สอนลูกกินผักให้เป็น

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 6 กันยายน 2548 15:41 น.


       ชอบผักๆๆ กินผักๆๆ... บางคนกินผักได้อย่างเอร็ดอร่อย แต่บางคนแค่เห็นก็ถึงกับส่ายหน้า ทำยังไงๆ ก็ไม่ยอมกินและให้เหตุผลว่า...ไม่ชอบกินผัก "108 เคล็ดกิน" ว่า เรื่องแบบนี้เป็นกันมาตั้งแต่เด็ก เพราะฉะนั้นใครที่ไม่อยากให้ลูกเป็นคนเลือกกินละก็ ต้องหัดให้ลูกกินผักไว้ตั้งแต่เด็กๆ เลยเป็นดี
      
       เด็กจะสามารถเริ่มกินผักได้ตั้งแต่อายุ 5 เดือนขึ้นไป ในช่วงนี้ต้องเริ่มให้เด็กกินผักนิ่มๆ อย่างใบตำลึง ผักกาดขาว ฟักทอง เป็นต้น ส่วนผักที่มีกลิ่นฉุนอย่างผักชี ต้นหอมนั้น สามารถให้ลูกกินได้ตั้งแต่ช่วงอายุ 8-9 เดือน เพราะในช่วงนี้เด็กจะยังไม่รู้จักกลิ่นและรส เป็นช่วงที่เหมาะสมที่สุดที่จะหัดให้กินผัก
      
       การทำรูปลักษณ์ของผักให้น่ากินก็เป็นสิ่งหนึ่งที่ช่วยให้เด็ก ๆ อยากกินผักมากขึ้น เช่น ผักที่แกะสลักเป็นรูปต่างๆ หรือผักชุบแป้งทอด แต่ที่สำคัญที่สุด คือ พ่อและแม่จะต้องเป็นตัวอย่างที่ดีให้แก่ลูกๆ ด้วยการกินผักให้ลูกเห็น หรือกล่าวชมเชยเวลาที่ลูกกินผักได้เอง และอย่าใช้วิธีบังคับให้กินให้ได้ เพราะเด็กจะเกิดความรู้สึกต่อต้าน
      
       อย่าลืมว่าผักเป็นอาหารชนิดหนึ่งที่สำคัญมากๆ และเป็นประโยชน์ต่อร่างกาย เพราะฉะนั้นหากใครกำลังมีลูกเล็กๆ ก็มาหัดให้ลูกกินผักให้เป็นกันดีกว่า จะได้มีสุขภาพแข็งแรง แถมยังดูเป็นคนกินง่ายไม่เรื่องมากอีกด้วย

จะทำยังไง...เมื่อคนผอมอยากอ้วน

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 13 กันยายน 2548 17:00 น.
       เดี๋ยวนี้เวลามองไปทางไหนก็เห็นแต่คนอ้วนอยากผอม ดูโฆษณาทางทีวีทีไรก็เห็นมีแต่ผลิตภัณฑ์ขายความผอม แต่ "108 เคล็ดกิน" ก็รู้นะว่ายังมีคนผอมอีกหลายคนที่อยากจะเพิ่มน้ำหนักให้ตัวเองดูมีเนื้อมีหนังขึ้นมาบ้าง แต่กินยังไง้...ยังไงน้ำหนักก็ไม่ขึ้นเสียที
       

       ผู้ที่มีปัญหาเช่นนี้อาจเพราะว่าเป็นคนที่ใช้พลังงานมาก แต่พักผ่อนน้อย กินน้อย แถมเลือกกินอีกต่างหาก หรือสำหรับบางคนอาจเกิดจากปัญหาทางร่างกาย เช่นต่อมธัยรอยด์ทำงานมากเกินไป ทำให้อาหารถูกเผาผลาญมาก หรือลำไส้ดูดซึมอาหารไม่ดี เป็นโรคกระเพาะ โรคลำไส้ เป็นต้น อันนี้ก็ต้องปรึกษาแพทย์กันไปตามอาการ
      
       
แต่ถ้าอยากอ้วนขึ้นด้วยการกินละก็ กองโภชนาการ กรมอนามัย เขาแนะนำมาว่า จะต้องกินอาหารให้ได้แคลอรี่วันละ 3,000-3,500 โดยกินอาหารที่ให้พลังงานสูงอย่าง เนย ไอศกรีม ขนมหวาน ผลไม้ที่ให้พลังงานสูงๆ และต้องกินอาหารจำพวกโปรตีน เช่น นม ไข่ ถั่ว เนื้อสัตว์ให้มากกว่าปกติ อย่ากินอาหารที่มันจัด หรือหวานจัด เพราะจะทำให้กินได้น้อยลง แล้วถ้าใครยังเบื่ออาหารอยู่อีกละก็ ต้องออกกำลังกายให้มากขึ้น และพักผ่อนให้เพียงพอ ทำให้ได้อย่างนี้แล้วน้ำหนักก็จะเพิ่มขึ้นได้

ดูแลเหงือกและฟันด้วยการกิน

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 20 กันยายน 2548 15:35 น.
       ปากของเราเป็นด่านแรกที่อาหารจะต้องผ่านเข้าไป แต่ลองคิดดูสิว่า หากในปากเราไม่มีเหงือกและฟัน การกินอาหารคงจะหมดรสชาติไปไม่น้อยเลยทีเดียว
       

       ฟันถือเป็นอวัยวะที่แข็งแกร่งที่สุดในร่างกาย แต่ก็ยังผุกร่อนได้เพราะการกินอาหารไม่ถูกต้อง และไม่ได้รับการดูแลรักษา แต่เหงือกนั้นสำคัญยิ่งกว่าฟันเสียอีก เพราะเป็นอวัยวะที่ละเอียดอ่อน มีหน้าที่หุ้มรากฟัน ทันตแพทย์มักจะบอกเสมอว่า รักษาโรคเหงือกยากกว่ารักษาโรคฟันเสียอีก วันนี้ "108 เคล็ดกิน" จึงมีวิธีบำรุงรักษาฟันและเหงือกด้วยการกินมาฝาก
      
       สำหรับฟันของเรานั้น ต้องการสารอาหารประเภทแคลเซียมและฟอสฟอรัส รวมทั้งวิตามิน ซึ่งทั้งหมดนี้จะเป็นตัวประกอบให้ฟันเราแข็งแรง โดยปกติแล้ว ถ้าเรากินอาหารครบ 5 หมู่ เราก็จะได้ฟอสฟอรัสเพียงพอจากการกินอาหาร แต่อาหารส่วนใหญ่ไม่ได้มีแคลเซียมเสมอไป ร่างกายเราจึงมักขาด ดังนั้นจึงต้องเสริมด้วยอาหารจำพวกน้ำนม เนยแข็ง หรือผักประเภทกะหล่ำดอก มะเขือเทศ ฟักทอง ผักโขม ตำลึง ใบมะกรูด ใบกระเพาขาว ใบแค ใบบัวบก ใบยอ ใบ ไข่แดง ปลา ปลาตัวเล็กที่กินได้ทั้งกระดูก และสำหรับน้ำอัดลมนั้นถือเป็นศัตรูของฟันเลยทีเดียว เพราะมีฤทธิ์กัดกร่อนมาก
      
       ส่วนเหงือกนั้น ก็ควรบำรุงด้วยการกินผลไม้สด ผักสด ที่ให้วิตามินซี เช่น ส้มต่างๆ มะนาว มะเขือเทศ มะละกอ ฝรั่ง สับปะรด กะหล่ำปลี ผักกาดหอม หัวหอม ซึ่งอาหารประเภทนี้จะ ให้วิตามินสูง เหงือกของเราจะได้สีสดใส ไม่คล้ำหรือซีด ดูเป็นคนสุขภาพดี ไม่เป็นโรคเลือดออกตามไรฟันด้วย
      
       คนที่เคยเป็นโรคเหงือกหรือโรคฟันคงจะเข้าใจถึงความทรมานได้ดี เพราะฉะนั้นเรามาดูแลอวัยวะสำคัญสองสิ่งนี้ของเราไว้ก่อนจะสายเกินไปดีกว่า

กินเจมื้อไหนก็ไม่ขาดโปรตีน

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 4 ตุลาคม 2548 14:46 น.
เทศกาลกินเจมาถึงแล้ว หลายๆ คนก็เริ่มกินเจกันไปเป็นที่เรียบร้อย แต่บางคนยังสองจิตสองใจ กลัวว่าร่างกายจะได้รับสารอาหารไม่เพียงพอ โดยเฉพาะสารอาหารโปรตีน เพราะการกินเจนั้นจะห้ามกินเนื้อสัตว์
      
       แต่จริงๆ แล้ว โปรตีนไม่ได้มีอยู่ในเนื้อสัตว์อย่างเดียวเท่านั้น แต่ยังพบในพืชด้วย เช่น ในถั่วเมล็ดแห้ง ข้าวสาลี ข้าวโพด จะมีสารอาหารโปรตีนเป็นส่วนประกอบอยู่ด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ถั่วเมล็ดแห้ง จำพวกถั่วเหลือง ถั่วเขียว ถั่วดำและถั่วลิสงจะมีปริมาณของโปรตีนที่สูงพอสมควร
      
       แน่นอนว่าหากจะเปรียบเทียบกับโปรตีนที่ได้จากพืชและเนื้อสัตว์ใน ปริมาณที่เท่ากัน จะพบว่าพืชจะให้โปรตีนน้อยกว่าเนื้อสัตว์ และโปรตีนจากเนื้อสัตว์จะให้สารอาหารที่จำเป็นครบถ้วนกว่า แต่ถึงจะอย่างนั้นก็ตาม ในเนื้อสัตว์ไม่ได้ให้โปรตีนเพียงอย่างเดียว แต่มักจะได้ไขมันที่ปนอยู่เข้าไปด้วย ทำให้ผู้ที่กินเนื้อสัตว์มากๆ มักจะเกิดโรคหัวใจและมะเร็งจากคอเลสเตอรอลที่ได้รับมามากๆ
      
       ก็เป็นอันว่าผู้ที่กินเจสามารถสบายใจได้ว่าร่างกายจะไม่ขาดโปรตีนแน่ เพราะยังสามารถกินถั่วหรือผลิตภัณฑ์จากถั่วได้อยู่ แถมยังเป็นการขับสารพิษออกจากร่างกาย ช่วยให้ระบบขับถ่ายทำงานได้ดีขึ้น ผิวพรรณผ่องใส โลหิตจะถูกฟอกให้สะอาดขึ้นด้วย “108 เคล็ดกิน” ขอให้ทุกคนมีความสุขกับการกินเจกันถ้วนหน้า

ใบเตย พืชธรรมดาที่ไม่ธรรมดา

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 3 สิงหาคม 2547 14:20 น.

       ใบอะไรเอ่ย ใช้ได้สารพัดประโยชน์ ใช้กินก็ได้ ใช้ดื่มก็ดี กลิ่นก็หอมชื่นใจ แถมยังมีประโยชน์มากมายต่อร่างกายอีกด้วย??
      
       หากยังนึกไม่ออก "108 เคล็ดกิน" จะเฉลยให้ก็ได้ว่าใบที่ว่านั่นก็คือ "ใบเตย" พืชพื้นบ้านของไทยเรานั่นเอง
      
       ใบเตย ถูกนำมาใส่เพื่อเพิ่มสีเพิ่มกลิ่นให้ขนมไทยหลายๆ อย่าง ถูกนำมาเป็นเครื่องดื่มดับกระหาย แถมบางครั้ง ก็ยังทำหน้าที่เป็นเหมือนน้ำหอมดับกลิ่นในรถยนต์อย่างที่เห็นในรถแท็กซี่ บ่อยๆ
      
       แต่ถึงอย่างนั้น บางคนก็อาจยังไม่ทราบถึงประโยชน์จริงๆ ของใบเตย ซึ่งจะขอนำมาบอกเล่าให้ทราบกันว่า ในใบเตยนั้นประกอบด้วยน้ำมันหอมระเหย และคลอโรฟิลด์ ใบของต้นเตยนั้น เมื่อนำมาชงเป็นเครื่องดื่มนอกจากจะช่วยให้ชุ่มคอ ชื่นใจ สามารถลดการกระหายน้ำได้แล้ว ก็ยังช่วยบำรุงหัวใจได้อีกด้วย และถ้านำใบสดมาตำก็สามารถรักษาโรคผิวหนัง และโรคหัดได้ ส่วนรากของใบเตยก็สามารถช่วยขับปัสสาวะและรักษาโรคเบาหวานได้ หากเอามาชงเป็นชาก็จะสามารถลดระดับน้ำตาลในเลือดของผู้ป่วยโรคเบาหวาน โดยผู้ป่วยสามารถนำใบเตยมาทำเป็นชาไว้ดื่มเอง เพียงนำใบเตยมาล้างให้สะอาด ตากแดดให้แห้ง นำมาชงกับน้ำร้อนดื่มได้เลย หรือหากจะเก็บไว้ชงได้นานๆ ก็ให้นำไปเตยที่หั่นแล้วนั้นไปคั่วไฟอ่อนๆ จนแห้งดี และเก็บใส่ภาชนะปิดฝาให้เรียบร้อย หากอยากดื่มขึ้นมาเมื่อไรก็นำมาชงได้ทันที
      
       
คราวนี้ก็ได้รู้กันแล้วว่า ใบเตย พืชธรรมดาแต่คุณค่าไม่ธรรมดาที่เราได้เคยพบเคยเห็นกันจนชาชินจนดูเหมือนไม่ มีความสำคัญนั้น จริงๆ แล้ว มีดีมากกว่าที่ใครๆ คิดไว้เสียอีก ว่าแล้วก็คอแห้ง ต้องขอตัวไปหาน้ำใบเตยหอมๆ มาดื่มหน่อยดีกว่า