"อิสลามมิก" ย้ายร้านใหม่แต่อยู่ที่เก่า / แม่ช้อยนางรำ

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 18 พฤษภาคม 2552 13:51 น.
โดย : แม่ช้อยนางรำ
       

"อิสลามมิก"..ร้านใหม่ ใหม่กว่าโอ่อ่ากว่า อร่อยกว่า แต่ราคาเดิม
       "อะ...อะ อย่างเพิ่งแปลกใจนะเจ้าค่ะ
       ร้านอาหารอิสลาม..อร่อยที่สุดในกทม.
       ย้ายจากร้านเก่ามาอยู่บ้านใหม่ แต่แฮะ..แฮะ
       มันก็ร้านติดกันนั้นล่ะ"
       

       ไม่ได้ไปร้าน "อิสลามมิก" ในซอยกัปตันบุช ข้างสถานทูตฝรั่งเศส ตรอกโรงภาษีใกล้กับโอเรียลเต็ลเกือบปี
      
       ไปอีกทีถึงได้รู้ว่า เขาย้ายร้านแล้ว
      
       อุ๊ย!!ไม่ต้องกลัวว่าเขาจะย้ายไปอยู่ไกลหร๊อก!! บอกแล้วก็ฮา!!
      
       ร้าน "อิสลามมิกใหม่" เขาย้ายขยับจากร้านเก่าไปไม่กี่ก้าวก็เท่านั้นเอง
      
       ที่ต้องโยกย้ายก็ไม่ได้มีปัญหาอะไรกับใครเขาทั้งนั้น
      
       เพียงแต่ว่าร้านใหม่ เป็นร้านของตัวเองไม่ต้องเซ้ง ไม่ต้องเช่า แล้วก็ยังมีเนื้อที่บรรยากาศสบายกว่า
"เมนูบังคับ" รัสซี่(นมเปรี้ยวปั่น)/ข้าวหมกไก่หมกแพะ/แกงกาเรีย/ซุปไก่-หางวัว/แกงมัสซาล่า/โรตี-จาปาตี
       เรียกว่าไปเมื่อไหร่ ไม่มีปัญหาเรื่องที่นั่ง
      
       ร้าน "อิสลามมิก" เจ้านายคงจำได้ อีชั้นเคยพาเจ้านายไปกินแล้ว ที่นี้เจ้านายก็ไปเป็นประจำ แต่ระยะหลังไม่ค่อยไดไปก็เพราะหาที่จอดรถยาก หาที่นั่งก็ยังยาก
      
       แต่ตอนนี้สบายมาก ไม่มีปัญหา
      
       เจ้านายจะไปสักกองทัพก็ยังไหว เพียงแต่เจ้านายจะขนลูกน้องไปทั้งออฟฟิตเสียก่อนก็ยังได้นะเจ้าค่ะ
      
       มีเรื่องที่อีชั้นอยากจะเขียนเล่า เกี่ยวกับร้านใหม่ของ "อิสลามมิก" เรื่องนี้แปลกดีนะเจ้าคะ
      
       เจ้านายจำเถาองุ่นขนาดใหญ่ที่เลื้อยอยู่หน้าร้าน(เก่า) ได้มั๊ยเจ้าค่ะ?
      
       มันแปลกจริง..จริง บอกแล้วเจ้านายคงไม่เชื่อ แต่ต้องเชื่อเถอะเจ้าค่ะ เพราะเรื่องมันเป็นอย่างนี้
      
       ธรรมดาองุ่นปลูกในกรุงเทพน่ะตายง่ายรอดยาก
      
       แต่องุ่นที่ร้าน "อิสลามมิก" ตั้งแต่ร้านเก่ารอดมาตลอด แถมเลื้อยคลุมหน้าร้านเป็นสัญลักษณ์ให้ได้เห็นกัน
เมนูพิเศษ ทุกเย็นวันศุกร์มี แพะ-แกะย่าง รสชาติอิสลาม
       พอมาอยู่ร้านใหม่ เจ้าของร้านคือเพื่อนรุ่นน้องของอีชั้นคุณ "จงลักษณ์ วานิชอังกูร" เกิดเสียดาย จึงย้ายองุ่นทั้งร้านขนมาอยู่ร้านใหม่
      
       เจ้านายเห็นแล้วจะร้องว่า..พระเจ้า!!
      
       องุ่นทั้งเถา องุ่นทั้งเครือไม่ตาย แถมยังออกลูกมาให้เห็นเป็นพวงใหญ่ หลายพวงอยู่หน้าร้าน
      
       เจ้านายสังเกตจากรูปที่อีชั้นเอามาลงดูก็แล้วกัน
      
       
องุ่น "อิสลามมิก"
      
       อีชั้นก็ไม่รู้ว่าเป็นองุ่นพันธุ์อะไร แต่ร้านอิสลามมิกปลูกเป็นสัญลักษณ์ไว้หน้าร้านเป็นสิบ..สิบปี พอย้ายมาอยู่ที่ใหม่ ก็ย้ายองุ่นมาด้วย ย้ายแล้วไม่ตายแถมยังออกลูกให้เห็นชื่นใจ อิสลามิกชนเห็นร้องต้องเปล่งคำมงคลว่า..อิน ชาร่าห์ หมายถึงว่า เป็นพระประสงค์ของพระผู้เป็นเจ้า
       

       เอาล่ะเจ้าค่ะ!!
      
       สำหรับอาหารอิสลามร้าน "อิสลามมิก" นี้ไม่ต้องเขียนแนะนำอะไรให้มาก สรุปได้สั้น..สั้น
      
       ของเขาอร่อยทุกจาน
       แต่ตอนกลางวันเขาเพิ่ม "ข้าวแกงแบบอิสลาม" มีให้เลือกหลายอย่าง แล้วถ้าเป็นวันจันทร์กับวันอังคาร ก็จะมี "ก๋วยเตี๋ยวแขก" หรือบางคนเรียกว่า "ก๋วยเตี๋ยวแกง"
       

       วันเสาร์เพิ่ม "ขนมจีนซาวน้ำ".. "ข้าวคลุกกะปิ"
      
       เมนูพิเศษที่อีชั้นแอบสั่ง ไม่อยากให้ใครรู้กลัวถูกแย่ง แต่สำหรับเจ้านาย ลูกน้องไม่มีความลับ ขอให้สั่ง "แกงกระหรี่ปลาอินทรี"
       

       อร่อยกว่ากระหรี่หัวปลาที่สิงคโปร์
      
       ..ไม่ต้องพาสาวไปโชว์กินถึงที่นั่น เศรษฐียามนี้คนรักกันกินข้าวในเมืองไทย เธอรักเจ้านายได้เหมือนกันนะเจ้าค่ะ...เจ้านาย
      
       *****************************************************
       *****************************************************
      
       
ร้าน "อิสลามมิก" ซอยเจริญกรุง 36 ตรอกกัปตันบุช(โรงภาษี) ข้างสถานทูตฝรั่งเศส ถนนเจริญกรุง โทรศัพท์ 0-2234-7911 โทรสาร 0-2630-5849
"ไก่กวางตุ้ง-ปลาเซี่ยงไฮ้" เมนูใหม่ "มิราม่า ฮอท พอต" / แม่ช้อยนางรำ
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 11 พฤษภาคม 2552 16:50 น.
 โดย : แม่ช้อยนางรำ
"พ่อครัวจีน" กำลังปรุง "ไก่เหลือง" จากกวางเจา ให้คนกรุงเทพฯเจี๊ยะ..
       "ก็เพราะ...'ห่านหัวสิงโต' แต้จิ๋วแท้...แท้
       ที่ทำให้ต้องมี 'เมนูใหม่' สองรายการตามมา
       เมนูไก่เหลืองกวางเจา ปลามังกรเซี่ยงไฮ้"

      
       ขอโทษเจ้าค่ะ...ขอโทษโปรดอภัย ข้าน้อยสมควรตาย
      
       ก็เพราะวันก่อนเจอเจ้านาย แล้วอีชั้นก็ถูกอัด!!เข้าให้
      
       "มันอร่อยอะไรกันนักกันหนา จองโต๊ะทีไรก็ไม่ได้ จะต้องรออีกเดือนหน้าถึงจะได้กิน"
      
       เจ้านายว่า อีชั้นสงสัยถามไถ่ ก็ยังตะคอกกลับมา
      
       "ก็ไอ้ห่านหัวสิงโตย่างที่หล่อนบอกนะซีนะ ป่านนี้ผมยังไม่ได้กินเลย"
       

       โอ๊ย!!อพิโถ พิถัง กะละมังรั่ว
      
       ตัวนายน่าจะรู้นะจ๊ะว่า ห่านหัวสิงโตจากเมืองซัวเถาแต้จิ๋ว ที่เขาเอามาย่างแบบกวางตุ้ง ที่ภัตตาคาร "แชงการีล่า" ถนนพัฒนพงษ์ที่อีชั้นแนะนำไปเมื่อต้นปีนั้น
      
       อย่าว่าเจ้านายจะต้องรอคิวกันนานเป็นเดือนเลยเจ้าค่ะ
      
       อีชั้นคนเขียนแนะนำเอง ไปกินได้ครั้งเดียวเท่านั้น...คิวรอเป็นเดือนเหมือนกันเจ้าค่ะเจ้านาย
      
       อยากจะกินอาหารอร่อยต้องใจเย็น...เย็น
      
       เอาอย่างนี้ดีกว่าเจ้าค่ะ
      
       อีชั้นก็มีเมนูอร่อย...อร่อยจากเมืองจีนมาแนะนำให้เปิบกัน จะได้หายหงุดหงิดเรื่องห่าน งั้นเจ้านายมากินไก่กับปลาก็แล้วกัน
      
       ไก่ก็ไม่ธรรมดา ปลาก็พิเศษ
"ไก่เหลืองน้ำแดง" สูตรของคนกวางตุ้ง
       เพราะว่าเป็น "ไก่เหลือง" จากกวางเจา ที่คนจีนเขาว่าเป็นไก่พันธุ์อร่อยที่สุดของเมืองจีน
      
       ส่วนปลาก็เป็น "ปลากิมเล้ง" แปลจีนเป็นไทยก็หมายถึง "ปลามังกรทอง" มาจากเมืองเซี่ยงไฮ้ ที่ภัตตาคาร "มิราม่า ฮอทพอทซีฟู้ด" เขาหิ้วเอามาขาย เจ้าเดียวในเมืองไทยตอนนี้
      
       ก่อนอื่น...ก่อนที่อีชั้นจะแนะนำเจ้านายว่าจะกินไก่กินปลากันอย่างไร เรามาอธิบายให้เจ้านายได้รู้จักภัตตาคารที่เรียกว่า "ฮอทพอท ซีฟู้ด" กันให้ถูกต้องเสียก่อน
      
       มิฉะนั้น...เดี๋ยวเจ้านายจะหงุดหงิด กระบิดกระบวนกันอีกแล้ว เรื่องนี้อย่างนี้เจ้าค่ะ
"ปลากิมเล้งอบหม้อดิน" สูตรของคนเซี่ยงไฮ้
       "มิราม่า ฮอทพอท ซีฟู้ด"
       
(Mirama Hotpot Seafood)
      
       เป็นภัตตาคารฮ่องกง ที่ได้รับความนิยมมากมาหลายปีคือเขาจะมีหม้อต้มน้ำซุปอร่อย 2 อย่างอยู่กลางโต๊ะ ด้านหนึ่งเป็น "ซุปเครื่องยาจีน" จะเรียกว่าซุปน้ำใสก็ได้ อีกด้านเป็น "ซุปซาเต๊" คือเครื่องยาจีนเช่นกัน แต่เป็นน้ำข้นคนกินเลือกได้สองน้ำตามรสนิยม
      
       วิธีกินก็ให้สั่งเครื่องลวกซึ่งมีทั้งผัก อาหารทะเลรวม ทั้งเนื้อสัตว์ทั้งสองขา..สี่ขา ให้คุณจิ้มลวกกันตามใจ..เขาว่ากินเท่าไหร่ไม่กลัวอ้วน
       

       เอาล่ะ...เจ้านาย ทีนี้ไปร้าน "มิราม่า ฮอทพอท ซีฟู้ด" ที่ว่า จะสั่งหม้อร้อนมากินก่อนก็ได้ แล้วก็ให้สั่ง "ไก่เหลืองน้ำแดง" กับ "ปลากิมเล้งหม้อดิน" เพราะสองเมนูนี้ เขาทำตามสั่งช้าแต่ว่าอร่อย
      
       ไก่เหลืองเป็นไก่สาวเนื้อนุ่ม หนังนิ่มแล้วก็ห๊อม..หอม กินได้ทั้งตัวเป็นอาหารโป๊ว!!
      
       ส่วนปลากิมเล้ง หรือปลามังกรทองก้างเยอะหน่อย แต่ปลาอร่อยต้องก้างเยอะ
      
       ทั้งสองอย่างสูตรไม่เหมือนกัน ถ้าไก่เป็นสูตรกวางตุ้งจะออกเค็ม..หวาน แต่ถ้าปลาเป็นสูตรเซี่ยงไฮ้จะมีเปรี้ยว เผ็ด อร่อยเด็ดทั้งนั้น
      
       ถ้าไม่อิ่มให้สั่ง "กุ้งมังกรผัดหมี่ราดชีส" สมัยก่อนต้องไปกินฮ่องกง ตอนนี้มากินที่ "มิราม่า ฮอทพอท ซีฟู้ด" ก็ยังได้
      
       ที่สำคัญไม่ต้องโทรสั่งจองล่วงหน้าเหมือน "ห่านหัวสิงโตย่าง" กินไก่..กินปลาระดับห้าดาวเมืองจีนร้านนี้ โทรมาบอกกันสักชั่วโมง..สองชั่วโมงเท่านั้น ก็โอเค แล้วเจ้าค่ะ
      
       ****************************************************
       ****************************************************
      
       
ภัตตาคาร "มิราม่า ฮอทพอท ซีฟู้ด" อาคารสีลมช้อปปิ้งพลาซาร์ ชั้น 3 ถนนสีลม โทรศัพท์ 0-2266-7634, 0-2635-1070 โทรสาร 0-2635-1072
"บ้านไอซ์"ชื่อฝรั่ง อาหารปักษ์ใต้ /แม่ช้อยนางรำ
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 4 พฤษภาคม 2552 17:32 น.

โดย:แม่ช้อยนางรำ
"บ้านไอซ์" ชื่อลูกชายนาย "ศุภักษร"
       "อาหารปักษ์ใต้...เมืองนครได้ชื่อว่ารสจัด
       นี่คือร้านปักษ์ใต้เมืองนคร อร่อยที่สุดในกทม."
      
       ความจริง...ร้าน "บ้านไอซ์" อาหารปักษ์ใต้ร้านนี้เจ้านายรู้ดีอยู่แล้ว เพราะเป็นร้านเก่าของถนนประชาชื่น หลังวัดเสมียนนารี คลองประปา เปิดขายมา 20 กว่าปี
      
       แต่ที่เอามาเขียนเรียนเจ้านายคราวนี้ก็เพราะว่า เมื่อสอง...สามเดือนที่ผ่านมา เขาปิดร้านปรับปรุงใหม่ ทำให้เป็นร้านครัวไทยทันสมัย สมกับที่ขายดิบขายดีมานานถึงเพียงนี้
      
       แต่เขาเปิดร้านใหม่ เมนูเก่าที่อร่อย...อร่อยเขาก็รักษาไว้
      
       แล้วก็เพิ่มเมนูใหม่ เป็นการฉลองร้าน เมนูใหม่ที่ว่าเจ้านายคงจะไม่เคยเปิบ อีชั้นจึงอยากจะแนะนำให้เจ้านายไป...เปิบฝีมือเก่าของคนเมืองนครกัน
      
       เมนูแรก...ที่เป็นเมนูใหม่เป็น "แกงส้มหน่อไม้ดองปูทะเล"
      
       อะ...อะ อย่าเพิ่งว่านี่มันก็เป็นแกงเหลืองหน่อไม้ดอง ปลากะพงหรือปลาสาก ปลากระบอก อะไรที่เคยเปิบ
      
       มันม่ายช่าย ฟังแล้วคล้ายกัน แต่ปรุงแล้วรสชาติแตกต่างกันเจ้าคะ
"แกงส้มปูทะเลหน่อไม้ดอง" สูตรคนนครศรีธรรมราช
       เครื่องแกงส้ม หรือแกงเหลืองมันก็คือกัน แต่ปูทะเลที่คัดสรรเป็นปูทะเลไข่ อร่อยไม่เหมือนกันหรอกเจ้านาย
      
       รวมทั้งอีกเมนูใหม่ คือ "ปูทะเลผัดกะทิ" ซึ่งฟังครั้งแรกเจ้านายก็คงจะคิดว่ามันก็คงเป็น
      
       ปูต้มกะทิใส่หอมแดง...แบบภาคกลาง ก็ต้องบอกว่าม่ายช่าย...ม่ายช่าย
      
       ปูทะเลเป็นปูไข่ เอาไปผัดหัวกะทิมีต้นหอมใส่ มันกินอร่อยสะใจกว่ากันเยอะเลย สองเมนูนี่ อีชั้นไม่เคยเห็น
      
       เป็นสองเมนูที่คนนครเขาทำกินกันในบ้าน ไม่ได้เอาเข้าร้านอาหาร เพราะมันจะต้องสีมือคนโบราณถึงจะทำเป็นกัน
      
       ส่วนเมนูเก่าที่โด่งดังมาช้านานนั้น ก็ยังมีอยู่ทุกเมนู
      
       เอาว่าอีชั้นขอเลือกสรรมาบรรณาการเจ้านาย ให้ไปจ่ายกะตังค์กินซะ ก็มีดังนี้
      
       เมนูเก่า ขาประจำรู้จักกันดี "ขนมจีนน้ำยา"(ปักษ์ใต้)ใช้ปลาน้ำดอกไม้หรือที่คนปักษ์ใต้เรียกว่า "ปลาสาก" ชุดหนึ่ง 90 บาท
      
       "ข้าวยำ" อาหารสุขภาพที่กินอร่อยปาก เครื่องเคราครบเหมือนที่กินปักษ์ใต้ จานละ 90 บาท
      
       "ผัดสะตอเครื่องแกงแถมกะปิใต้" 130 บาท
      
       "คั่วกลิ้ง" เนื้อโคขุนโพนยางคำ 140 บาท แต่ถ้าเป็น หมู ไก่ 100 บาท
      
       "ปลาทูต้มเค็ม" ทรงเครื่อง 100 บาท
      
       แกงเหลือง แกงไตปลา ปลาทอดขมิ้นดูราคาเอาเอง
"ปูทะเลผัดกะทิ" ก็สูตรคนนครฯที่ไม่เหมือนใคร
       เรื่องความอร่อยของร้าน "บ้านไอซ์" อีชั้นไม่ต้องบรรยายให้เจ้านายเมื่อยตาอ่านเอาเป็นรู้กันว่า ในบรรดาร้านอาหารปักษ์ใต้ในกรุงเทพฯ ร้านนี้ติดอันดับแนวหน้า ใครก็รู้จัก
      
       เพราะคนทำเป็นคนเมืองนครรุ่นคุณยาย...คุณย่า ทำขายโชว์สีมือให้คนกรุงเทพฯหรือคนที่ไหนได้รู้ว่าอาหารใต้ อาหารสูตรคนเมืองนครนั้น ห-ร่-อ-ย อย่างไร
      
       แต่ที่อีชั้นต้องเอามาเขียนเล่าใหม่ เพราะเขาปิดร้านปรับปรุงให้ทันสมัย สองเดือน...สามเดือนทีผ่านมา ก็อยากให้เจ้านายรู้ไว้
      
       ถึงเจ้านายจะเป็นขาประจำ แต่เจ้านายคงไม่รู้หรอกว่า ปรับปรุงใหม่คราวนี้
      
       น้องไอซ์ ลูกนายอิ๊บ หลานแม่ช้อย เพิ่มเมนูใหม่ หรอยจังฮู้ อีก สอง...สามเมนู
      
       ...รู้แล้ว เจ้านายไม่ชวนลูกน้องไปเปิบ ถึงเป็นนายก็เถิด ลูกน้องโกรธตาย...
       *    *    *    *    *    *    *    *    *    *    *    *    *    *    *    *    *    *    *    *    *    *    *    *    *    *    *    *    *    *    *    *    *    *    *    *    *    *    *    *    *    *    *    *    *    *    *
      
       
ร้าน"บ้านไอซ์" ถนนประชาชื่น คลองประปา หลังวัดเสมียนนารี โทรศัพท์ 0-2589-4875,0-2580-5117 เปิดขายทุกวัน ระหว่าง 11.00-22.00 น.
ข้าวแกง "ทองดี" ตำรับ "ผัดกระเพรา-แกงป่า" นครปฐม / แม่ช้อยนางรำ
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 27 เมษายน 2552 17:18 น.

โดย : แม่ช้อยนางรำ
"ร้านข้าวแกงทองดี" วันหนึ่งมีเป็นสิบ..สิบรายการอาหารไทยโบราณ
       "ร้านข้าวแกงเก่าแก่ขายมาแค่ห้าสิบกว่าปี
       เป็นร้านขวัญใจข้าราชการนิสิตนักศึกษา
       ตั้งแต่อยู่เพิงข้างถนนจนมาขึ้นร้านรวง"

      
       เจ้านาย...เจ้าขา
      
       เดี๋ยวนี้หาร้านข้าวแกงอร่อย…อร่อยยากโดยเฉพาะอย่างยิ่งในกรุงเทพ คิดสะระตะแล้ว มีร้านข้าวแกงอร่อยไม่ถึง 10 เจ้า
      
       สิบเจ้าจริง..จริงนะเจ้าคะ
      
       แต่ถ้าไปต่างจังหวัดก็ยังพอมีอยู่บ้าง แต่ละจังหวัดก็มีข้าวแกงอร่อยแตกต่างกันไป อย่างอาทิตย์นี้อีชั้นจะชวนเจ้านายไปนครปฐม
      
       เดี๋ยวนี้ไปนครปฐมสะดวกสบายกว่าไปเยาวราช สีลม ขับรถขึ้นทางด่วนบรมราชชนนีจากสะพานพระปิ่นเกล้าไปไม่ถึงครึ่งชั่วโมง ก็ถึงร้านข้าวแกงอร่อยเจ้านี้แล้ว
      
       ข้าวแกง "ทองดี" หรือที่ชาวบ้านที่นี่เขาเคยเรียกว่า "ข้าวแกงลูกสิบสอง" ฟังแล้วเหมือนเรื่องจักร..จักร วงศ์..วงศ์ “พระรถ-เมรี” หรือมีชื่อเรียกอีกชื่อว่า "นางสิบสอง"
      
       ที่เรียกเช่นนี้เพราะ "แม่ทองดี" มีลูกถึงสิบสองคนจริง..จริ๊ง!
      
       แต่สามารถเลี้ยงลูกมาได้จรสำเร็จมหาวิทยาลัยเรียงรายหน้า ก็เพราะฝีมือทำข้าวแกงส่งลูกเรียนนี่ล่ะเจ้าค่ะ
      
       เรื่องของ "แม่ทองดี" ก็เลยเป็นตำนานของคนนครปฐมจะเล่าถึงข้าวแกงฝีมือที่หนึ่ง ซึ่งเดี๋ยวนี้หาคุณแม่เก่งอย่างนี้น้อยเต็มที..แค่มีลูกคนก็บ่นกระปอดกระแปด กันแล้ว
      
       แม่ทองดีที่ว่า แต่ก่อนนั้นก็ตกประมาณ 50 กว่าปี ขายข้าวแกงข้างถนนข้างทาง แต่ยังไม่ได้ทำข้าวแกงหรอกนะเจ้าค่ะ
"แม่ทองดี มหาเจริญ" จากนิตยสาร "ฟ้าเมืองไทย" สมัยที่คุณภิญโญ ศรีจำลอง สัมภาษณ์เอามาลงเมื่อสี่สิบกว่าปีก่อน
       แรก..แรกแกเป็น "แม่ค้าข้าวเกรียบปิ้ง" แต่ปิ้งเท่าไหร่มันก็ไม่พอเลี้ยงลูก พอดีช่วงนั้นอาหารป่าแถวเมืองกาญจน์ แถวราชบุรีก็ยังพอมีมา แล้วก็ยังไม่ผิดกฎหมาย
      
       แม่ทองดีก็เลยตัดสินใจทำอาหารป่าขาย
      
       ก็อย่างว่าล่ะเจ้าค่ะ ผัดเผ็ดเก้ง แกงป่ากวาง ฝีมือแม่ทองดีเขาขึ้นชื่อเรื่องถึงเครื่อง เรื่องมันช่วยไม่ได้ ถ้ามีฝีมือซะอย่าง พอได้จังหวะเข้าทาง ร้านขายข้าวแกงของแม่ทองดีก็เลยโด่งดังขายดิบขายดี จนกระทั่งมาเซ็งตึกอยู่ในเมืองนครปฐมได้ ก็ร้านที่ขายอยู่ทุกวันนี้ไง!!
      
       พอขึ้นร้านขึ้นรวง อาหารป่ากลายเป็นเรื่องผิดกฎหมาย แม่ทองดีก็เลยต้องเปลี่ยนเป็นอาหารเมือง แต่เรื่องฝีมือก็ไม่ตกแต่อย่างไร
      
       คราวนี้คนกินมากขึ้น เพราะบางคนแสลงใจไม่กล้ากินอาหารป่า
      
       ก็เท่านั้นล่ะเจ้าค่ะ รวยขึ้นมาทันตา
      
       โด่งดังถึงขนาด นักเขียนใหญ่สมัยนั้นอย่างคุณ "ภิญโญ ศรีจำลอง" จากนิตยสาร "ฟ้าเมืองไทย" ของคุณพี่ "อาจินต์ ปัญจพรรค์" ต้องมาขอสัมภาษณ์เอาไปลงให้คนรู้จักด้วยความประทับใจในฝีมือ
"ผัดกระเพราไก่" เมนูดังคู่กับแกงป่า ใครมาต้องสั่ง
       เมนูบังคับ
       สำหรับร้านข้าวแกง "ทองดี"

      
       1. "แกงป่า" จะต้องบอกด้วยว่าเอาสูตรแบบป่าจริง..จริง หรือป่าในเมือง จะได้ไม่เคืองกันสำหรับคนไม่ทานเผ็ด
       2. "ผัดใบกระเพรา" จะไก่หรือจะหมูก็ได้ ที่นี่ใช้ใบกระเพราสวนสีเขียวไม่กระเพราไก่สีแดง
       3. "แกงแดง" ขอบอกว่าเดี๋ยวนี้แกงเนื้อ แกงไก่ แกงปลาดุก เป็นแกงเขียวหวานเสียส่วนใหญ่ แต่ที่นี่แกงแดงแตกต่างไปใครไม่รู้จักต้อง..เปิบ
       4. "แกงส้มหน่อไม้ดอง" หน่อไม้ชาวบ้านดองสะอาด
       5. "น้ำพริกกะปิ" ปลาทู (แม่กลอง) ทอดยอดอร่อยถ้าใส่แมงดาแล้วก็ยังมีอีกสิบกว่ารายการสั่งมาเถิดเจ้าค่ะเจ้านาย ต้มข่าไก่ ก็อร่อยซดคล่องคอ
      
       
ก็เหมือนอย่างที่บอกเจ้านายว่า ข้าวแกงโบราณหากินได้ยากในกรุงเทพ เมืองคนทันสมัย กินข้าวแกงกันไม่เป็นแล้ว ไปเถอะเจ้าค่ะ เสียเวลาเพียงครึ่งชั่วโมงก็ถึงร้านอาหารไทยแบบโบราณ ที่ยังไม่บานบุรี
      
       แต่ถ้าให้ดีควรจะโทรไปสั่ง ไปบอกล่วงหน้าเพราะว่าร้านนี้...ช้าหมด อดกินนะเจ้าค่ะ เจ้านาย
      
       ********************************************************
       ********************************************************
      
       
ร้านข้าวแกง "ทองดี" 27 ถนนพระยากง ตลาดบน อำเภอเมืองนครปฐม โทรศัพท์ 0-3425-8939
"ลุงแว่น วังน้ำเขียว" ร้านชาวบ้าน อาหารออร์แกนนิค / แม่ช้อยนางรำ
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 20 เมษายน 2552 15:41 น.
โดย : แม่ช้อยนางรำ
"เห็ดเออรินจิ" ผัดฉ่า สูตรคนศรีราชามังสวิรัติปลอดสารพิษ
       "อาหารอร่อย ขายดิบขายดีที่ศรีราชา
       ยังหนีขึ้นมาอยู่ "วังน้ำเขียว" โคราช
       อากาศดี..อาหารปลอดสารพิษทุกจาน"

      
       อีชั้น..นะรู้ว่า
      
       เจ้านายเคยไปวังน้ำเขียว นครราชสีมา แต่ไปกี่ครั้งต่อกี่ครั้ง
      
       แต่เจ้านายยังไม่รู้จัก
      
       "ร้านลุงแว่น" อุทยานแห่งชาติทับลาน หรือที่ชาวบ้านเขาเรียกว่า "ผาเก็บตะวัน" ที่อีชั้นกล้าว่าเช่นนั้นก็เพราะ
      
       เจ้านายไปวังน้ำเขียว เพื่อจะไปดื่มไวน์จาก "ไวน์เนอรี่" ที่มีอยู่หลายแห่ง หรือไม่ก็ไปตีกอล์ฟ ไปอย่างนั้นจะไปรู้จักร้านอาหารอร่อยแบบชาวบ้านได้อย่างไงกันเรื่องนี้มันต้องอีชั้น
"เห็ดหอม" เด็ดจากฟาร์มตอนตีสี่..ตีห้า สดใหม่ดีกว่าจากเมืองจีนเอามาผัดน้ำมันหอย
       จากถนนกบินทร์บุรี-ปักธงชัย ประมาณครึ่งทางเห็นจะได้ ถ้ามาจากกบินทร์ก็กิโลเมตรที่ 65 หรือถ้ามาจากปักธงชัยก็ตกกิโลเมตรที่ 75
      
       ตรงนั้นแหละเจ้าค่ะ จะมีถนนที่เรียกว่า "ไทยสามัคคี" แยกเข้าอุทยานแห่งชาติทับลาน ที่รีสอร์ทมากมายที่สุดในเมืองไทย
      
       คะเนได้ว่าเป็นร้อย..ร้อยรีสอร์ท
      
       ก็ขอให้เจ้านายขับรถเลี้ยวเข้าไปหน่อย เลยตลาดชาวบ้านประมาณ 100-200 เมตร ก็จะเห็นร้านอาหารชื่อ "ลุงแว่น" อยู่ทางขวามือ
      
       ป้ายที่เห็นชัดเจนก็คือ "ป้ายเปิบพิสดาร" กับป้ายที่มีข้อความขึ้นไว้ว่า "ลุงแว่น จากศรีราชา"
       

       ก็อย่าแปลกใจเลยเจ้าค่ะ
      
       ลุงแว่นนี้ ก็คือลุงแว่นที่อีชั้นเคยแนะนำเมื่อสามสิบกว่าปีที่ผ่านมา
      
       ลุงแว่นทำอาหารทะเลแบบคนศรีราชา
      
       ที่อร่อยมากก็คือ แกงป่า ปลาสละแดดเดียว ไข่เจียวหอยนางรม ปูม้านึ่งสด...สด หมู่ป่าต้มระกำ ฯลฯ
"ลุงแว่น" ตอนรุ่นอยู่ทะเล ตอนกลางคนเป็นเจ้าของร้านอาหารทะเล ตอนแก่มาอยู่ทะเลโอโซนอันดับที่ 5 ของโลก
       ลุงแว่นแกเป็นพ่อครัวทำเอง สมัยหนุ่มเป็นจุมโป๊ะ หรือพ่อครัวอยู่เรือตังเกหาปลาพออายุมากก็มาเปิดร้านอาหารริมถนนสุขุมวิท ช่วงค่ายลูกเสือวชิราวุธ
      
       แต่ตอนนี้มีอายุ ลุงแว่นแกโยกย้ายสำมะโนครัวมาอยู่ที่วังน้ำเขียว ด้วยเหตุผลอย่างเดียวก็คือ
      
       อากาศเย็นสบายทั้งปี แถมยังมีโอโซนอากาศบริสุทธิ์อันดับที่ 5 ของโลก
      
       มาอยู่ที่นี่ ตอนแรกก็ไม่คิดจะตั้งร้านรวงอะไร
      
       วัน..วันเลี้ยงไก่ เพาะเห็ด ปลูกผักขาย โดยถือหลักแบบคนรุ่นใหม่ คือเป็นอาหารแบบออร์แกนนิค ปลอดสารพิษ
      
       แต่อยู่ไปแฟนเก่าขาเที่ยวที่นี่จำได้
      
       เอ๊า!!ขายก็ขาย ไม่ใช่เอาผักหญ้า ไก่ ไข่ อาหารออร์แกนนิคที่มีทั่วไปแถวนั้น แต่สั่งลูกหลานส่งอาหารส่งอาหารทะเลจากชลบุรีมาให้เป็นประจำทุกวัน
      
       เพราะถนนสายนี้เป็นถนนขนส่งอาหารทะเลจากตะวันออกมาออกอีสานเป็นประจำอยู่แล้ว
       อาหารแนะนำประจำร้าน
       (ทุกรายการปลอดสารพิษ)

      
       เห็ดเออรินจิผัดฉ่า, เห็นโคนญี่ปุ่นยำ หรือต้มยำ, เห็ดหอมเมืองจีนผัดน้ำมันหอย, ไข่เจียวหอยนางรม, แงป่าไก่บ้าน, ผักออร์แกนนิคจำพวกคะน้า กวางตุ้งผัดน้ำมัน
      
       ที่สำคัญก็คือ "ปลาสละแดดเดียว" ทอด...ยอดที่ซู้ด!!
       

       คราวนี้ทีหลังเจ้านายไปซูดโอโซนที่วังน้ำเขียว ก็อย่าลืมขับรถเลี้ยวเข้าไปกินอาหารชาวบ้านปลอดสารพิษของร้าน"ลุงแว่น"
      
       ไปวังน้ำเขียวซูดโอโซนอย่างเดียวไม่พอ จะต้องกินอาหารออร์แกนนิคร้านลุงแว่น
      
       ...ท้องแน่น สมองปลอดโปร่ง โล่งกายโล่งใจ ถูกกะตังค์อีกต่างหากนะเจ้าค่ะ...เจ้านาย
      
       ****************************************************
       ****************************************************
      
       
ร้านลุงแว่น ถนนไทยสามัคคี ทางเข้าอุทยานแห่งชาติทับลาน อ.วังน้ำเขียว นครราชสรมา โทรศัพท์ 08-9400-6523
"เฮียกุ่ย" ครัวแสวงซีฟู้ด ตำนานแห่งถนน "บางขุนเทียนทะเล" / แม่ช้อยนางรำ
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 6 เมษายน 2552 16:34 น.
โดย : แม่ช้อยนางรำ
"ถนนบางขุนเทียน ทะเล" ตอนนี้ขยาย 4 เลน เทยางเรียบตั้งแต่ปากทางไปจนถึงชายทะเล ขับรถจากแยกทางเข้าถนนพระราม 2 เพียง 5 นาทีก็ถึงร้าน "ครัวแสวง"
       "เป็นคนแรก..บุกเบิกถนนเล็กๆ...เล็กที่ไม่ค่อยเป็นที่รู้จัก
       ให้กลายเป็น "ถนนอาหารทะเล" ที่โด่งดังที่สุดของประเทศ
       ถนนเล็กที่ว่า ตอนนี้กลายเป็นถนนใหญ่ไปมาสะดวกสบาย"
       

       "แม่ช้อยจ๋า เชิญมากินข้าวที่ครัวแสวง บางขุนเทียนทะเลบ้างซีจ๊ะ"
      
       เจ้านาย เจ้าค่ะเจ้าขา
      
       เมื่อวันก่อน "เฮียกุ่ย" หรือชื่อเต็มแต่ไม่ค่อยจะมีใครเรียกกันว่า "พิสิษฐ์ บุญไพศาลดิลก" เจ้าของร้านอาหารทะเล "แสวงซีฟู้ด" ถนนบางขุนเทียนทะเล ฝั่งธนบุรีโทรศัพท์มาชวนอีชั้นไปกินข้าว ซึ่งก็หมายถึงอาหารทะเลกุ้ง หอย ปู ปลา สารพัดของร้านที่นักเลงเปิบรู้จักกันมาสิบกว่าปี
      
       ใจนะอยากจะไปอยู่หรอกเจ้าค่ะ
      
       อาหารทะเลร้าน "ครัวแสวง" ที่ว่านี้อร่อย!! แต่ช้อยไปไม่ไหว เบื่อถนนหนทางที่ตอนหลังอยู่ในระยะก่อสร้าง ไม่สะดวกสบาย รถราติดกันพัลวัลพัลเก อยู่บ้านกินปลาทูทอดน้ำพริกกะปิดีกว่า...อาหารทะเลเหมือนกัน
"หลักเขตทะเล" กินอาหารที่ร้าน "ครัวแสวง"แล้วนั่งเรือหางยาวไปชมหลักเขตทะเลบางขุนเทียน รับลมเย็นเดือนเมษา ดูกุ้ง หอย ปู ปลาชาวบ้านจับมาขายสด..สด
       พอบ่นกระปอดกระแปดไปอย่างที่ว่า อีชั้นก็ถูก "เฮียกุ่ย" ตอกเข้ามาทางโทรศัพท์ว่า
      
       "แม่ช้อย ไปอยู่ที่ไหนมาถึงไม่รู้ว่า ถนนบางขุนเทียนทะเลตอนนี้เขาขยายถนนเป็นสี่เลนใหญ่ ก่อสร้างเรียบร้อยแล้ว คุณป้าขับรถจากปากทางถนนพระราม 2 มาถึงร้านผมสี่..ห้านาทีก็ถึงแล้ว สบาย..สบาย รถไม่ติด ถนนเรียบยังกับนั่งพรมวิเศษเหาะมา ท้าพิสูจน์จ๊ะคุณป้า"
      
       หา...หาจริงรึ?
      
       ขอให้มันจริงเถิดน่าอาเฮีย!!
      
       เป็นอันว่า อีชั้นตกลงใจรับเชิญ "เฮียกุ่ย" ไปกินอาหารทะเลที่ "แสวงซีฟู้ด" เพราะอยากจะพิสูจน์ว่าถนนบางขุนเทียนทะเล เขาสร้างเสร็จจริง..อะปล่าว??
      
       แล้วก็อยากจะไปกินกับข้าวทะเลของเขาด้วย
      
       ถึงจะต้องจ่ายกะตังค์ก็จะเป็นอะไรไป เมื่ออร่อยคุ้มค่า
เมนูบังคับ ปูม้าเป็น..เป็นนึ่ง/ส้มตำปูทะเล/ปูหลน/ปูผัดผงกระหรี่/ปลาบู่นึ่งซีอิ๊ว /ปลากะพงทอดเกลือ/ปลาเก๋าเสือต้มยำน้ำมะพร้าวอ่อน/ปลาดุทะเลผัดฉ่า/กุ้ง ม้าลายอบเกลืออบวุ้นเส้นฯลฯ
       หรือจะไม่เก็บกะตังค์ก็ไม่ว่ากัน
      
       เป็นลูกค้าอุดหนุนกันมาตั้งแต่เปิดร้าน เมื่อสิบปีสมัยอีชั้นนั่งเป็นผู้บริหารนิตยสาร "ชีวิตต้องสู้" แล้วรู้ว่าชีวิตเฮียกุ่ยสู้น่าดู
      
       สู้จากล้มลุกคลุกคลานมีหนี้สินบานตะไท แล้วกลับมาฟื้นขึ้นใหม่เมื่อมาขายอาหาร
      
       แล้วทุกอย่างก็จริงอย่างที่เฮียว่าทุกประการ
      
       ถนนบางขุนเทียนทะเล ตั้งแต่ปากทางเข้าที่แยกจากถนนพระราม 2 ที่จะเริ่มกันที่ "วัดหัวกระบือ" ตอนนี้ราบเรียบขับสบาย รถราไม่ติดไปจนถึงสุดถนนตรงทางลงสู่ทะเล
      
       แล้วมีเมนูอะไรใหม่ ต้อนรับถนนตัดเสร็จใหม่ อีชั้นถามเล่น...เล่น "เฮียกุ่ย" กลับตอบจริง...จังว่า "กินปลาเก๋าเสือมั๊ย มีขายที่แสวงซีฟู้ดแห่งเดียวในประเทศไทย"
       

       
       
"ปลาเก๋าเสือ"
       เนื้อแน่น..หนังนุ่ม
       

       ปลาเก๋ามีหลายชนิด มีหลายพันธุ์ ตั้งแต่ราคาไม่กี่สิบไปจนถึงกิโลเป็นพัน แต่ปลาเก๋าเสือทั้งอร่อย ทั้งราคาไม่แพง ขอแนะนำให้เอามาต้มยำน้ำข้น หรือต้มยำน้ำใส อร่อยชนิดหากินที่ไหนไม่ได้ "เฮียกุ่ย" เหมาเจ้าเดียว

      
       อาทิตย์นี้หรืออาทิตย์ไหน ถ้าเจ้านายผ่านไปแถวบางขุนเทียนแวะเวียนไปกินซีฟู้ดร้าน "ครัวแสวง" ได้ แล้วไม่ต้องกลัวว่ารถยนต์ราคาเป็นสิบล้านของเจ้านายจะซอกซ้ำให้เจ้านายระกำใจ
      
       ..รถก็สบาย เจ้านายก็อร่อย ช้อยรับรอง ถ้าผิดคำพูดขอให้เจ้านายเป็นเจ้ามือเลี้ยงต่ออีกสักมื้อก็ยังได้นะเจ้าค่ะ..เจ้านาย
      
       ******************************************************
       ******************************************************
      
       
ร้าน "ครัวแสวงซีฟู้ด" ถนนบางขุนเทียนชายทะเล กทม. โทรศัพท์ 0-2849-3191 ถึง 3
อาหารปลอดสารพิษ "โยโกะ รีเวอร์แคว รีสอร์ท" / แม่ช้อยนางรำ
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 30 มีนาคม 2552 15:29 น.
 โดย : แม่ช้อยนางรำ
"เรือนแพ" ในแม่น้ำแควสวยงามและปลอดภัย
       "อาหารรีสอร์ทที่ไหน...ไหนมันก็เหมือนกัน
       แต่ไม่ใช่ "โยโกะ รีสอร์ท" ไทรโยค เมืองกาญจน์
       อาหารที่นี่ "ปลอดสารพิษ" และที่สำคัญคือ...อร่อย"

      
       เดือนมีนา..อากาศร้อนเป็นบ้านะ เจ้านาย
      
       อยู่กรุงเทพไม่ได้ มันจะตายเอา
      
       ไอ้จะไปไกลก็ไม่ไหว วันจันทร์จะต้องมาทำงาน
      
       ในที่สุดก็นึกขึ้นมาได้ว่า
      
       มีพวก..พวกกันเปิดรีสอร์ทกลางป่ากลางเขา ริมแม่น้ำแคว ไทรโยค เมืองกาญจน์แค่นี้ ไปเช้าเย็นกลับก็ได้ หรือจะนอนค้างวักคืนสองคืนยังไหว
      
       ไปชาร์ตไฟ เพิ่มพลังงานกินอาหารให้อร่อย นอนพักผ่อนให้สบายริมแม่น้ำเชิงภูเขาเมืองกาญจน์ไม่ร้อนเท่ากับที่เขาว่ากัน หร๊อก!! จะบอกให้
"สวนผักไร้สารพิษ" อยู่ท่ามกลางบรรยากาศธรรมชาติริมแม่น้ำเชิงเขาลำเนาไพรความอร่อยที่ปลอดภัย
       รีสอร์ทที่ว่าชื่อ "โยโกะ รีเวอร์แคว รีสอร์ท" อยู่ที่อำเภอไทรโยคห่างจากห่างจากตัวเมืองไม่เท่าไหร่
      
       บริเวณนี้แต่เดิมเป็นที่ตั้งกองทัพญี่ปุ่น ที่มาสร้างทางรถไฟสายมรณะไง!!
      
       ไปตอนนี้ก็จะเห็นบรรยากาศเก่า....เก่า ให้ระลึกนึกถึงว่า เมื่อหกสิบกว่าปีบริเวณนี้เป็นป่าทึบแต่ก็มีความพยายามที่เปิดป่าสร้างทาง รถไฟ จากประเทศไทยให้ไปทะลุประเทศพม่า
      
       จนเป็นที่มาของประวัติศาสตร์โลกครั้งสำคัญ กับเหตุการณ์ที่เรียกว่า "สะพานข้ามแม่น้ำแคว"
       

       แต่รีสอร์ทนี้ทำไมไม่ตั้งชื่อว่า "โกโบริ" ก็ไม่รู้แฮะ?
      
       เจ้าของชื่อคุณ "อนันต์ เดชอนันตชาติ" เป็นเพื่อนรุ่นพี่ชีวิตต้องสู้น่าดู รู้จักกันมาเป็นสิบปีบอกกับอีชั้นว่า
      
       ที่ตั้งชื่อเป็น "โยโกะ" ก็ไม่เกี่ยวอะไรกับ "โยโกะ โอโนะ" เมียของจอห์น เลนนอล "สี่เต่าทอง"
       

คุณ "อนันต์ เดชอนันตชาติ" เจ้าของรีสอร์ท ผู้ถือหลักอาหารต้องอร่อยและต้องปลอดภัย รวมทั้ง..ไม่แพง!!
       แต่ตั้งตามชื่อเครื่องสำอาง ที่ส่งไปขายต่างประเทศกระทั่งที่ญี่ปุ่นก็ส่งไปขาย
      
       ชื่อนี้ขลังดี คนต่างประเทศทั่วโลกรู้จักเพราะเป็นลูกค้าชื่อนี้เหมาะที่สุดแล้ว
      
       อีชั้นเลือกมารีสอร์ทนี้ ด้วยเหตุผลหลายประการเจ้าค่ะ
      
       แต่เหตุผลสำคัญก็คือ อีชั้นเป็นเรื่องมากในการกินการอยู่
      
       กินต้องอร่อย อยู่แล้วต้องสบาย
      
       "โยโกะ รีเวอร์แคว รีสอร์ท" เป็นสเปคของอีชั้น เพราะเป็นลูกค้าเก่าแก่กันมาหลายปีจนกระทั่งไว้เนื้อเชื่อใจเรื่องอาหาร
      
       เพราะนอกจากจะอร่อย แบบฝีมือคนพื้นบ้านกาญจนบุรีแล้ว
      
       อาหารที่นี่เป็นอาหารปลอดสารพิษ หรือจะเรียกว่าเป็น "อาหารออร์แกนนิค" ก็ไม่ผิดอะไร และที่ไว้เนื้อเชื่อใจกันได้เพราะผักหญ้าทั้งหลาย คนงานรีสอร์ทปลูกไว้ใช้เอง
      
       ถ้าเจ้านายไปก็จะได้เห็นกับตา
      
       ผักที่เขาปลูกมีทั้งผักเมืองจีน คะน้า กวางตุ้ง ผักบุ้ง ฟัก แฟง แตงกวา ฯลฯ
      
       ผักไทยก็มีตั้งแต่ถั่วฝักยาว มะเขือ พริก ข่า ตะไคร้ ใบมะกรูด ใบโหระพา ใบแมงลัก ใบกระเพราฯ
      
       ผักแขกก็มีอยู่เช่นกันอย่างมะเขือยาว ถั่วแขก
      
       ยังขาดแต่ผักฝรั่ง อย่างรอกเกต เรดโอ๊ค ผักโขม ซาลารี่ เท่านั้นยังปลูกไม่ได้ แต่มะเขือเทศสบายมีให้ทำกับข้าวทุกวัน
      
       เจ้านายมาดูเมนูอาหารอร่อย อาหารไร้สารพิษปลอดภัยกันก็ได้
       อาหารแนะนำ
       "โยโกะ รีสอร์ท"
      
       ผักบวบกับไข่ ผักหวาน(ผักป่า)ทอดไข่ ยำผักหวานกับผักสารพัดปลอดสารพิษ แกงป่าไก่บ้านถั่วฝักยาวไร้สารพิษ กบภูเขาทอดกระเทียมหรือผัดเผ็ด ปลาคังในแม่น้ำแควต้มยำ หรือลวกจิ้ม (อาหารราคาระดับ 100-200 บาทเท่านั้น)
      
       
อาทิตย์นี้ เจ้านายลองขับรถไปไทรโยคพิสูจน์ได้ หาง่ายไปสบายเลยตัวจังหวัดมุ่งหน้าไปทางอำเภอไทรโยค แล้วก็ให้เลี้ยวรถไปทาง "ถ้ำกระแซ" ที่อยู่ริมหน้าผารถไฟสายมรณะ
      
       เพียงเท่านี้ก็ถึงได้
      
       จะไปเช้าเย็นกลับก็ตามสบาย แต่ถ้าจะให้สบายยิ่งกว่าค้างสักคืนก็ได้เจ้าค่ะ
      
       เลือกนอนบ้านเรือนแพ หรือจะนอนกระท่อมดิน หรือบ้านถ้ำ บ้านฝรั่ง
      
       ถ้าไปเดือนนี้ยังมี "ผักหวานป่า" ถ้าไปเดือนหน้ามี "เห็ดโคน" หรือจะไปเดือนไหนก็โดนเพราะมีอาหารปลอดสารพิษให้เปิบอร่อยได้ทั้งปี เจ้าค่ะ...เจ้านาย
      
       ********************************************************
       ********************************************************
      
       
"โยโกะ รีเวอร์แคว รีสอร์ท" 148 หมู่ 1 บ้านวังโพธิ์ ต.ลุ่มสุ่ย อ.ไทรโยค กาญจนบุรี 71150 โทรศัพท์ 0-3459-1414 ถึง 15, 08-1208-3277 โทรสาร 0-3459-1410
"แม่วารี" ข้าวเหนียว-มะม่วง ทั้งปี 24 ชม. / แม่ช้อยนางรำ
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 23 มีนาคม 2552 17:09 น.
โดย : แม่ช้อยนางรำ
"แม่วารี" ข้าวเหนียวขาว กับ ข้าวเหนียวเขียวเจ้าแรกของวงการ
       “ใครเขาขาย “ข้าวเหนียว-มะม่วง” ปีละครั้ง
       “แม่วารี ปากซอยทองหล่อ”
       ขายดิบขายดีระดับ “สี่ดาว” มานานกว่า 50 ปี”

      
       บ้านในคลองบางหลวง ฝั่งธนบุรีของคุณหญิงย่าอีชั้นปลูกต้นมะม่วงน้ำดอกไม้ไว้หลายต้น
      
       อีชั้นซุกซนปีนป่ายขึ้นไปเก็บกินเป็นประจำ แล้วก็สงสัยว่าทำไมคุณหญิงย่าจึงได้ปลูกแต่มะม่วงน้ำดอกไม้
      
       ทำไมไม่ปลูกมะม่วงอกร่องเหมือนอย่างชาวบ้านที่เขานิยมกัน
      
       คุณหญิงย่าบอกอีชั้นว่า
      
       “เด็กโง่ มะม่วงอกร่องมันหวานร้อน ส่วนมะม่วงน้ำดอกไม้มันหวานเย็น หน้าร้อนมันต้องกินมะม่วงหวานเย็นชื่นใจ จำไว้”
      
       สามสิบสามปี...ที่อีชั้นเขียนคอลัมน์แนะนำอาหารหวานคาว “เปิบพิสดาร” อีชั้นจำได้ว่า
      
       ที่ปากซอยทองหล่อ หรือสุขุมวิท 55 มีร้านขายข้าวเหนียวมะม่วงเจ้าหนึ่งขายดิบขายดี จนอีชั้นต้องไปสำรวจดูว่า...ขายดีอะไรกันนักกันหนา
      
       เมื่อปี 2519 คราวนั้น อีชั้นจึงรู้ว่า
      
       ร้านขายข้าวเหนียวมะม่วงเจ้านี้ ขายดีไม่ใช่เพราะมูลข้าวเหนียวได้นุ่มนวล หวานมัน เก็บไว้นานก็ไม่แข็งเพียงเท่านั้นซะเมื่อไหร่กัน
      
       แต่เพราะเขามีมะม่วงพันธุ์ “น้ำดอกไม้” แบบมะม่วงของคุณหญิงย่าอีชั้นขายเป็นประจำ ลูกค้าซื้อไปไม่ผิดหวัง เพราะน้ำดอกไม้ หวานเย็น หวานชื่นฉ่ำหัวใจยามอากาศร้อน...ร้อนอย่างนี้
      
       ร้านข้าวเหนียวมะม่วงเจ้าที่ว่าชื่อว่าร้าน “แม่วารี” คุยกันตั้งแต่คราวนั้นถึงได้รู้ว่า
ข้าวเหนียวขาว-ข้าวเหนียวเขียว "ข้าวเหนียวมะม่วงแม่วารี"
       “แม่วารี” เป็นครอบครัวมูลข้าวเหนียวขายมาตั้งแต่ครั้งยาย ครั้งแม่ ถ้าจะว่าไปแล้วก็นานเกือบร้อยปีเห็นจะได้
      
       เพราะฉะนั้นจึงเป็นร้านเก่าแก่ของสุขุมวิท มาตั้งแต่สมัยทองหล่อยังไม่พลุกพล่านเหมือนอย่างทุกวันนี้
      
       ส่วนที่ได้ทำเลดีมาจนถึงปัจจุบันนี้ก็เพราะแม่วารีมีสวนมะม่วงน้ำดอกไม้อยู่ที่ “หัวตะเข้” พระโขนง ซึ่งไม่ห่างจากซอยทองหล่อสักเท่าไหร่
      
       ลูกค้าจึงซื้อมะม่วงน้ำดอกไม้จากในสวนของแม่วารี รวมทั้งได้ข้าวเหนียวมูลฝีมือคนรุ่นเก่าอร่อยถูกปากถูกใจ
      
       วันก่อน...อีชั้นเห็นว่านี่มันก็ถึงฤดูข้าวเหนียวมะม่วงแล้ว ก็เลยแถไปหาแม่วารี ปากซอยทองหล่อ ที่ไม่ได้แวะเวียนเยี่ยมเยือนกันมานานก็เลยรู้ว่า
"สวนมะม่วงข้างทาง" แม่วารีกับมะม่วงหวานมากมายหลายพันธุ์ตั้งแต่ "น้ำดอกไม้"..."อกร่องเขียว"..."อกร่องทอง" หวานหอมแบบมะม่วงโบราณ
       “ข้าวเหนียวมะม่วงของ “แม่วารีตอนนี้พัฒนาไปไกล”
       

       จากร้านเล็ก..เล็ก ก็กลายเป็นร้านแบบมาตรฐานทันสมัย ข้าวของจัดเป็นระเบียบ
      
       ส่วนความอร่อยของข้าวเหนียวมะม่วงยังเฉียบขาดเหมือนเดิม
      
       ก็เลยอยากเขียนเล่าให้เจ้านายรู้ไว้ เผื่อผ่านไปแวะอุดหนุนแม่วารีเธอได้ มาตรฐาน “ข้าวเหนียวมะม่วง” มีอย่างนี้เจ้าค่ะ
      
       
ข้าวเหนียวมีทั้งข้าวเหนียวขาว ข้าวเหนียวเขียว (คือใช้ใบเตยแท้ ไม่ใช้สีผสมอาหาร) ข้าวเหนียวดำกินกับหน้ากะฉีก หน้าปลาแห้ง หน้ากุ้ง หรือหน้าสังขยา ขายเท่ากันกิโลกรัมละ 120 บาท
      
       มะม่วงก็มีให้เลือก 2 พันธุ์ คือน้ำดอกไม้ใช้เบอร์ 4 ลูกใหญ่กิโลละ 80-120 บาท ส่วนมะม่วงอกร่องก็ราคาพอกัน สังขยา หน้าปลาแห้ง หน้ากะฉีก ขายกระปุกละ 30 บาท
       

       เรื่องข้าวเหนียวมะม่วงของร้าน “แม่วารี” อีชั้นไม่ต้องเขียนยืดยาวให้อ่านกันยืดยาด ขอประกาศการัยตีว่ามาตรฐานของแม่วารีนั้น 4 ดาวตามมาตรฐานเปิบพิสดาร
      
       แต่ต้องรีบเขียนบอกเจ้านายก็เพราะช่วงปลายเดือนมีนา ต้นเดือนเมษาเป็นช่วงเวลากินข้าวเหนียวมะม่วงอร่อยที่ซู้ด!!
      
       แล้วร้านแม่วารีนี่เป็นร้านข้าวเหนียวมะม่วงร้านเดียวในเมืองไทยคือบริการขาย 24 ชั่วโมง รวมทั้งมีบริการ “วันทูโก” ซึ่งหมายความว่า
      
       ...ลูกค้านั่งอยู่บนรถเก๋ง แค่โผล่หน้าชะโงกออกมาเท่านั้น ข้าวเหนียวมะม่วงทำสำเร็จรูปใส่กล่องสำเร็จรูปเรียบร้อย ส่งให้ได้หน้ารถเลอะล่ะเจ้าค่ะ...เจ้านาย
      
       ******************************************************
       ******************************************************
      
       
ข้าวเหนียวมะม่วง "แม่วารี" เลขที่ 1 ปากซอยทองหล่อ สุขุมวิท 55 โทรศัพท์ 0-2714-4223 โทรสาร 0-2392-4804
"กุ่ยหม่ง" ตำนาน "กุ้งอบเกลือ" บางปลาม้า / แม่ช้อยนางรำ
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 16 มีนาคม 2552 16:33 น.
โดย : แม่ช้อยนางรำ
"เฮียเอี้ยง" ลูกชาย "อาจือกุ่ย แซ่ลี้" ผู้ทำหน้าที่ต่อจากบิดา รุ่นที่ 2 กับ "ปลาม้า" ในแม่น้ำสุพรรณหน้าบ้าน
       "ร้านอาหารไทย-จีนเก่าแก่เมืองสุพรรณฯ
       "เตี่ย" มาจากเมืองจีนเมื่อร้อยกว่าปีก่อน
       ตอนนี้ถึงรุ่นตี๋ คนชอบกินกุ้งอย่าได้พลาด"

      
       เป็นลูกพี่...ลูกน้องกันมาเป็นสิบ..สิบปี
       ยังไม่เคยพาเจ้านายไปกินกุ้งแม่น้ำ ที่จังหวัดสุพรรณบุรีเลย
      
       เหตุที่ไม่พาไป ทั้งที่ร้านนี้อีชั้นกินฝีมือเขาสี่..ห้าสิบปีเห็นจะได้ก็เพราะร้านนี้เรื่องมาก
      
       สั่งของกินทีก็ยุ่งยาก เหมือนไม่อยากจะขาย
      
       แถมจะไปยืนเมี่ยง..เมี่ยง มอง..มองในครัวก็ไม่ได้ ถูกไล่กลัวว่าจะแอบรู้สูตรหรือไง?
      
       ยุ่งยากนักก็เลยไม่ไปกินแล้วก็เลยไม่เขียนแนะนำให้
      
       แต่ตอนนี้เขาปรับปรุงใหม่ คุณป้าขี้โมโห ขี้หงุดหงิดง่าย..ง่าย อายุมากตอนนี้อยู่เฝ้าบ้าน ปล่อยให้น้องชายที่มี "เซอร์วิส มายด์" หรือมีหัวใจเป็นผู้บริการมาบริการแทน
"กุ้งอบเกลือ" ชนิดตัวใหญ่จัมโบ้ ขายตามน้ำหนัก
       อีชั้นสบายใจ ก็เลยแนะนำเจ้านายได้ ไม่ต้องกลัวว่าจะถูกว่า "แนะนำร้านอะไรให้โผม"
       

       ร้านนี้ที่ว่าชื่อ "กุ่ยหม่ง" อยู่ที่อำเภอบางปลาม้า สุพรรณบุรี ร้านนี้เป็นร้านเก่าแก่ร้านหนึ่งของจังหวัดนี้
      
       แล้วก็อร่อยที่สุดของตัวอำเภอนี้!!
      
       อาหารที่ขึ้นชื่อประจำร้านก็คือ "กุ้งอบเกลือ"..."กุ้งกระเทียมพริกไทย""ข้าวผัดกุ้ง"
      
       หรือเมนูที่ใช้กุ้งปรุงทั้งหลาย ที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะ
      
       เขาคัดเลือกใช้กุ้งในแม่น้ำสุพรรณ เป็นกุ้งธรรมชาติ เป็นกุ้งตกทั้งใหม่ทั้งสด เรียกว่าไม่ต้องแช่น้ำแข็ง
      
       นักเลงกินกุ้งรู้จักร้านนี้กันแทบทั้งนั้น แล้วไม่สนด้วยว่าราคาจะเท่าไหร่ เรียกว่ากินแล้ว...ถึงใจ นอกจากเมนูกุ้งที่ว่า
      
       เมนูปลาม้า ที่ได้มาจากแม่น้ำสุพรรณก็ขึ้นชื่อเช่นเดียวกัน อย่างที่อีชั้นชอบก็คือ ... "ปลาม้านึ่งมะนาวกระเทียมโทน"… โดนเจ้าค่ะ เจ้านาย
      
       สมัยที่อีชั้นไปกินเมื่อสี่..สาห้าสิบปีก่อน ตอนนั้นเขาเป็นร้านห้องแถวริมแม่น้ำสุพรรณ
      
       พอรุ่นอีชั้นเขียนคอลัมน์ "เปิบพิสดาร" ปี 2519 ร้านเขาย้ายมาอยู่ริมถนน แต่ไม่ใช่ร้านปัจจุบันซึ่งตอนนี้เป็นตึกสองคูหาใหญ่ ที่นั่งมากมาย บรรยากาศสบาย
"กุ้งกระเทียมพริกไทย" ชนิดตัวย่อมขายเป็นจาน
       ร้านใหม่นี้เพิ่งย้ายมาเมื่อปี 43 เมื่อเร็ว..เร็วนี้เอง
      
       ครั้งล่าสุดที่อีชั้นไปกินก็เมื่อปี 49 ไปเจอเพื่อนเก่า คุณ "ขรรค์ชัย บุนปาน" นั่งเหงา..เหงาอยู่คนเดียว ก็เลยไปช่วยถล่มให้ขุนช้างจ่าย
      
       แล้วไปอีกทีเมื่อสองอาทิตย์ที่ผ่านมาไว..ไว
      
       ที่ต้องไปก็เพราะว่า อีชั้นจะต้องพาลูกค้าของ "การทางด่วน" ไปเที่ยวตลาดเก้าห้อง อยู่ท้องที่เดียวกัน เที่ยวกันตอนเช้า ไปกินกุ้งอบเกลือ ปลาม้านึ่งมะนาวกระเทียมโทน เชิงปลากรายทอดกรอบ ข้าวผัดกุ้ง แล้วอะไรต่อมิอะไรอื่น..อื่นอีกมากมาย ตามใจตามปากร้านนี้ตอนบ่าย
      
       แต่ถ้ายุ่งยากลำบากนัก
      
       แวะไปกินกุ้งแม่น้ำที่ "บ้านแม่ช้อยนางรำ" ตรงข้ามเจดีย์ศรีสุริโยทัย ตัวเมืองพระนครศรีอยุธยาก็ได้นะเจ้าค่ะ
      
       "กุ่ยหมง" ดัง "กุ้งแม่น้ำอบเกลือ" แต่ “บ้านแม่ช้อยนางรำ" ดัง "กุ้งแม่น้ำเผา" เราอร่อยกันคนละอย่าง นักเลงจริงเขาไม่ข้ามเขตกันหรอกเจ้าค่ะ
      
       หรือถ้าให้สมศักดิ์ศรีเจ้านาย กินกุ้งแม่น้ำสุพรรณ แล้วมาลองกินกุ้งแม่น้ำเจ้าพระยาเปรียบกันซะเลยจะเป็นไร
      
       ..แต่แอะ..แอะ อย่าบอก "กุ้งกิ๊ก" ที่เจ้านายมักจะพาไปด้วยอร่อยกว่านะเจ้าค่ะ กุ้งแบบนั้นมีเอาไว้กินทางปากซะเมื่อไหร่ล่ะ จริงมั๊ยเจ้าค่ะ เจ้านาย??

"หลกหลั่ก"...สเต็กเขมร ที่ "ช้างปาร์ครีสอร์ท" เกาะช้าง ตราด / แม่ช้อยนางรำ

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 25 พฤษภาคม 2552 16:29 น.
โดย : แม่ช้อยนางรำ
ความสุขของคนได้เปิบ "หลกหลั่ก" หน้าจะบานเป็นกะละมังอย่างนี้
       "สามสิบกว่าปี..อยู่ที่เขมรก่อนแตก
       เคยเปิบอาหารแปลก "เนื้อหลกหลั่ก"
       ก็เพิ่งจะไปเปิบ "สเต็กเขมร" กันคราวนี้"

      
       อีชั้น...มีน้องบุญธรรมกับเขาเหมือนกันนะเจ้าค่ะ
      
       น้องคนที่อีชั้นจะเขียนให้เจ้านายรู้จักชื่อว่า ... "นายอู๋"
      
       นายอู๋...หรือคุณ "จักรรบ โชติดำรง" คนนี้เป็นลูกชายของ "พล.ต.ท.เจริญ โชติดำรง" อดีตผู้การธนบุรี มือปราบคนดังที่บรรดาเจ้าพ่อมือปืนทั้งหลายรู้จักท่านดี
      
       "เฮียแคล้ว ธนิยะกุล" ยังเรียกท่านว่าพ่อ
      
       แล้วท่านก็เมตตารับอีชั้นไว้เป็นลูกบุญธรรม
      
       เพราะฉะนั้น "นายอู๋" ลูกชายคนเล็ดของท่านก็เป็นเสมือนน้องชายของอีชั้นเหมือนกันใช่มั๊ยเจ้าค่ะ?
      
       "นายอู๋" หรือคุณจักรรบ(ชื่อแปลกที่ซู้ด) คนนี้เป็นเจ้าของ "ช้าง ปาร์ค รีสอร์ทแอนด์ สปา" อยู่บนเกาะช้าง เมืองตราด
      
       จะว่าไปแล้วนายอู๋คนนี้ล่ะ เป็นคนบุกเบิกเกาะช้างให้เป็นสถานที่ท่องเที่ยวเมื่อสามสิบกว่าปีก่อน
"หลกหลั่ก" สเต็กเขมรที่ขแมร์ทำเลียนสเต็กฝรั่งเศส
       จนกระทั่งได้ทำเลสวย..สวยที่สุดของเกาะช้าง สร้างเป็นรีสอร์ท อยู่แถวที่เขาเรียกกันว่า "ไก่แบ้"
      
       เวลาอีชั้นไปเกาะช้าง ก็ต้องพักช้างปาร์คของน้องชายคนนี่ล่ะเจ้านาย
      
       สะดวกสบาย โดยเฉพาะเรื่องเรือข้ามฟากละก็ให้บอกที่ท่าเรือ "เซ็นเตอร์ พอยท์" น้องชายอีกคนดูแลชื่อว่า "นายป๋อง" จะให้ออกเมื่อไหร่ย่อมได้ตลอด 24 ชั่วโมง
      
       (ไม่เชื่อเจ้านายโทรไปคุยกับเขาก็ได้ที่ 08-9093-3114)
      
       ที่สำคัญ เรื่องอาหารทะเลที่ "ช้างปาร์ค" ไม่เคยผิดหวัง อย่างกั้งแก้วตัวโต..โต กุ้งลายเสือบางคนเรียกว่า "กุลาดำยักษ์" ที่นี่มีไม่เคยขาด ขอแนะนำให้เจ้านายได้รู้จัก
      
       
กุ้งลายเสือ (TUGER PRAWN)
       ที่ "เกาะช้าง" เมืองตราด
       

       เป็นกุ้งท้องถิ่นของทะเลตราด มีขนาดใหญ่ตัวใหญ่สุดเคยพบตัวเกือบกิโลก็ยังมีแต่ที่ "ช้างปาร์ค รีสอร์ทแอนด์สปา" จะคิดขาด 3-4 ตัวกิโล ซึ่งเป็นขนาดกำลังกิน จะเอามาย่างกินกับน้ำจิ้มซีฟู้ด หรือจะมาต้มยำทำแกงอะไรอร่อยทั้งนั้น

      
       ก็อย่างที่เรียนเจ้านายไปเกาะช้างก็จะต้องพักที่ "ช้างปาร์ค รีสอร์ท" เพราะที่พักเขายอด อาหารก็อร่อย..ช้อยการันตี
"ช้างปาร์ค รีสอร์ท แอนด์ สปา" ที่เดียวบน "เกาะช้าง" ที่มี "หลกหลั่ก" หรือ สเต็กเขมร” ให้เปิบรับประทาน
       และที่สำคัญ ที่ "ช้าง ปาร์ค" ฏ็มีอาหารท้องถิ่นที่ทั่วเกาะ หรือทั่วเมืองตราดไม่มี แล้วอีชั้นก็อยากให้เจ้านายได้ลองกัน
      
       เมนูที่ว่าจานนั้นคือ... "หลกหลั่ก"
       

       เจ้านายอย่างเพิ่งเลิกหลั่ก กับอาหารชื่อแปลกจานนี้ เพราะไม่ใช่เป็นอาหารไทย
      
       เป็นอาหารเขมร ที่คนขะแมร์ดัดแปลงมาจากสเต็กฝรั่งเศส สมัยที่เป็นอาณานิคมเมืองขึ้นไง อร่อยแบบเขมรที่ไทยก็กินได้
      
       "หลกหลั่ก" ใช้เนื้อวัวเลือกเฉพาะสันใน นิ่ม..นุ่ม หมักด้วยน้ำปลากับมะนาวได้ทีแล้วจึงเอาไปผัดใส่พริกไทย รากผักชี แต่ที่แปลกก็คือมีถั่วลิสงโขลกละเอียดใส่ ไม่มีพริกเพราะคนเขมรไม่กินเผ็ด
      
       ทำง่าย...ง่ายแต่ก็อร่อยได้ด้วยรสชาติที่เจ้านายทายไม่ได้ว่าจะอร่อยอย่างไร?
      
       แต่สมัยที่อีชั้นไปเมืองเขมรเป็นปี ก็ได้พึ่งเจ้าหลกหลั่กที่ว่าเวลาคิดถึง..ซูเต็กบ้านเรา!!
      
       แล้วก็ไม่เคยคิดว่าจะได้กินอีกคราวนี้ ก้เมื่อมาเกาะช้าง เมืองตราดคราวนี้
      
       "หลกหลั่ก" กินเปล่า....เปล่า หรือกินกับข้าวสวนร้อน..ร้อน รวมทั้งขนมปังแบบฝรั่งเศสที่เรียกว่า "บาเก็ต" ได้ทั้งนั้น แต่ที่สำคัญ
       ถ้าไม่ไปกินที่เมืองเขมร ก็ต้องมากินที่ "ช้าง ปาร์ค รีสอร์ค" เกาะช้าง เมืองตราด
      
       ถ้าเจ้านายเจอ "นายอู๋" น้องชายอีชั้นกิน "หลกหลั่ก" แล้วจะขอให้เขาแถมผัดไทยสูตรเกาะกง ที่เคยเป็นของเราแต่ถูกจักรดิวรรดิ์นิยมฝรั่งเศสมันแยกเอาไปก็ยังไหว
      
       ไง...ไงก็อย่าลืม "กุ้งลายเสือ" เสียล่ะ
      
       สด..สด ใหม่..ใหม่ ทั่วเมืองไทย กุ้งลายเสือเกาะช้างใหญ่ที่สุด
      
       ...แต่ถ้าจะอร่อยสุด...สุดทั่วเกาะช้าง อยู่ที่ช้างปาร์คเจ้าค่ะ เจ้านาย
      
       *********************************************************
       *********************************************************
      
       
ติดต่อ "ช้างปาร์ค รีสอร์ทแอนด์สปา" ได้ที่ 118/4 วิภาวดี 2 ดินแดง กทม.10400 โทร 0-2692-0121 โทรสาร 0-2692-0663

"ปลาช่อน 6 ริ้ว" หมู่บ้านวอ แม่น้ำสะโตง/ สันติ เศวตวิมล

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 6 กันยายน 2554 15:29 น.
โดย : สันติ เศวตวิมล
"แม่น้ำสะโตง" ช่วงหมู่บ้านวอ ก่อนไหลลงอ่าวเมาะตะมะ
       หมู่บ้านวอ...อยู่ริมแม่น้ำสะโตง รัฐมอญ
       แม่น้ำสะโคง...เป็นแม่น้ำประวัติศาสตร์ไทยรบพม่า
       ที่นี่...มี "ปลาช่อนแห้ง" ดังเรียกว่า "ปลาช่อน 6 ริ้ว
      
       ใครที่เคยไปไหว้พระธาตุอินทร์แขวน รัฐมอญ เมืองพม่า คงจะตื่นตากับแม่น้ำสะโตง
      
       แม่น้ำประวัติศาสตร์ที่ "สมเด็จพระนเรศวร" ทรงปืนต้นข้ามแม่น้ำยี้ไปถูก "สุรกรรมา" แม่ทัพพม่าเสียชีวิตบนคอช้าง
      
       เมื่อตอน "ป้าช้อย" พาผมไปไหว้พระธาตุ ที่ตั้งอยู่บนก้อนหินขนาดใหญ่ ตั้งหมิ่นเหม่อยู่บนหน้าผาทำท่าจะตกลงมาให้ได้ แต่ก็ไม่ตกลงมาสักกะที เป็นร้อย...ร้อยปี ผมก็ตื่นเต้นเพราะกลัวว่า...ผมจะไปผลักพระธาตุเขาตกลงมา
"แม่ค้าปลาช่อน" ไม่รู้ว่าเป็นมอญหรือพม่า
       เพราะตอนที่ผมเอามือไปดันก้อนหินที่มีองค์พระธาตุตั้งก็สั่น...สั่น ทำท่าว่าเลื่อนลั่น ผมรีบชักมือกลับทันควัน ถ้าพระธาตุตกลงมา
      
       ผมคงติดคุกพม่าหัวโต!!
      
       ผมไปไหว้ "พระธาตุอินทร์แขวน" หลายครั้ง คือมากกว่าสิบคราว จนกระทั่งเพื่อนพม่าบอกว่า ไม่ต้องมาอีกก็ได้ เพราะว่า
      
       คนพม่าไหม้พระธาตุอินทร์แขวนสามครั้ง เขาก็ว่าจะได้ขึ้นววรรค์แล้ว
      
       แต่ถ้าผมไปมากกว่าสิบคราว ประเดี๋ยวสวรรค์หมั่นไส้ พอดีพอร้ายไม่ได้ขึ้นสวรรค์ อาจจะตกสวรรค์ก็ได้...พม่ามันว่าอย่างนั้น
      
       อย่างที่ผมเขียนเรียนท่านว่า
      
       เวลาไปไหว้ "พระธาตุอินทร์แขวน" ก็จะต้องผ่านแม่น้ำสะโตงที่กว้างใหญ่ มองคล้ายแม่น้ำเจ้าพระยาช่วงจะออกปากอ่าวไทย
      
       แม่น้ำสะโตงก็ไหลออกอ่าวเมาะตะมะเหมือนกัน
      
       ก่อนจะข้ามสะพานเหล็กที่สร้างสมัยอังกฤษปกครองมองดูแล้วคล้ายกับสะพานสมัยสงครามโลก เราก็จะผ่านหมู่บ้านเล็ก...เล็กที่ชื่อว่า "วอ"
      
       หมู่บ้านที่ว่านี้ไง ผ่านไปทีไรจะเห็นรถราจอดกันแน่นหน้าหมู่บ้าน รถราติดกันเสียเวลาเป็นชั่วโมง เพราะใครมาถึงที่นี่ก็จะต้องลงไปซื้อ "ปลาช่อนแห้ง" ที่พม่าบอกว่า
      
       ปลาช่อนแห้ง บ้านวอ ริมแม่น้ำสะโตง เขตแคว้นแดนมอญที่ว่านี้ เป็นปลาช่อนที่ดีที่สุดในเมืองพม่า
      
       เขาเรียกกันว่า "ปลาช่อนนาหยั่น"
      
       หรือจะเรียกเป็นภาษาพม่าก็ต้องออกเสียงว่า "นาหยั่นจอ"
      
       เอาละ ก็เป็นว่า
"ร้านขายปลาช่อนแห้ง" ริมถนนสายหงสา-พระธาตุอินทร์แขวน
       ทุกครั้ง...ทุกคราที่ผมมาไหว้ "พระธาตุอินทร์แขวน" ผมจะต้องแวะซื้อปลาช่อนบ้านวอ ถ้าไม่ซื้อ "ยี่หว่า ยาหยี"...เจ้าของร้านกาแฟ "แม่ช้อย ดอยหลวง" ในซอยเรวดี นนทบุรี เป็นต้องโวยวาย เพราะเมนูดังประจำร้านก็คือ "ปลาช่อนหงสา"
      
       เป็นอาหารโบราณของพวกพม่ารามัญทำกินกันตั้งแต่โบร่ำโบราณ เวลายกทัพจับศึกไปตีเมืองไหน เป็นต้องทำ "ปลาช่อนหงสา" ใส่เป็นเสบียงกรัง คลุกกับข้าวกินกันได้ไม่เบื่อ
      
       ปลาช่อนนาหยั่น
      
       "หกริ้ว"
      
       ที่คนพม่านิยมซื้อปลาช่อนที่บ้านวอก็เพราะว่า ปลาช่อนที่นี่ตัวใหญ่ เมื่อผ่าอกมาเป็นปลาแห้งก็จะได้หกริ้ว(โปรดสังเกตจากรูปจะเห็นชัด) แต่ถึงอย่างไรก็ยังเล็กกว่าปลาช่อนแห้งที่ฉะเชิงเทรา ที่เขาเรียกกันว่า "แปดริ้ว" ก็เพราะสมัยหนึ่งปลาช่อนแห้งที่บ้านเรามีถึง 8 ริ้ว...แต่เดี๋ยวนี้ได้แค่ 2 นิ้วก็โอเคแล้ว
      
       คนพม่ากินปลาช่อนแบบบ้านเรา คือเอาไปย่าง เอาไปเผาหรือเอาไปทอด แต่ถ้าจะให้อร่อยยอด ก็จะต้องเอาไปทำ "ปลาช่อนหงสา"
       "หงสา"...ก็คือชื่อเมืองหงสาวดี เมืองหลวงของมอญในอดีต ปัจจุบันพม่าเรียกว่าเมือง "พะโค"
      
       วิธีทำก็เอาปลาช่อนไปทอดให้กรอบ แล้วเอาน้ำพริกกุ้งพม่าที่เรียกว่า "ปาลาฉ่อง" ผัดคลุกเคล้าไปทั่วทั้งตัว รสชาติจะออกเผ็ด...เผ็ด เค็ม...เค็ม พม่าไม่กินเปรี้ยว กินหวาน แต่อาหารจานนี้ขึ้นชื่อจะกินให้อร่อยต้องไปที่เมืองหงสาวดี
      
       หรือที่ร้าน "แม่ช้อยดอยหลวง" ซอยเรวดี นนทบุรี
      
       แต่ไม่ได้มีให้กินทุกวันหรอกครับ เวลาผมไปทำทัวร์เมืองพม่าทีก็จะต้องหอบปลาช่อนบ้านวอกับน้ำพริกกุ้งปาลาฉ่อง เมืองหงสาวดีกลับมาทำขาย
      
       ไปเมื่อไหร่ จะรายงานให้รู้กัน รับรองว่าทั่วแคว้นแดนไทยไม่มีใครทำขายกัน

“Petite Pantry” มีดีอิตาเลียนโฮมเมด

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 1 ธันวาคม 2554 15:48 น.
บรรยากาศภายในร้าน Petite Pantry
       “อาหารอิตาเลียน” ถือว่าเป็นอาหารจากชาติตะวันตกที่มีรสชาติดี และถูกปากนักกินชาวไทยไม่น้อยเลย เห็นได้จากการที่มีร้านอาหารอิตาเลียนเปิดให้บริการอยู่มากมาย มีทั้งร้านตามโรงแรม ร้านอาหารใหญ่ๆ ตกแต่งอย่างหรูหรา ไปจนถึงร้านขนาดกลางและร้านขนาดเล็ก ที่เปิดเชิญชวนให้คออาหารอิตาเลียนทั้งหลายได้เลือกเดินทางไปลิ้มรสชาติกัน ได้ตามใจปรารถนา
      
       มาในมื้อนี้ “ตระเวนกิน” เลยขอเอาใจแฟนๆ ที่พิสมัยอาหารอิตาเลียนกันสักหน่อย โดยขอพาเดินทางมาที่ซ.สุขุมวิท 49 เพื่อมายังร้าน “Petite Pantry” (พิติท แพนทรี่ แปลว่า ครัวขนาดมินิ) ซึ่งที่นี้เป็นร้านอาหารอิตาเลียนที่ชวนให้มาลิ้มลองเป็นอย่างมาก เพราะว่าด้วยบรรยากาศของร้านที่ชวนนั่งแบบชิลล์ ชิลล์ ตรงตามคอนเซ็ปของร้านที่ว่า บรรยากาศง่ายๆ สบายๆ เป็นกันเอง ราคาไม่แพง (ในย่านสุขุมวิทนี้)
โต๊ะนั่งด้านนอกรับลมเย็นๆ
       บรรยากาศของร้านร่มรื่นชวนนั่ง มีทั้งส่วนของห้องแอร์กรุกระจกใส มีโต๊ะให้เลือกนั่งในมุมสบายๆ หรือจะเป็นโซนโต๊ะนั่งด้านนอกรับลมธรรมชาติท่ามกลางแมกไม้รื่นรมย์ แล้วยังมีส่วนของโต๊ะนั่งด้านบน และมีห้องวีไอพีไว้คอยให้บริการจัดเลี้ยงได้อีกด้วย
      
       ส่วนเรื่องของอาหารอิตาเลียนของที่ร้านนี้ เน้นว่าเป็นอิตาเลียนสไตล์โฮมเมด ที่เน้นคัดสรรวัถุดิบที่มีคุณภาพในการนำมาปรุงเป็นอาหารอิตาเลียนจานเด็ดที่ ทางร้านรังสรรค์เมนูคิดมาเป็นสไตล์ของตัวเองโดยเฉพาะ ซึ่งมีเมนูอิตาเลียนอันหลากหลายให้ได้เลือกสั่งมากินกันตามใจชอบ
Calamari Pizza
       และในมื้อนี้เราก็มีเมนูอิตาเลียนจานเด็ดของที่ร้านนี้ ที่ถ้าหากได้มาแล้วแนะนำว่าต้องสั่งมาลิ้มรสกันให้ได้ เริ่มจากเมนูเรียกน้ำย่อยด้วยของกินเล่นอย่าง Calamari (200 บาท++) เป็นหมึกที่นำมาชุบกับแป้งที่ทางร้านปรุงรสไว้แล้วทอดจนเหลืองกรอบ กินคู่กับซอสที่ทางร้านปรุงขึ้นมาเป็นพิเศษ เคี้ยวหมึกกรอบนอกเนื้อในนุ่มหนึบหนับปากเข้ากับรสชาติซอสรสชาติดี
Caramelized Apple & Walnut Salad
       จานถัดมานำเสนอ Caramelized Apple & Walnut Salad (240 บาท++) เป็นสลัดจานเด่นที่มีแอปเปิ้ลย่างกับเนย มีผักรอคเก็ต มะเขือเทศเชอร์รี่ ราดด้วยน้ำสลัดบาซามิค โรยด้วยวอลนัทและเฟต้าชีส ลิ้มรสสลัดถูกปากกับแอปเปิ้ลหอมหวานเข้ากับผักรอคเก็ต วอลนัท ชีส และน้ำบาซามิครสกลมกล่อมลิ้น
Petite Style Lasagna
       ต่อด้วยเมนู Petite Style Lasagna (320 บาท++) เป็นลาซานญ่าเนื้อหอมๆ ที่มีจุดเด่นอยู่ที่ทำสดๆ ทุกถ้วย โดยทางร้านจะนำเนื้อออสเตรเลียมาปรุงรสตามสูตรเฉพาะ มาทำไปไส้ลาซานญ่าใส่สลับกับชีสเป็นชั้นๆ 3-4 ชั้น และด้านบนโปะด้วยมอสซาเรลล่าชีสแล้วนำเข้าอบ เสิร์ฟมาร้อนๆ ส่งกลิ่นหอมๆ กินแล้วเนื้อนุ่มรสดีนุ่มหนืดชีสถูกปากจริงๆ
Spaghetti Shrimp Japanese Shrimp Roe
       แล้วมาชิม Spaghetti Shrimp Japanese Shrimp Roe (280 บาท++) ที่ถ้าใครชอบกินพาสต้าแนะนำเลยว่าต้องสั่งมาชิม เพราะทางร้านนำเส้นสปาเก็ตตี้มาผัดน้ำมันมะกอก ใส่มะเขือเทศเชอร์รี่ กุ้งสด ไข่กุ้ง และใส่พริกขี้หนูสดเล็กน้อยให้มีรสชาติจัดจ้านขึ้น กินแล้วก็ถูกปากกับเส้นสปาเก็ตตี้เหนียวนุ่มเด้งเข้ากับกุ้งและไข่กุ้งมัน ปาก อกรสเผ็ดนิดๆ กำลังดี
Home-Style Baked Sole
       ตามมาด้วยเมนูนี้ Home-Style Baked Sole (260 บาท++) เป็นปลาทะเล Baked Sole ลามาเป็นชิ้นแล้วอบกับไวน์ขาว มะกอก เคเปเปอร์ และมะเขือเทศซันดราย มีเครื่องเคียงเป็นผักโขม หน่อไม้ฝรั่ง กินปลาเนื้อนุ่มหวานและได้รสชาติของไวน์ขาวที่มีกลิ่นหอมอ่อนๆ ถูกปากดีแท้
Cantadina
       และก็ต้องไม่พลาดที่จะสั่งพิซซ่ามากินกันให้ได้ เพราะที่นี่ทำพิซซ่าแบบโฮมเมด มีเตาอบพิซซ่าที่สั่งทำมาโดยเฉพาะ แนะนำให้สั่ง Cantadina Pizza (300 บาท++) เป็นพิซซ่าแบบอิตาเลียนแท้ๆ แป้งบางและอบด้วยเตาถ่านแบบพิเศษสำหรับทำพิซซ่าเท่านั้นทำให้แป้งกรอบทั่ว กัน และมีกลิ่นหอมของไม้ที่ใช้อบด้วย หน้าพิซซ่านี้ใส่เห็ดหอมสด ไส้กรอกอิตาเลียน มอซซาเรลล่าชีส และโรยหน้าด้วยผักรอคเก็ต กินพิซซ่าแป้งบางกรอบหอมชีสและเต็มปากเต็มคำกับเครื่องต่างๆ ที่ใส่มา
ลีลาการทำพิซซ่าแบบโฮมเมด
       เมนูต่างๆ ที่นำเสนอมานี้เป็นเมนูเด่นที่ไม่ควรพลาดต้องสั่งมาลิ้มลองกันให้ได้ แล้วก็ยังมีเมนูจานเด็ดอื่นๆ ที่ชวนกินอีก อาทิ BBQ Chicken Pizza California Style (340 บาท++) Pizza Spicy Clams White Wine Cream Sauce (360 บาท++) Linguini with Crab Meat (320 บาท++) Baked Atichoke Almond Crusted Salmon Trout (600 บาท++) และอีกหลายหลากเมนูอิตเลียนโฮมเมดเลิศรสที่อยากจะชวนให้ผู้ที่ชืนชอบอาหาร อิตาเลียนได้ลองเดินทางมาลองลิ้มกันด้วยตัวเองที่ร้าน “Petite Pantry” แห่งนี้
บรรยากาศโต๊ะนั่งด้านบน
       * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * *
      
       “Petite Pantry” (พิติท แพนทรี่) ตั้งอยู่ที่ 55/1 ซ.สุขุมวิท 49 คลองตันเหนือ วัฒนา กทม. การเดินทางถ้ามาจากถ.สุขุมวิท ให้ตรงที่ซ.สุขุมวิท 49 ตรงเข้ามาในซอยเรื่อยๆ จนมาถึงวิลล่ามาร์เก็ตจะเห็นร้าน Petite Pantryตั้งอยู่ติดกัน จุดสังเกตอยู่ตรงข้ามโรงพยาบาลฟัน ร้านเปิดทุกวัน เวลา 11.00-14.00 น. และ 17.00-22.00 น. มีที่จอดรถภายในร้าน ทางร้านรับจัดเลี้ยงและมีบริการ Delivery ด้วย โทร. 0-2662-4547