ที่ว่าต่อให้ได้ลองลิ้มรสชาติของอาหารชาติไหนๆ มากมายเพียงใด แต่ยังไงในความรู้สึกลึกๆ ของหัวใจก็ยังขอยกนิ้วให้ “อาหารไทย” เป็น ที่หนึ่งในดวงใจ ที่มีเสน่ห์ในเรื่องของรสชาติอาหารอันเลิศรสโดนใจ และมีความหลากหลายของเมนูอาหารให้เลือกกินอย่างมากมายแบบไม่รู้เบื่อ | ||||
และก็มีอาหารไทย อาหารจีนบริการ มีทั้งอาหารไทยทั่วไปและอาหารไทยสูตรโบราณ ซึ่งเมนูอาหารไทยนั้นมีหลายเมนูที่น่าชิมมากมาย อย่างที่อยากแนะนำว่าหากมาแล้วควรสั่งมากินกันก็มี | ||||
| ||||
| ||||
| ||||
| ||||
| ||||
| ||||
ถึงแม้ว่าจะแนะนำมาก็หลายเมนูแล้ว แต่ว่าในรายการอาหารยังมีเมนูอาหารไทยที่ชวนชิมอีกมากมาย อาทิ สลิดหลน (80 บาท) น้ำพริกปลาทู (120 บาท) วุ้นเส้นทรงเครื่อง (90 บาท) ปลากะพงผัดพริกไทยดำ (250 บาท) ลาบปลาช่อน (200 บาท) ฯลฯ เรียกว่าแต่ละเมนูล้วนแล้วแต่เป็นอาหารไทยที่น่าลองลิ้มซึ่งทาง “สวนอาหารบ้านจิตประภัสสร” ภูมิใจนำมาเสนอให้แฟนๆ คออาหารไทยได้มาอิ่มหนำกันอย่างเต็มที่ | ||||
* * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * “สวนอาหารบ้านจิตประภัสสร” ตั้ง อยู่ที่ 89/462 ถ.ประชานิเวศน์ 1 แขวงลาดยาว เขตจตุจักร กทม. การเดินทางถ้ามาจาก ริมคลองประปาให้เลี้ยวตรงเข้ามาที่ ถ.ประชานิเวศน์ 1 มุ่งหน้าไปวัดเสมียนนารี ก่อนขึ้นสะพานข้ามคลองให้สังเกตซ้ายมือจะเห็น ซ.สัมมากร 2 หน้าปากซอยมีร้านลีลาวดีสปา ตรงเข้ามาก็จะเจอสวนอาหารบ้านจิตประภัสสร มีป้ายร้านให้เห็นชัดเจน เปิดทุกวัน เวลา 10.00-21.00 แต่สามารถนั่งได้ถึง 23.00 น. ถ้ามากินอาหารแนะนำว่าควรโทร.มาจองโต๊ะก่อนจะดี และทางร้านรับจัดงานเลี้ยงทั้งในและนอกสถานที่ โทร. 0-2580-4643, 0-2580-6041, 08-1434-9305 หรือเข้าไปดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ http://www.jitprapassorn.com/ |
“บ้านจิตประภัสสร” หนึ่งในดวงใจ อาหารไทยโบราณเลิศรส
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 6 ตุลาคม 2554 14:00 น.
“D’ EIFFEL” เลิศรสอาหารฝรั่งเศสต้นตำรับ
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ | 13 ตุลาคม 2554 12:22 น. |
แต่ถ้าเป็นเรื่องการที่จะได้ลองลิ้ม “อาหารฝรั่งเศส” นั้นไม่ใช่เรื่องยากสำหรับเราเลย เพราะว่าในเมืองไทยมีร้านขายอาหารฝรั่งเศสอยู่หลายร้าน และแต่ล่ะร้านก็มีอาหารฝรั่งเศสเลิศรสขนานแท้แบบต้นตำรับให้ได้ชิมกันราวกับ ว่าได้บินไปกินถึงถิ่นเลยก็ว่าได้ เหมือนที่ในมื้อนี้เราไม่ต้องเสียเงินนั่งเครื่องบินไปไกลถึง ฝรั่งเศส แต่แค่ขับรถมาที่ศาลายา จ. นครปฐม ก็ได้มาลิ้มรสอาหารฝรั่งเศสที่อร่อยถูกลิ้นกันยังร้าน “D’ EIFFEL” (ดิ ไอ เฟล) ที่ร้านอาจจะไม่ได้หรูหราใหญ่โต เป็นเพียงแค่ตึกแถว 2 คูหาของสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ ที่ทางเจ้าของร้านคือ คุณแดง สมพร ชลมหาสวัสดิ์ นำมาตกแต่งให้สวยงามเน้นสีขาวดูสะอาดตา โปร่งโล่งสบายๆ ชวนนั่งในห้องแอร์เย็นๆ และมีโต๊ะนั่งรับลมด้านนอกด้วย | ||||
สำหรับเมนูอาหารฝรั่งเศสของที่นี่มีเมนูให้เลือกลิ้มรสแบบหลากหลาย ซึ่งเมื่อมานั่งสั่งอาหารแล้วทางร้านจะเสิร์ฟขนมปังที่ทางร้านอบเองมาแบบ ร้อนๆ ให้ได้กินอุ่นกระเพาะเรียกน้ำย่อยกันก่อน แล้วค่อยสั่งเมนูอาหารมาชิมกันซึ่งมีเมนูแนะนำที่ถ้ามาที่ร้านนี้แล้วไม่ควร พลาดต้องสั่งมาลองลิ้มให้ได้ก็มีหลายเมนูด้วยกัน | ||||
| ||||
| ||||
| ||||
| ||||
| ||||
| ||||
เมนูต่างๆ ที่ได้นำมาเสนอนี้จัดว่าเป็นเมนูจานเด็ดที่ไม่ควรพลาดต้องสั่งมาลองลิ้มกัน ให้ได้ และยังมีเมนูอื่นๆ อีก อาทิ หอยเชลล์อบชีส (350 บาท) กุ้งอบชีส (240 บาท) กุ้งพริกไทยดำ (240 บาท) เป็ดซอสส้ม (250 บาท) และอีกสารพันเมนูอาหารฝรั่งเศสรสเลิศแบต้นตำรับที่สามารถมาชิมลิ้มรสกันได้ ที่ร้าน “D’ EIFFEL” แห่งนี้ | ||||
* * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * “D’ EIFFEL” (ดิ ไอ เฟล) ตั้งอยู่ที่ 135/345 ศาลายา ซ.ศาลายา 7 (ซอยธ.กสิกรไทย) จ. นครปฐม การเดินทางถ้ามาจากถ.บรมราชชนนีให้วิ่งตรงมาจนพุทธมณฑลสาย 4 จะมีป้ายบอกทางให้ขึ้นสะพานเพื่อลงมายังถ.พุทธมณฑลสาย 4 จากนั้นกลับรถแล้วชิดซ้าย ตรงมาที่ซ.ศาลายา 7 จุดสังเกตหน้าปากซอยมีธ.กสิกรไทย ให้เลี้ยวเข้าไปในซอยจะเจอ 4 แยกเล็ก ก็ให้เลี้ยวขวาแล้วตรงมาประมาณ 150 ม. จะเห็นร้านดิ ไอ เฟลอยู่ขวามือ มีที่จอดรถหน้าร้านหรือจอดภายในซอย เปิดอังคาร-อาทิตย์ (ปิดวันจันทร์) เวลา 11.00-23.00 น. แต่ครัวปิด 22.00 น. ถ้ามากินแนะนำว่าควรโทร.มาจองโต๊ะก่อน โทร. 0-2800-2095, 08-6898-1297 |
“Barn@36” โรงนาแห่งความอร่อย
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 20 ตุลาคม 2554 15:35 น.
แต่อย่าเพิ่งแปลกใจไปว่าโรงนาเก็บข้าวที่ไหนจะมาตั้งอยู่ในซอย สุขุมวิท 36 กัน เพราะโรงนาที่ “ตระเวนกิน” กำลังพูดถึงนี้แท้ที่จริงแล้วก็คือร้านอาหารขนาดใหญ่ที่ชื่อว่า “Barn@36” (บานแอทสามสิบหก) เป็นร้านอาหารที่ชวนนั่ง บรรยากาศตกแต่งเหมือนโรงนาสไตล์ตะวันตกกึ่งรีสอร์ทที่ผสมผสานธรรมชาติและ ความสะดวกสบายเข้าไว้ด้วยกันได้อย่างลงตัว ตรงตามคอนเซ็ปต์ของทางร้านที่ว่าเป็น โรงนากลางซอยสุขุมวิท | ||||
ส่วนเรื่องอาหารของที่ร้านนี้เน้นเป็นสเต็กเฮ้าส์ ที่ได้นำเอาสเต็กชั้นยอดรสดีจาก บ้านสเต็ก โบนันซ่า เขาใหญ่มา เป็นเมนูสเต็กจานเด็ดให้คอกินสเต็กได้อิ่มหนำกันแบบจุใจ รวมถึงยังมีเมนูก๋วยเตี่ยวขึ้นชื่อของทางร้านและอาหารไทยโบราณที่ถึงแม้จะมี เมนูไม่มากมายแต่ก็มีให้เลือกสั่งมาลิ้มรส | ||||
| ||||
| ||||
| ||||
| ||||
| ||||
| ||||
| ||||
| ||||
* * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * ร้าน “Barn@36” ตั้ง อยู่ที่ 67 ซอยสุขุมวิท 36 สุขุมวิท คลองตัน คลองเตย กรุงเทพฯ การเดินทางถ้ามาจากถ.สุขุมวิท ให้ตรงมาที่ซ.สุขุมวิท 36 เข้ามาในซอยแล้วจะเห็นร้านBarn@36 อยู่ด้านซ้ายมือ มีป้ายร้านให้เห็นชัดเจน เปิดทุกวัน เวลา 11.00-23.00 น. ที่ร้านรับจัดงานเลี้ยงทั้งในและนอกสถานที่ด้วย โทร. 0-2258-5937, 0-2260-4292, 08-6328-8989 หรือเข้าไปดูราละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ http://www.barn36.com/ |
“ตำลึง”ประโยชน์ล้นเหลือ
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 15 กุมภาพันธ์ 2548 17:54 น.
ยังจำผักสวนครัวรั้วกินได้ที่มีชื่อว่า “ตำลึง” กันได้ไหมเอ่ย?
ตำลึง ซึ่งมีลักษณะเป็นเถาไม้เลื้อย มีมือจับเกาะยึดต้นไม้อื่นๆ มีดอกสีขาว มีผลเป็นรูปยาวรีคล้ายแตงกวา มีใบเป็นรูปทรงคล้ายหัวใจ เวลาเอาใบและยอดอ่อนๆ มาแกงจืดกับหมูสับแล้วละก็... อร่อยอย่าบอกใคร
ไม่ใช่แค่อร่อยอย่างเดียว แต่ตำลึงยังมีประโยชน์อีกมาก มี ทั้งสารเบต้าแคโรทีนที่ช่วยป้องกันการเกิดโรคมะเร็ง ลดน้ำตาลในเลือด และหัวใจขาดเลือด มีแคลเซียมช่วยบำรุงกระดูกและฟัน มีฟอสฟอรัส ธาตุเหล็ก ไนอาซิน และวิตามินซี ลดอาการท้องอืด ท้องเฟ้อ จุกเสียด สถาบันวิจัยโภชนาการ มหาวิทยาลัยมหิดลพบว่า หากใครกินตำลึงบ่อยๆ เส้นใยอาหารในตำลึงก็สามารถช่วยลดอัตราเสี่ยงในการเกิดโรคมะเร็งในกระเพาะ อาหารและได้อีกด้วย
นอกจากนั้นตามตำราแพทย์แผนโบราณ ตำลึงถือเป็น ยาเย็น ใบช่วยขับพิษ และถอนพิษไข้ แก้อาการแพ้ อักเสบ แมลงมีพิษกัดต่อย แก้แสบคัน โดยใช้ใบตำลึงสดๆ ประมาณ 1 กำมือมาล้างให้สะอาด แล้วตำให้ละเอียด ผสมน้ำเล็กน้อย นำมาทาบริเวณที่มีอาการคันก็จะหายได้
ตำลึงเป็นผักที่พบได้ง่าย แถมปลูกก็ยังง่าย เพียงแค่เอาเมล็ดจากผลที่สุกจัดๆ มาเพาะ หรือเอาเถาแก่ยาวประมาณ 6-8 นิ้ว มาปักลงในดินผสมปุ๋ย หมั่นรดน้ำบ่อยๆ และหาไม้มาทำหลักให้ตำลึงเลื้อยเมื่อเถาเริ่มงอก ปลูกเอาเองไม่ต้องซื้อของใคร แค่นี้ก็ได้ต้นตำลึงเอาไว้กินแกงจืดกันได้ทุกมื้อ และถ้ายิ่งเด็ด ยอดตำลึงก็จะยิ่งขึ้นงาม เพราะฉะนั้นจะลองเปลี่ยนเมนูเป็นแกงเลียง ต้มเลือดหมู หรือจะนึ่งจิ้มน้ำพริกก็กินกันได้ไม่มีเบื่อ
ตำลึง ซึ่งมีลักษณะเป็นเถาไม้เลื้อย มีมือจับเกาะยึดต้นไม้อื่นๆ มีดอกสีขาว มีผลเป็นรูปยาวรีคล้ายแตงกวา มีใบเป็นรูปทรงคล้ายหัวใจ เวลาเอาใบและยอดอ่อนๆ มาแกงจืดกับหมูสับแล้วละก็... อร่อยอย่าบอกใคร
ไม่ใช่แค่อร่อยอย่างเดียว แต่ตำลึงยังมีประโยชน์อีกมาก มี ทั้งสารเบต้าแคโรทีนที่ช่วยป้องกันการเกิดโรคมะเร็ง ลดน้ำตาลในเลือด และหัวใจขาดเลือด มีแคลเซียมช่วยบำรุงกระดูกและฟัน มีฟอสฟอรัส ธาตุเหล็ก ไนอาซิน และวิตามินซี ลดอาการท้องอืด ท้องเฟ้อ จุกเสียด สถาบันวิจัยโภชนาการ มหาวิทยาลัยมหิดลพบว่า หากใครกินตำลึงบ่อยๆ เส้นใยอาหารในตำลึงก็สามารถช่วยลดอัตราเสี่ยงในการเกิดโรคมะเร็งในกระเพาะ อาหารและได้อีกด้วย
นอกจากนั้นตามตำราแพทย์แผนโบราณ ตำลึงถือเป็น ยาเย็น ใบช่วยขับพิษ และถอนพิษไข้ แก้อาการแพ้ อักเสบ แมลงมีพิษกัดต่อย แก้แสบคัน โดยใช้ใบตำลึงสดๆ ประมาณ 1 กำมือมาล้างให้สะอาด แล้วตำให้ละเอียด ผสมน้ำเล็กน้อย นำมาทาบริเวณที่มีอาการคันก็จะหายได้
ตำลึงเป็นผักที่พบได้ง่าย แถมปลูกก็ยังง่าย เพียงแค่เอาเมล็ดจากผลที่สุกจัดๆ มาเพาะ หรือเอาเถาแก่ยาวประมาณ 6-8 นิ้ว มาปักลงในดินผสมปุ๋ย หมั่นรดน้ำบ่อยๆ และหาไม้มาทำหลักให้ตำลึงเลื้อยเมื่อเถาเริ่มงอก ปลูกเอาเองไม่ต้องซื้อของใคร แค่นี้ก็ได้ต้นตำลึงเอาไว้กินแกงจืดกันได้ทุกมื้อ และถ้ายิ่งเด็ด ยอดตำลึงก็จะยิ่งขึ้นงาม เพราะฉะนั้นจะลองเปลี่ยนเมนูเป็นแกงเลียง ต้มเลือดหมู หรือจะนึ่งจิ้มน้ำพริกก็กินกันได้ไม่มีเบื่อ
หลากคุณค่าจากแมงลัก…ผักสวนครัว
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 21 กุมภาพันธ์ 2548 17:20 น.
"แมงลัก" ผักสวนครัวชื่อแปลก ที่มีหน้าตาคล้ายกับกะเพราและโหระพา เป็นผักที่แม่บ้านชาวไทยรู้จักกันดี เนื่องจากนำมาเป็นส่วนประกอบของอาหารได้หลากหลาย เช่น เอาใบมาใส่ในแกงเลียง หรือกินสดๆ คู่กับขนมจีนก็อร่อยเด็ด
ใบแมงลักนี้มีประโยชน์มาก ทั้งช่วยขับเหงื่อ ขับลมในลำไส้ แก้วิงเวียน แก้ท้องอืดท้องเฟ้อ หรือใครจะนำใบแมงลักมาต้มกับน้ำ ดื่มเป็นประจำก็จะช่วยรักษาโรคเกี่ยวกับลำไส้หรือโรคทางเดินอาหารได้ด้วย และใบแมงลักยังให้สารเบต้าแคโรทีนและแคลเซียม ซึ่งเป็นสารที่มีประโยชน์ต่อร่างกายเช่นกัน
แต่สำหรับสาวๆ หลายคนอาจจะรู้จักสรรพคุณของเม็ดแมงลักมากกว่าใบแมงลัก เพราะเม็ดแมงลักนั้น มักจะถูกนำไปทำเป็นอาหารสำหรับผู้ที่ต้องการลดความอ้วน เนื่อง จากเม็ดแมงลักไม่ก่อให้เกิดพลังงาน และยังมีสรรพคุณเป็นยาระบาย ช่วยให้ขับถ่ายสะดวก แถมยังช่วยลดไขมันในเส้นเลือด และช่วยลดความเสี่ยงต่อการเป็นโรคหัวใจอีกด้วย วิธีกินก็ให้นำเมล็ดแมงลักประมาณ 2 ช้อนชา ผสมน้ำร้อน 1 แก้ว หรือจะชงกับน้ำผึ้งหรือน้ำสมุนไพรต่างๆ ก็ได้ แต่มีข้อแม้ว่าจะต้องรอให้เม็ดแมงลักพองตัวเต็มที่เสียก่อนจึงค่อยกิน มิฉะนั้นละก็ แทนที่จะช่วยระบาย ก็กลับจะทำให้ท้องผูกแทน แล้วจะหาว่า “108 เคล็ดกิน” ไม่เตือน
| ||
ใบแมงลักนี้มีประโยชน์มาก ทั้งช่วยขับเหงื่อ ขับลมในลำไส้ แก้วิงเวียน แก้ท้องอืดท้องเฟ้อ หรือใครจะนำใบแมงลักมาต้มกับน้ำ ดื่มเป็นประจำก็จะช่วยรักษาโรคเกี่ยวกับลำไส้หรือโรคทางเดินอาหารได้ด้วย และใบแมงลักยังให้สารเบต้าแคโรทีนและแคลเซียม ซึ่งเป็นสารที่มีประโยชน์ต่อร่างกายเช่นกัน
แต่สำหรับสาวๆ หลายคนอาจจะรู้จักสรรพคุณของเม็ดแมงลักมากกว่าใบแมงลัก เพราะเม็ดแมงลักนั้น มักจะถูกนำไปทำเป็นอาหารสำหรับผู้ที่ต้องการลดความอ้วน เนื่อง จากเม็ดแมงลักไม่ก่อให้เกิดพลังงาน และยังมีสรรพคุณเป็นยาระบาย ช่วยให้ขับถ่ายสะดวก แถมยังช่วยลดไขมันในเส้นเลือด และช่วยลดความเสี่ยงต่อการเป็นโรคหัวใจอีกด้วย วิธีกินก็ให้นำเมล็ดแมงลักประมาณ 2 ช้อนชา ผสมน้ำร้อน 1 แก้ว หรือจะชงกับน้ำผึ้งหรือน้ำสมุนไพรต่างๆ ก็ได้ แต่มีข้อแม้ว่าจะต้องรอให้เม็ดแมงลักพองตัวเต็มที่เสียก่อนจึงค่อยกิน มิฉะนั้นละก็ แทนที่จะช่วยระบาย ก็กลับจะทำให้ท้องผูกแทน แล้วจะหาว่า “108 เคล็ดกิน” ไม่เตือน
Subscribe to:
Posts (Atom)