่องต้มยำจัดจ้านผสานรส ชาติซอสครีมชีสรสละมุนลิ้นที่เข้ากันได้อย่างลงตัว กินแล้วไม่เลี่ยน
สเต็กเนื้อ
       สเต็กเนื้อ (380 บาท) เสิร์ฟมาแบบกระทะร้อน เป็นเนื้อวัวอย่างดีนำเข้าจากออสเตรเลียผ่านการหมักและกริลล์จนได้ที่ ราดด้วยน้ำเกรวี่สูตรพิเศษ แล่ชิ้นเนื้อส่งเข้าปากเคี้ยวเนื้อนุ่มหนึบหนับปากฉ่ำน้ำเกรวี่รสจัดจ้านออก เผ็ดนิดๆ
      
       แล้วยังมีเมนูอื่นๆ ที่ชวนกินอีกเพียบ อาทิ ข้าวลาบหมูทอด (190 บาท) สเต็กหมูดำซอสวาซาบิจิ้มแจ่ว (220 บาท) ขาหมูทอดเยอรมัน (380 บาท) กุ้งซอสมะขาม (350 บาท) ขาวัวตุ๋นไวน์สไตล์อิตาเลียน (320 บาท)
      
       นอกจากนี้ยังมีอีกสารพัดเมนูเลิศรสที่ชวนให้สั่งมากินคู่กับเครื่องดื่มเย็นๆ พร้อมเพลิดเพลินไปกับดนตรีแจ๊สอันชวนฟัง จากร้าน “Brown Sugar” หนึ่งในตำนานแจ๊สผับของไทยที่ยังมีมนต์ขลังอย่างเหลือเฟือ
       * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * *
      
       “Brown Sugar the Jazz Boutique” ตั้ง อยู่ที่ 469 ถ. พระสุเมรุ บางลำพู กรุงเทพฯ การเดินทางจากแยกบางลำพูมุ่งหน้ามายังวัดบวรนิเวศฯ ตรงมาถึงแยกสะพานวันชาติ แล้วตรงมาเรื่อยๆ จนถึงช่วงโค้งของถนน จะเห็นร้านอยู่ทางซ้ายมือเป็นห้องแถวติดริมถนน มีป้ายร้านให้เห็นชัดเจน สามารถจอดรถได้ริมถนน ร้านเปิดทุกวัน เวลา 19.00-01.00 น. ถ้าจะมาที่ร้านแนะนำว่าควรโทร.มาจองโต๊ะก่อน โทร. 08-9499-1378, 08-1805-7759 หรือเข้าไปดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ www.brownsugarbangkok.com  หรือที่ www.facebook.com/brownsugarbangkok

“Icedea”...ไอศกรีมใส่ไอเดีย เย็นฉ่ำ รสชาติแหวกแนว

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 22 เมษายน 2555 12:16 น.
ด้านหน้าร้าน Icedea
       หอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร หรือที่รู้จักกันในนามหอศิลป์กรุงเทพฯ นับว่า เป็นแหล่งรวมตัวของคนที่ชื่นชอบงานด้านศิลปะ “ผ่านมาแวะกิน” ก็ มีโอกาสไปเดินเล่มชมงานศิลปะอยู่บ่อยครั้ง ยิ่งในช่วงนี้อยู่บ้านร้อนๆ ก็ออกไปเสพงานศิลป์ในที่เย็นสบาย แถมยังได้ไปลองชิมไอศกรีมหวานๆ เย็นๆ ให้ชื่นใจด้วย และที่ร้านนี้ก็ไม่ได้มีดีแค่ความหวานเย็นอร่อย แต่ยังเป็นไอศกรีมที่ใส่ไอเดียลงไปผสมผสานจนกลมกล่อม ซึ่งมีให้ชิมที่ร้าน “Icedea”
ไอศกรีมรสชาต่างๆ ที่ชวนลิ้มลอง
       ร้าน “Icedea” เกิดขึ้นเพื่อเป็นสถานที่โชว์ผลงาน Ice cream design ที่เคยออกแบบให้สำหรับลูกค้า ซึ่งนอกจากจะสามารถมาเดินชมผลงานได้แล้ว ก็ยังทดลองชิมความอร่อยที่สอดแทรกความคิดสร้างสรรค์ที่สนุกสนานของคุณพริมา จักรพันธุ์ ณ อยุธยา เจ้าของร้าน และเจ้าของไอเดียแสนอร่อยนี้
      
       ไอศกรีมของทางร้านจะเป็นไอศกรีมโฮมเมดที่มีทั้งแบบครีม และเชอร์เบท แต่ละวันจะมี 20 รสชาติให้ลองชิม และจะหมุนเวียนผลัดเปลี่ยนรสชาติใหม่ๆ ออกมาเรื่อยๆ เรียกว่าไปครั้งไหนก็ต้องได้ลองชิมของใหม่ๆ แปลกๆ อยู่เสมอ
ทงคัตซึไอศกรีม
       มาลองดูไอศกรีมที่ผสมผสานไอเดียน่าลิ้มลองดูบ้างว่ามีอะไรกันบ้าง เริ่มต้นที่ ทงคัตซึไอศกรีม (120 บาท) เป็นไอศกรีมที่มีให้เลือกระหว่างรสวานิลลา ชาเขียว เจแปนนิสเมล่อน และ บราวนี่ นำมาคลุกกับแป้งและเกล็ดขนมปัง จากนั้นนำลงไปทอดให้เหลือง ราดด้วยช็อกโกแลต มองดูคล้ายกับทงคัตซึราดซอส ลองชิมแป้งกรอบนอกนุ่มใน ซอสช็อกโกแลตเข้ากับไอศกรีมรสวานิลลาที่เราเลือกสั่งมาได้อย่างลงตัว
Grass Brownie Set
       ต่อด้วยเมนูน่ารักน่าลองชิม Grass Brownie Set (150 บาท) ที่แม้ว่าจะเป็นตัวบราวนี่ธรรมดา แต่ความพิเศษอยู่ที่ด้านบนมองดูคล้ายกับต้นหญ้าในสนาม ซึ่งทำมาจากฝอยทองสีเขียว เสิร์ฟคู่กับไอศกรีม 1 ลูก เลือกรสชาติได้ตามชอบ เหมือนกับยกลูกฟุตบอลมาพร้อมกับสนามหญ้าให้อยู่ในจานเดียวกัน เมนูนี้เราเลือกไอศกรีมชาเอิลเกรย์ ลิ้มรสแล้วหอมหวานเข้มข้น ตัดกับบราวนี่ที่ได้รสช็อกโกแลตเต็มคำ นุ่มอร่อย พร้อมกับฝอยทองที่ไม่หวานมากนัก
พาร์เฟ่ต์ไอศกรีม
       สำหรับ พาร์เฟ่ต์ไอศกรีม (139 บาท) ก็มีให้เลือก 3 รส ไม่ว่าจะเป็นกล้วย สตรอเบอร์รี่ หรือ แบล็กฟลอเรส คราวนี้เลยขอลองชิมรสกล้วย ที่เป็นไอศกรีมโตเกียวบานาน่าสลับชั้นกับท็อปปิ้งหลากหลาย อย่างทั้งกล้วย คอนเฟล็ก วิปปิ้งครีม และซอสช็อกโกแลต ตัดขึ้นมาชิมก็ได้ลิ้มรสกล้วยๆ หอมหวานเต็มปาก พร้อมกับความกรุบกรอบของคอนเฟล็ก
      
       นอกจากเมนูที่ลองชิมไปแล้ว คราวนี้มาลองชิมแบบเป็นสกู๊ปดูบ้าง โดยจะขายในราคาสกู๊ปละ 65 บาท ไอศกรีม 2 สกู๊ป ราคา 120 บาท หรือหากอยากชิมแบบใส่โคนที่ทางร้านทำเองก็ขายในราคา 80 บาท นอกจากนี้ ยังมีซื้อกลับบ้านได้ด้วย
(แถวบน) รสตะโก้แห้วมะพร้าวอ่อน และ รสวาซาบิ (แถวล่าง) รส Globla Warming และ รสราสเบอร์รี่
       รสชาติแรกที่ลิ้มรสคื อ ไอศกรีมตะโก้แห้วมะพร้าวอ่อน เป็น ไอศกรีมไทยๆ ที่ผสมผสานมะพร้าวเข้ากับแห้วที่เป็นชิ้นๆ ละเลียดเข้าไปคำแรกก็ยังคิดอยู่ว่าไปลองชิมตะโก้อร่อยๆ ที่เย็นจนเป็นน้ำแข็ง ต่อด้วย ไอศกรีมรสวาซาบิ ที่ผสมวาซาบิเข้าไปในเนื้อไอศกรีมด้วยจริงๆ ซึ่งพอตักเข้าปากคำใหญ่ก็ได้รสเผ็ดฉุนขึ้นจมูกเล็กๆ
      
       ส่วน ไอศกรีม Global Warming รสชาตินี้เป็นแบบโลกร้อน สีสันสวยงาม เป็นไอศกรีมรสมิ้นท์ ผสมกับโอริโอ้ และช็อกโกแลตชิปเข้าไปด้วย และยิ่งเมื่อละลายก็จะยิ่งเหมือนโลกร้อนจนละลายเลยทีเดียว สุดท้ายลองชิม ไอศกรีมราสเบอร์รี่ ที่ เป็นไอศกรีมผสมกับลูกราสเบอร์รี่ และบัตเตอร์เค้กปั่นรวมกัน เวลาเคี้ยวจะเหมือนมีเค้กเป็นชิ้นๆ อยู่ในคำ พร้อมกับเนื้อของราสเบอร์รี่ออกเปรี้ยวๆ เล็กน้อย
นั่งชิมไอศกรีมให้เย็นฉ่ำ
       แต่หากว่าใครอยากให้อิ่มท้องเสียหน่อย ก็ขอแนะนำ Waffle Set (129-139 บาท) ที่มีให้เลือก 3 แบบ และยังมีไอศกรีมรสชาติแปลกๆ ทั้งคาวหวาน แถมยังมีรสชาติแหวกแนวไม่ซ้ำใคร ผสานกับไอเดียสนุกๆ ให้ได้ลองชิมลิ้มรสอร่อยกันอีกมากมาย
      
       * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * *
      
       ร้าน “Icedea” ตั้ง อยู่บนชั้น 4 หอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร ถ.พระรามที่ 1 แขวงวังใหม่ เขตปทุมวัน กทม.การเดินทางจากอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ มุ่งหน้าไปทางถนนพญาไท ข้ามสะพานหัวช้าง ชิดขวา ทางเข้าหอศิลป อยู่ก่อนข้ามสี่แยกปทุมวัน หากมาจากถนนพระราม 1 ผ่านสนามกีฬาแห่งชาติ เลี้ยวซ้ายเข้าถนนพญาไท และเลี้ยวซ้ายอีกครั้งก็จะถึงหอศิลป หรือหากใช้บริการ BTS ให้ลงที่สถานีสนามกีฬาแห่งชาติ จะมีทางเชื่อมเข้าสู่หอศิลป ร้านจะตั้งอยู่บนชั้น 4 บริเวณทางขึ้นลงบันไดเลื่อน ร้านเปิดวันอังคาร-อาทิตย์ (ปิดวันจันทร์) เวลา 11.30-18.30 น.โทร.0-2331-1741-51 ส่วนอีกสาขาตั้งอยู่ที่ชั้น G เซ็นทรัลลาดพร้าว โทร.0-2103-4058 www.facebook.com/icedea

ขนมกลีบลำดวน

credit takecareyou bloggang.com

 

ส่วนผสม  แป้งสาลี 5 ถ้วยตวง น้ำตาลป่น 2 1/2 ถ้วยตวง น้ำมันพืช 1 1/2 ถ้วยตวง ฟักเชื่อมสีแดง
วิธีการทำ
 ผสมแป้งสาลีกับน้ำตาลป่นเข้าด้วยกัน ควรคนให้กระจาย ตัวทั่วกันดีเสียก่อน จึงเทน้ำมันลงในแป้งนวดเบา ๆ ให้เข้า กันดี ถ้ายังแป้งมากไม่อาจเกาะกันได้ เติมน้ำมันได้อีกเล็ก น้อย คลึงออกเป็นแท่งกลมยาว แล้วตัดเป็นท่อน ให้ท่อนหนึ่ง ๆ หนึ่ง เมื่อปั้นเป็นก้อนกลมจะมีเส้นผ่าศูนย์กลางสักประมาณ 1 1/2 เซนติเมตร และปั้นเป็นก้อนกลมไว้ให้หมด ใช้มีดคม ๆ ผ่าแต่ละก้อนออกเป็น 4 ส่วน ปั้นแต่ละส่วนให้ คล้ายกลีบดอกลำดวน แล้วจับปลายชนกันเป็น 3 กลีบ ส่วนที่ 4 ให้ปั้นเป็นก้อนกลม ๆ วางลงตรงกลาง แล้วใช้มีด กรีดเบา ๆ ให้เป็น 3 แฉก เผยอนิด ๆ อย่าให้ขาดจากกัน ให้เหมือนกลีบชั้นในที่สับหว่างกับกลีบชั้นนอกแล้ว วางชิ้น ฟักลงตรงกลางเหมือนเกษรโผล่แผลมอยู่ ปั้นเรียงให้เต็มถาดที่ทาน้ำมันไว้แล้ว นำเข้าอบที่ 350 องศาฟาเรนไฮท์ ประมาณ 8-10 นาที ให้ได้สีนวล ๆ เหมือนดอกลำดวนจริง ๆ จึงนำออกจากเตา พักไว้ให้เย็นสนิทเสียก่อนจึงแซะใส่ขวดโหล อบด้วยดอกมะลิ กระดังงาหรือควันเทียน
กลเม็ดเคล็ดลับ
ปัจจุบันนี้ ดอกลำดวน ถือว่าเป็นดอกไม้ประจำจังหวัด ศีรษะเกษ เป็นไม้หอมของไทยชนิดหนึ่ง
ขนมดอกลำดวน ควรมีสีนวลอย่าอบจนสีเข้ม จะไม่เหมือน ดอกไม้จริง ขนาดต้องเท่าของจริง การปั้นกลีบควรให้คล้ายของจริง ด้วย
ขนมนี้แป้งจะกรอบร่วน ไม่กระด้าง รสหวานมัน และมีกลิ่น หอม

ความเชื่อเรื่องแมวดำ

“แมวดำ” จัดเป็นหนึ่งในตัวแทนแห่งลางร้ายคนไทยเชื่อถือกันว่าหากมีแมวดำข้ามโลงศพ ศพนั้นจะเฮี้ยนนัก หรือแม้แต่มันเดินผ่านหน้าก็ถือว่าจะเป็นลางร้าย ภัย อาถรรพณ์ ในคติความเชื่อโบราณ เปรียบดังเงาร้าย ที่เชื่อว่าหากเข้าใกล้ชีวิตเรา จะหาความสุขไม่ได้  มีทุกข์ภัยที่ประดังเข้ามาอย่างไม่คาดฝัน  ในบรรดาลาง ร้ายที่แสดงออกมาในรูปแบบต่างๆ นั้น ความผูกพันระหว่างคนกับแมวในลักษณะของความเชื่อมีมาแต่โบราณกาลแล้ว เมื่อราว ๓,๐๐๐ ปี ก่อนคริสตกาล แมวทุกตัวในสมัยนั้นรวมทั้งแมวดำจะได้รับการยกย่องมาก มีกฎคุ้มครองไม่ให้ผู้ใดทำร้ายหรือฆ่าแมว หากครอบครัวใดมีแมวตาย คนในครอบครัวนั้นจะเศร้าโศกมาก และสำหรับศพของมันไม่ว่าเจ้าของจะยากดีมีจนเพียงใดก็จะแต่งตัวให้แมวอย่าง สวยงาม ใช้ผ้าลินินเนื้อนุ่มห่อศพเอาไว้เหมือนมัมมี่แล้วเก็บในโลงที่ทำจากโลหะมี ค่าเช่น บรอนช์ หรือทำด้วยไม้ซึ่งเป็นของที่หายากมากในอียิปต์  แมวมีนิสัยรักอิสระ ดื้อ ชอบขโมย และยังสามารถเพิ่มจำนวนพลเมืองแมวได้อย่างรวดเร็วตามเมืองใหญ่ ๆ ดังนั้นความงามสง่าของมันจึงดูลดน้อยลงในสายตาของผู้คน แมวที่พบเห็นอยู่ตามตรอกมักเลี้ยงกันในหมู่คนยากจนและหญิงชราที่ถูกทอดทิ้ง ต่อมาเมื่อความเชื่อเรื่องไสยศาสตร์เวทมนตร์ระบาดไปทั่วยุโรปหญิงชราไร้บ้าน เหล่านี้ถูกกล่าวหาว่าเล่นไสยศาสตร์ และแมว (โดยเฉพาะแมวดำ) เพื่อนยากของพวกเธอก็ถูกมองว่าเป็นพวกแม่มดหมอผีไปด้วยแต่น่าแปลกที่พันธุ กรรมของขนแมวสีดำกลับไม่เคยถูกลบเลือนไปจากเผ่าพันธุ์ของมัน… หรือแมวจะมี ๙ ชีวิตจริง ๆ


ความเชื่อเรื่องแมวดำ

แมว จัดว่าเป็นสัตว์เลี้ยงในแง่ที่ว่ามันเป็นสัญลักษณ์แห่งความเชื่อของคนเป็น ตัวแทนความศักดิ์สิทธิ์ และเหนือจริง จนมีคำโบราณกล่าวไว้ว่า “หากฆ่าแมวสักตัวถือว่าบาปหนักหนา  เท่ากับฆ่าเณรรูปหนึ่งเลยทีเดียว” ความเชื่อไม่ได้มีระบุที่มาแน่ชัด หากเป็นเพียงข้อสันนิษฐาน ที่นักประวัติศาสตร์ตั้งข้อสังเกตเอาไว้  เนื่องจากคติความเชื่อเรื่องแมวดำ ไม่ได้มีเฉพาะในไทยเท่านั้น  หากมีในหลากชาติหลายภาษาโดยในตำนานเก่าแก่ของ อินเดียโบราณ เชื่อว่า แมวดำเป็นสัตว์ผี  เป็นพาหนะของพระษัษฐี เทวีแห่งความตายของทารก หรือผีแม่ซื้อประจำตัวเด็กในวันที่ 6 ซึ่งพระษัษฐีเป็นเทวีที่มีอิทธิฤทธิ์  หากใครเห็นแมวดำที่ไหน  มักต้องเห็น พระษัษฐีปรากฏกายที่นั่น และจะมีเด็กหรือคนตายที่นั่นด้วยเช่นกัน  โดยเฉพาะในงานศพจะระมัดระวังไม่ ให้แมวมาถูกต้องศพ ด้วยเชื่อว่าจะเกิดมลทินกับศพนั้นๆ ไปตลอด และในคติความเชื่อของจีนโบราณ ถือว่าหากแมวข้ามศพ ผีนั้นจะดุร้ายมาก ต้องเอาตะไกรหรือเหล็กวางไว้บนอกศพ จึงจะไม่เป็นไร เช่นเดียวกับในความเชื่อของแขกมาลายู ที่ต้องเอาตะไกรหนีบมาวางบนอกศพ เผื่อว่าแมวกล้ำกรายเข้ามาใกล้ศพหรือถูกศพ เหล็กตะไกรจะเป็นเครื่องบังคับไม่ให้ศพลุกขึ้นมา กลายเป็นผีร้าย เป็นที่หวาดเกรงของชาวบ้านได้

ระเบียงอาถรรพณ์

ดิฉันอยู่เขตดินแดง กรุงเทพฯ นี่เองค่ะ ระหว่างถนนรัชดาฯ กับวิภาวดีฯ มีถนนและซอยต่างๆ แผ่กระจายเหมือนใยแมงมุม...เหตุการณ์สยองขวัญอุบัติขึ้นที่หน้าบ้านดิฉัน เอง!
ฝั่งตรงข้ามเป็นตึกแถวเรียงราย มีซอยคั่นทุกหลังขนาดรถแล่นเข้าได้ก็มี เป็นทางเดินแคบๆ ก็มี ตึกแถวมีทั้งเรียงรายราว 5-6 ห้อง กับมีแค่ 2 ห้องที่ทะลุถึงกัน แต่ทุกวันนี้เป็นตึกร้างไปแล้ว

มองจากระเบียงบ้านดิฉันไป คือตึกแถว 5 ห้องที่เปิดเป็นร้านอาหาร ร้านขายของชำ อีก 2 ห้องริมซอยเล็กๆ เป็นที่อยู่อาศัย มีรถราแล่นผ่านไปมาขวักไขว่ตอนกลางวัน ผู้คนก็เดินเข้าออกหนาตา บางคนเงยขึ้นมาร้องทักทาย บางคนดิฉันก็ทักลงไป ล้วนแต่คุ้นๆ หน้ากันทั้งนั้นค่ะ

มอเตอร์ไซค์ทั้งส่วนตัวและรับจ้างแล่นกระหึ่ม ส่วนมากจะระมัดระวังอันตรายกันพอสมควร...เสียแต่ไม่ค่อยชอบสวมหมวกนิรภัยกันเสียเลย!
ขนาด ออกถนนใหญ่ยังไม่สวมเลยค่ะ เห็นแล้วเสียวไส้แทน ตำรวจก็ไม่สนใจจับกุมหรือว่ากล่าวตักเตือนหรอกค่ะ รู้ทั้งรู้ว่าอันตรายเหลือเกิน ถ้าสวมหมวกกันน็อกจะช่วยได้มากเชียว

เพราะเหตุนี้เอง เรื่องสยองขวัญจึงอุบัติขึ้นต่อหน้าต่อตาดิฉันเอง!

วัน เกิดเหตุเป็นบ่ายวันอาทิตย์ ดิฉันไปนั่งที่ม้ายาวริมระเบียงกับหลานชาย มองดูรถราและผู้คนที่เดินเข้าออกไม่ขาดระยะ ร้านเสริมสวยมีลูกค้าหนาตาเป็นพิเศษ เพราะมาสระผมไดร์ผมสำหรับไปทำงานในวันรุ่งขึ้น...

เสียงมอเตอร์ไซค์ดังกระหึ่มจนไม่น่าใส่ใจ แต่แล้วคล้ายมีลางสังหรณ์บางอย่าง ทำให้ดิฉันหันไปมองทางก้นซอยโดยไม่ได้ตั้งใจ!

รถ เครื่องสีแดงเลือดนกกำลังแล่นลิ่วออกมา คนขับไม่ได้สวมหมวกนิรภัยตามเคย! เสื้อวินสีเขียวทำให้รู้ว่าเป็นมอเตอร์ไซค์รับจ้าง...มีการเคลื่อนไหวทางขวา มือ ดิฉันหันขวับไปมองก็ต้องชาวาบไปทั้งตัวบัดดล

เด็กชายวัยสิบขวบกำลังวิ่งออกมาจากซอยเล็กพอดี!
ตา อั้น...แม่ของแกกำลังรอคิวทำผมอยู่ในร้าน...มอเตอร์ไซค์กับเด็กชายกำลังจะพบ กันตรงหัวมุมตึกแถว แต่ต่างฝ่ายต่างก็มองไม่เห็นกันหรอกค่ะ...เหมือนภาพ สโลว์โมชั่นน่าสยดสยองสิ้นดี

รถสีแดงพุ่งเข้าชนเด็กชายเสียงโครม! ทั้งรถทั้งคนกระเด็นลงไปกลิ้งบนถนน ตามด้วยเสียงกรีดร้องโหยหวนเข้าไปถึงหัวใจ ผู้คนวิ่งถลาออกมามุงดู ดิฉันเองก็ลุกพรวดพราดขึ้นไปเกาะลูกกรงระเบียงมองลงไป เห็นแต่หัวดำๆ กับเสียงพูดเซ็งแซ่...เลือดแดงฉานไหลนองอยู่บนพื้นถนนจนดิฉันรู้สึกปวดมวนใน ช่องท้อง ภาพต่างๆ พร่าเลือนไปชั่วขณะ

ตั้งแต่เกิดมา ดิฉันไม่เคยเห็นภาพสุดสยองแบบนี้มาก่อนเลยแม้แต่ครั้งเดียว!

ทรุด ร่างลงนั่งแปะตามเดิม เสียงหลานชายซักถามอะไรดังแว่วๆ รู้สึกหัวใจเต้นแรงแทบกระทบโพรงอก มือเท้าเย็นชืดไปหมด...ได้ข่าวว่าเด็กชายสลบคาที่ คนขับมอเตอร์ไซค์ศีรษะแตก ดูเหมือนแหลกยับเยินเพราะไม่ได้สวมหมวกนิรภัย

ไปตายที่โรงพยาบาลทั้งคู่เลยค่ะ!!

เวลา ผ่านไปเกือบเดือน มีอุบัติเหตุเล็กๆ น้อยๆ เกิดขึ้นหลายราย ชาวบ้านแทบจะลืมเหตุการณ์สยองขวัญนั้นไปเกือบหมด แต่ดิฉันยังจำได้ว่าคนขับมอเตอร์ไซค์คันนั้นชื่อนายชิต บ้านอยู่แถวตลาดใกล้ๆ กัน กับตาอั้น-เด็กน้อยที่ต้องมาตายก่อนวัยอันสมควร

ดิฉัน ยังออกไปนั่งเล่นกับหลานชายที่ระเบียงบ้านเสมอ นึกถึงเหตุการณ์สยองขวัญวันนั้นแล้วไม่วายขนลุก...ภาวนาว่าขออย่าให้เกิด เหตุร้ายขึ้นมาอีกเลย!

เย็นนั้นกลับจากทำงานมาอาบ น้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า ก็ชวนหลานชายไปนั่งกินขนมที่ระเบียง ไม่ทราบมีอะไรมาดลใจให้นึกถึงนายชิตกับตาอั้นผู้ล่วงลับไปแล้ว

เสียงมอเตอร์ไซค์พลันดังกระหึ่มมาจากก้นซอย...

ดิฉัน หันไปมองก็เห็นเสื้อกั๊กสีเขียวของรถมอเตอร์ไซค์รับจ้าง แต่เมื่อหันไปทางขวาก็ต้องอ้าปากค้าง เมื่อเห็นเด็กชายคนหนึ่งกำลังก้มหน้าก้มตาวิ่งออกมาจากซอยเล็กเร็วจี๋...
คุณพระช่วย! ภาพสโลว์โมชั่นแสนสยองอุบัติขึ้นมาอีกแล้วค่ะ!

มอเตอร์ไซค์คันนั้น...นรกเป็นพยาน! คนขับคือนายชิต...ส่วนเด็กชายก็คือตาอั้น! ทั้งสองคล้ายจะนัดพบกันตรงจุดเดิม

ดิฉัน ได้ยินเสียงโครมสนั่น ร่างตาอั้นกระเด็นไปพร้อมๆ กับรถนายชิตล้มคว่ำ ดิฉันลุกพรวดพราดขึ้นไปคุกเข่าเกาะลูกกรงระเบียง จ้องมองด้วยหัวใจเต้นระทึกแทบจะแตกสลายไป

ไม่มีเสียงหวีดร้อง...ไม่ มีใครมามุงดูเหมือนคราวนั้น...รถราและผู้คนยังขวักไขว่ไปมาตามปกติ ดิฉันขยี้ตาแล้วจ้องมองอีกครั้งก็ไม่เห็นภาพสยองอะไรเลย ชั่วขณะหนึ่ง ดิฉันคิดว่าตัวเองคงหมกมุ่นจนตาฝาดไปเองแน่ๆ

หรือไม่ก็พลัดหลงเข้าไปในแดนสนธยาไม่รู้เนื้อรู้ตัว แต่ก็เล่นเอาขนหัวลุกไปเลยค่ะ!


ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดย: หนังสือพิมพ์ข่าวสด