ระวัง...เสพติดยา (สามัญประจำบ้าน)

ยาสามัญประจำบ้าน


ระวัง...เสพติดยา (สามัญประจำบ้าน) (Lisa)

           ไม่ ใช่เฉพาะยาเสพติดเท่านั้นที่ทำให้คนติดจนเลิกได้ยาก แม้แต่ยาประจำบ้านก็ทำให้เสพติดได้เหมือนกัน ทั้งนี้ผู้เชี่ยวชาญชาวเยอรมันแจ้งว่า ชาวเยอรมนีประมาณ 2 ล้านคนติดยา อย่างเช่น

ยาแก้ไอ

           มีสาร Codeine ที่จะช่วยให้อารมณ์ดีขึ้นและหากกินไปนาน ๆ หรือกินมากเกินไปก็ทำให้ติดยาได้ ข้อแนะนำก็คือไม่ควรกินนานเกินกว่า 5 วัน

           การรักษาแบบทางเลือก ให้ดื่มน้ำมาก ๆ และอมยาแก้ไอ

สเปรย์พ่นจมูก

           สาร Naphazoline ในสเปรย์พ่นจมูกควรใช้มากที่สุดได้ไม่เกิน 3 ครั้งในหนึ่งวัน และไม่ควรพ่นจมูกเกิน 5 วัน มิเช่นนั้นจะทำให้เนื้อเยื่อจมูกบวมอยู่เสมอทั้ง ๆ ที่ไม่มีน้ำมูก ข้อแนะนำก็คือ ให้ใช้ยาสเปรย์พ่นจมูกในปริมาณต่ำกับเด็ก ๆ และค่อย ๆ เลิกใช้

           การรักษาแบบทางเลือก ควรใช้สเปรย์จากน้ำเกลือจะดีกว่า

ยาแก้ท้องผูก

           ยาที่มีสารของ Natriumpicosulfate จะทำให้ลำไส้เคลื่อนไหว และขจัดของเสีย แต่ก็จะทำให้ลำไส้ขี้เกียจยิ่งขึ้น เพราะมีผู้ช่วย ข้อแนะนำก็คือ ไม่ควรกินยาถ่ายเกิน 4 วันและควรได้รับการแนะนำจากแพทย์ว่าควรกินได้แค่ไหน

           การรักษาแบบทางเลือก ควรกินผักและผลไม้ที่มีกากใยให้มากขึ้น ลดอาหารแป้ง น้ำตาล และเนื้อสัตว์ลง หากเป็นคนไม่ชอบกินผัก ก็อาจกินเม็ดแมงลักเพื่อใช้เป็นยาระบายเพิ่มกาก โดยใช้เม็ดแมงลัก 1-2 ช้อนชา แช่น้ำหนึ่งแก้วจนพองตัวเต็มที่ กินก่อนนอน ถ้าเม็ดแมงลักพองตัวไม่เต็มที่จะทำให้ท้องอืดและอุจจาระแข็ง เม็ดแมงลักที่พองตัวเต็มที่ จะเพิ่มปริมาณอุจจาระและทำให้อุจจาระอ่อนตัวกว่าปกติ

ยานอนหลับ

           นักวิชาการเตือนว่า ยานอนหลับ อย่างเช่น Nitrazepam จะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของพลังงานที่สมอง และทำให้ร่างกายต้องการยานอนหลับ ข้อแนะนำก็คือ ควรถามแพทย์ถึงยาที่มีสารที่ให้ผลต่ำ เช่น Brotizolam และไม่ควรกินนานเกินกว่า 2-4 สัปดาห์

           การรักษาแบบทางเลือก อาการที่บอกว่านอนหลับไม่เพียงพอก็คือ รู้สึกอ่อนเพลียระหว่างวัน วิธีปราบอาการนอนไม่หลับง่าย ๆ ก็คือ ก่อนนอนควรอาบน้ำ ฟังเพลงเพราะ ๆ หรืออ่านหนังสือ ไม่ควรกินมากก่อนเข้านอน และงดดื่มชา กาแฟ แอลกอฮอล์ หากนอนไม่หลับก็อย่ามองนาฬิกาบ่อย ๆ ควรทำสมาธิ ทำจิตให้ว่าง ผ่อนคลายกล้ามเนื้อ ออกกำลังกายให้มากขึ้น แต่ไม่ควรออกกำลังกายในเวลากลางคืนเพราะอาจทำให้นอนไม่หลับได้

           หากทำทุกอย่างดังที่กล่าวมาแล้วก็ยังนอนไม่หลับ ก็อาจต้องพึ่งสมุนไพร เช่น ขี้เหล็ก โดยการใช้ดอกและใบอ่อน 2-3 กำมือ ต้มน้ำดื่มก่อนนอนจะช่วยให้นอนหลับได้ง่ายขึ้น



http://health.kapook.com/view20761.html
ขอขอบคุณข้อมูลจาก

ครีมหน้าขาวก่อมะเร็ง สธ. พบวัยรุ่น-สาวเทียมนิยมใช้


ครีม


ครีมหน้าขาวก่อ "มะเร็ง" สธ. พบ วัยรุ่น-สาวเทียมนิยมใช้ (ไทยโพสต์)

         เตือนวัยรุ่น สาวประเภทสอง ใช้ครีมกัดผิว เปลี่ยนสีผิวให้ขาวใสทันใจเป็นเหมือนเกาหลี เสี่ยงเนื้องอก - มะเร็งผิวหนัง
         นายแพทย์สุพรรณ ศรีธรรมมา โฆษกกระทรวงสาธารณสุข เปิดเผยว่า ปัจจุบันสังคมไทยกำลังนิยมการมีสีผิวขาวใส เพราะเชื่อว่าสามารถทำให้ดูดีขึ้น ดูสดใสเหมือนชาวเกาหลี โดยเฉพาะในกลุ่มวัยรุ่นชาย-หญิง และเริ่มแพร่หลายในกลุ่มนักเรียนมัธยมต้น โดยเฉพาะสาวประเภทสองจะนิยมใช้มาก เนื่องจากเข้าใจว่าทำให้ผิวขาวเนียนเหมือนผู้หญิง และทำให้ขนตามแขนขาเปลี่ยนจากสีดำเป็นสีทอง ดูไม่น่าเกลียดเมื่อใส่ชุดโชว์เรือนร่าง จึงหันมาใช้ครีมเปลี่ยนสีผิว เนื่องจากราคาถูก ใช้แล้วเห็นผลเร็ว หาซื้อง่ายตามตลาดนัด ร้านเสริมความงาม และมีขายทางอินเทอร์เน็ตจำนวนมาก

         "ครีมเปลี่ยนสีผิวนั้นจะมีส่วนผสมหลักก็คือ สารไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์ (Hydrogenperoxide) สารนี้มีฤทธิ์กัดกร่อนระคายเคืองสูง อาจทำให้เกิดระคายเคือง แสบ คัน และเป็นผื่น จะมีลักษณะเป็นน้ำ ในทางการแพทย์นำมาใช้ในการทำความสะอาดแผลที่ทำความสะอาดได้ยาก เช่น แผลลึก ปากแผลแคบ จากตะปูตำ ถูกแทง เป็นต้น" นพ.สุพรรณกล่าว

         โฆษกสาธารณสุข กล่าวว่า เมื่อถูกบาดแผล ไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์จะกลายเป็นฟอง สามารถชำระสิ่งสกปรก เชื้อโรค เศษดินต่างๆ ที่อยู่ในแผลออกมา โดยในการใช้จะนำมาผสมกับน้ำในสัดส่วนไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์ 1 ส่วนต่อน้ำ 20 หรือ 30 ส่วน เป็นต้น นอกจากนี้ สารดังกล่าวยังมีการนำมาใช้กัดสีผม ย้อมผม ผสมในยาสีฟัน กัดสีขน และใช้ในอุตสาหกรรมบางประเภท  ทั้งนี้ ผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางทุกชนิดจัดเป็นเครื่องสำอางควบคุมตามประกาศกระทรวง สาธารณสุข เรื่องการกำหนดเครื่องสำอางควบคุม ลงวันที่ 8 กรกฎาคม 2551 ดังนั้นผู้ผลิตหรือผู้นำเข้าเครื่องสำอางที่มีส่วนผสมของไฮโดรเจนเปอร์ ออกไซด์ต้องมาขอขึ้นทะเบียนกับสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา ก่อนผลิตหรือนำเข้าเครื่องสำอางนั้น ๆ โดยอนุญาตให้ผสมในผลิตภัณฑ์สำหรับเส้นผมในอัตราส่วนไม่เกิน 12 เปอร์เซ็นต์ ผลิตภัณฑ์สำหรับเล็บไม่เกิน 2 เปอร์เซ็นต์ ผลิตภัณฑ์เพื่อสุขอนามัยในช่องปากไม่เกิน 0.1 เปอร์เซ็นต์ ผลิตภัณฑ์ฟอกสีฟันไม่เกิน 6 เปอร์เซ็นต์ และผลิตภัณฑ์สำหรับผิวหนังไม่เกิน 4 เปอร์เซ็นต์ หากเกินอัตราส่วนที่กำหนดถือว่าเป็นเครื่องสำอางผิดกฎหมาย

         ด้านนายแพทย์จิโรจ สินธวานนท์ ผู้อำนวยการสถาบันผิวหนัง กรมการแพทย์ กล่าวว่า การนำสารไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์มาใช้กับผิวโดยตรง ถือว่าเป็นการนำมาใช้ผิดวัตถุประสงค์ เพราะไม่ได้มีข้อบ่งชี้กำหนดว่าให้ใช้สารนี้ในการฟอกสีผิว แต่เพราะค่านิยมในปัจจุบันจึงมีการนำมาใช้ผสมในครีมกัดผิวในเปอร์เซ็นต์ที่ มีความเข้มข้นสูง เมื่อนำสารไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์หรือครีมที่ส่วนผสมของสารนี้มาใช้กับผิวหนัง เพื่อหวังให้ผิวขาว สารนี้จะไปกัดผิวชั้นนอกออก จึงทำให้ผิวดูขาวขึ้นจริง แต่จะขาวได้ในระดับหนึ่งเท่านั้น และหากใช้ตั้งแต่อายุยังน้อยและใช้บ่อยๆ จะทำให้ผิวหนังซึ่งเป็นเกราะป้องกันโดยธรรมชาติเสื่อมหรือบางลง เมื่อทาครีมหรือสารชนิดอื่นที่ผิวหนังก็จะเกิดการซึมซับของสารได้ง่ายกว่า ปกติ ทำให้เกิดอาการแพ้ระคายเคืองได้ง่ายขึ้น
    
         ประการสำคัญ ผิวหนังที่ผ่านการใช้สารกัดผิวมาแล้วจะมีความทนทานต่อแสงแดดน้อยลง เนื่องจากสารเม็ดสีในผิวหนังที่เรียกว่าสารเมลานิน (Melanin) จะโดนฟอกออกไปด้วย ทำให้สารเม็ดสีน้อยลง หากใช้เป็นเวลานานจะเกิดอาการผิวแพ้ง่าย เมื่อโดนแสงแดด เหงื่อออกหรืออยู่ในที่ร้อน ๆ ผิวหนังจะตึงและมีอาการแสบ คัน หากโดนแสงแดดซ้ำบ่อยๆ อาจทำให้เกิดรอยเหี่ยวย่นที่ผิวก่อนวัยอันควรได้ง่ายขึ้น ที่สำคัญเซลล์ผิวหนังที่มีเม็ดสีน้อย เมื่อโดนแสงแดดมากๆ หรือเป็นเวลานานๆ จะถูกทำลายลึกไปถึงระดับโมเลกุลและระดับดีเอ็นเอด้วย จะเกิดการเปลี่ยนแปลง เกิดเป็นตุ่ม เป็นเม็ดแข็ง เป็นเนื้องอกผิวหนัง มีแนวโน้มที่จะเป็นมะเร็งผิวหนังได้มากกว่าผิวธรรมดา

         นพ.จิโรจ กล่าวว่า อยากจะทำความเข้าใจกับวัยรุ่นว่าผิวคนเรานั้นเกิดจากพันธุกรรม สายพันธุ์แตกต่างกันไป ซึ่งผิวทุกสีทุกลักษณะจะดูดีในแบบของตัวเอง บางคนที่ผิวเข้มก็สามารถทำให้ผิวเนียน สวย ดูดีได้ ซึ่งมีหลายวิธี เช่น การอาบน้ำทำความสะอาดร่างกายสม่ำเสมอ รับประทานอาหารที่มีโปรตีน เช่น เนื้อสัตว์ คาร์โบไฮเดรต วิตามินอีและวิตามินซี หรืออาหารที่มีแอนตี้ออกซิแดนต์ เช่น ผักผลไม้ที่มีสีเหลือง เช่น ฟักทอง แครอต เพื่อดักของเสียออกจากร่างกายหรือผิวหนัง ทาครีมให้ความชุ่มชื้นแก่ผิวหลังอาบน้ำเช้า เย็น หรือทาบ่อยๆ เท่าที่ต้องการ และควรหลีกเลี่ยงแสงแดด

         นอกจากนั้น เรื่องของจิตใจ เช่น ความเครียด การนอนดึก จะกระตุ้นให้ต่อมใต้สมองมีการกระตุ้นการสร้างสารเมลานินมากขึ้น ทำให้ผิวหมองคล้ำ จึงควรทำจิตใจให้ผ่องใส พักผ่อนให้เพียงพอ และออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ



http://health.kapook.com/view20867.html

ขอขอบคุณข้อมูลจาก

คนไทยป่วยอัมพาตดับวันละ 37 คน-เปิดคัมภีร์เช็คเสี่ยงโรค



ผู้สูงอายุ


สธ.เปิดตัว "คัมภีร์ผู้สูงอายุ" เช็คความเสี่ยงป่วยโรคอัมพาตในผู้สูงอายุ ครั้งแรกในโลก เผยขณะนี้ไทยมียอดเสียชีวิตจากอัมพาตวันละ 37 คน (กระทรวงสาธารณสุข)

           รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข เผยคนไทยเสียชีวิตจากโรคอัมพาตปีละกว่า 13,000 คน เฉลี่ย วันละ 37 คน มีแนวโน้มสูงขึ้นในผู้สูงอายุ พร้อมเปิดตัว "คัมภีร์ผู้สูงอายุ" นวัตกรรมแรกของโลก ใช้ตรวจสอบหาความเสี่ยงป่วยจากโรคอัมพาต เพื่อให้ผู้สูงอายุมีสุขภาพดี ไม่ล้มป่วยเป็นอัมพาตในบั้นปลายชีวิต      

           วันนี้ (19 มกราคม 2554) ดร.พรรณสิริ กุลนาถศิริ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข กล่าวภายหลังเป็นประธานเปิดกิจกรรมรณรงค์สร้างกระแสป้องกันควบคุมโรคหลอด เลือดสมอง หรือที่ชาวบ้านเรียกกันว่า โรคอัมพาต ในกลุ่มผู้สูงอายุ ที่ลานคนเมือง ศาลาว่าการกรุงเทพมหานคร ว่า จากข้อมูลของสำนักงานสถิติแห่งชาติปี 2552 พบประเทศไทยมีผู้สูงอายุ 7,273,900 คน คิดเป็นร้อยละ 10.7 ของประชาชนทั้งประเทศ ในจำนวนนี้พบผู้ป่วยโรคความดันโลหิตถึงร้อยละ 32 เบาหวานร้อยละ 13 โรคหัวใจร้อยละ 7 โดยพบคนไทยเสียชีวิตจาก โรคอัมพาตปีละ 13,353 คน เฉลี่ยวันละ 37 คน หรือประมาณ 3 คน ทุก ๆ 2 ชั่วโมง และเป็นโรคที่มีอัตราการป่วยเพิ่มขึ้นในกลุ่มผู้สูงอายุ จึงต้องเร่งจัดการกับปัญหาดังกล่าว เพื่อรับมือกับการเป็นสังคมผู้สูงอายุของประเทศไทย และให้ผู้สูงอายุมีสุขภาพดี ไม่ป่วยเป็นอัมพาตในบั้นปลายชีวิต 

           ดร.พรรณสิริกล่าวต่อว่า ในการลดจำนวนการเจ็บป่วยและเสียชีวิตจากโรคอัมพาตในกลุ่มผู้สูงอายุ กระทรวงสาธารณสุขมีนโยบายเน้นที่การป้องกันให้รู้ปัญหาให้เร็วขึ้น เพื่อป้องกันก่อนเกิดโรค โดยในปีนี้กรมควบคุมโรคได้พัฒนาเครื่องมือตรวจหาความเสี่ยงโรคอัมพาต ที่เรียกว่า "คัมภีร์ผู้สูงอายุ" ซึ่งเป็นนวัตกรรมง่าย ๆ เป็นครั้งแรกในโลก

           เครื่อง มือนี้สามารถใช้ตรวจสอบหาปัจจัยเสี่ยงที่จะทำให้เกิดโรคอัมพาต ซึ่งมี 7 ปัจจัยด้วยตนเองได้ ได้แก่ ความดันโลหิตสูง ระดับโคเลสเตอรอล เป็นโรคเบาหวาน ญาติสายตรงเป็นอัมพาต สูบบุหรี่ น้ำหนักตัวเกิน และการออกกำลังกาย และมีการจัดระดับความเสี่ยงแบ่งเป็น 3 สี คือ สีแดง มีความเสี่ยงสูงต้องแก้ไข ป้องกัน สีเหลือง มีความเสี่ยงบ้าง ควรดูแลสุขภาพมากขึ้น และ สีเขียว มีความเสี่ยงต่ำ ให้ส่งเสริมการมีสุขภาพที่ดีต่อไป ในรอบแรกจะผลิตแจกให้ผู้สูงอายุที่เข้าร่วมงานจำนวน 500 อันก่อน จะมีการตรวจคัดกรองสุขภาพเบื้องต้น พร้อมให้คำปรึกษาแนะนำการดูแลสุขภาพของผู้สูงอายุอย่างเหมาะสมฟรี และจะผลิตแจกจ่ายไปที่โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล 9,750 แห่ง เพื่อนำไปใช้เป็นเครื่องมือในการป้องกันโรค ซึ่งสามารถใช้ตั้งแต่คนวัยทำงานและผู้สูงอายุได้       

           ทาง ด้านนายแพทย์ศิริศักดิ์ วรินทราวาท รองอธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวว่า โรคหลอดเลือดสมองหรือโรคอัมพาต เกิดจากสมองขาดเลือดไปเลี้ยง เนื่องมาจากหลอดเลือดที่ไปเลี้ยงสมองเกิดการตีบตันหรือแตก ทำให้สมองไม่สามารถควบคุมการทำงานของอวัยวะต่าง ๆ ได้ โรคอัมพาตมักเป็นโรคที่เกิดขึ้นปลายทาง หลังจากที่ป่วยจากโรคเรื้อรังมาเป็นเวลานาน ที่สำคัญ 2 โรคคือโรคความดันโลหิตสูง โรคเบาหวาน ทำให้หลอดเลือดแข็ง เปราะง่าย โดยเฉพาะในผู้สูงอายุซึ่งอยู่ในวัยที่อวัยวะต่าง ๆ เสื่อมถอย เป็นวัยที่เสี่ยงเกิดโรคเรื้อรังมากกว่าวัยอื่นอยู่แล้ว ฉะนั้นคัมภีร์ผู้สูงอายุ จะเป็นเครื่องมือชิ้นสำคัญที่ทำให้คนในวัยทำงาน และผู้สูงอายุสามารถควบคุม ป้องกันได้ ภายใต้แนวคิด "รู้เร็ว รู้ทัน ป้องกันอัมพฤกษ์ อัมพาต" และแก้ไขได้ทันถ่วงที


http://health.kapook.com/view20728.html
ขอขอบคุณข้อมูลจาก

ภาพประกอบไม่เกี่ยวข้องกับข้อมูล

หมอเตือนใช้ ครีมกัดผิว เสี่ยงมะเร็งผิวหนัง


ครีมกัดผิว


เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม
ภาพประกอบไม่เกี่ยวข้องกับข้อมูล

          วันนี้ (23 มกราคม) กระทรวงสาธารณสุข ออกโรงเตือนวัยรุ่นสาว ๆ โดยเฉพาะกลุ่มนักเรียนมัธยมต้นและสาวประเภทสอง หลังหันมานิยมใช้ "ครีมกัดผิว" เพื่อเปลี่ยนสีผิวให้ขาวกระจ่างใสทันใจ ชี้ใช้บ่อยอันตราย ทำให้ผิวบาง แพ้สารเคมีง่ายขึ้น และเกิดริ้วรอยเยือนเร็วก่อนวัย แถมอนาคตเสี่ยงเนื้องอก และเป็นมะเร็งผิวหนัง

          โดยนายแพทย์สุพรรณ ศรีธรรมมา โฆษกกระทรวงสาธารณสุข ระบุสังคมไทยกำลังนิยมการมีสีผิวขาวใส เพราะเชื่อว่าสามารถทำให้ดูดีขึ้น ดูสดใสเหมือนชาวเกาหลี จึงหันมาใช้ครีมเปลี่ยนสีผิว เนื่องจากมีราคาถูก หาซื้อง่ายได้ง่าย ที่สำคัญใช้แล้วเห็นผลเร็ว ทั้งที่จริง ๆ แล้ว ครีมเปลี่ยนสีผิวมีส่วนผสมของ สารไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์ (Hydrogenperoxide) ซึ่งสารนี้มีฤทธิ์กัดกร่อนระคายเคืองสูง อาจทำให้เกิดระคายเคือง แสบ คัน และเป็นผื่น

          ทั้งนี้ การนำสารไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์มาใช้กับผิวโดยตรง ถือว่าเป็นการนำมาใช้ผิดวัตถุประสงค์ เพราะไม่ได้มีข้อบ่งชี้กำหนดว่าให้ใช้สารนี้ในการฟอกสีผิว อาจทำให้ผิวดูขาวขึ้นจริง แต่จะขาวได้ในระดับหนึ่งเท่านั้น และหากใช้ตั้งแต่อายุยังน้อย ใช้บ่อย ๆ จะทำให้ผิวหนังบางลง เวลาทาครีมหรือสารชนิดอื่น จะเกิดการซึมซับของสารได้ง่ายกว่าปกติ อาจทำให้เกิดอาการแพ้ระคายเคืองได้ง่ายขึ้น

          ที่สำคัญผิวหนังที่ผ่านการใช้สารกัดผิว จะมีความทนทานต่อแสงแดดน้อยลง เนื่องจาก "เมลานิน" (Melanin) หรือสารเม็ดสีในผิวหนังโดนฟอกออกไปด้วย ทำให้สารเม็ดสีน้อยลง หากใช้เป็นเวลานานจะเกิดอาการผิวแพ้ง่าย เมื่อโดนแสงแดด เหงื่อออกหรืออยู่ในที่ร้อน ๆ ผิวหนังจะตึง และมีอาการแสบ คัน และเมื่อโดนแสงแดดมาก ๆ เวลานาน ๆ จะถูกทำลายลึกไปถึงระดับโมเลกุลและระดับดีเอ็นเอ จนเกิดเป็นตุ่ม เป็นเม็ดแข็ง เป็นเนื้องอกผิวหนัง และมีแนวโน้มที่จะเป็นมะเร็งผิวหนังได้มากกว่าผิวธรรมดา

http://health.kapook.com/view20855.html
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมจาก
     

แปรงสีฟันเก่า อันตราย!!!


แปรงสีฟัน


เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม

          รู้ไหมว่า แปรงสีฟันที่เราใช้กันอยู่ทุกวัน หากใช้ไปนาน ๆ ไม่ยอมเปลี่ยนสักที อันตรายถามหาแน่นอนค่ะ

          โดย เจมส์ ซอง นักชีววิทยาจากมหาวิทยาลัยวิสคอนซิล สหรัฐอเมริกา ได้ออกมาเตือนว่า แปรงสีฟันที่ใช้นานเกินไป อาจเป็นหนึ่งในวัตถุอันตรายของบ้านได้อย่างไม่น่าเชื่อ และยังทำให้เกิดปัญหาร้ายแรงต่อสุขภาพตามมา เพราะมันสามารถทำให้เกิดโรคหัวใจ หลอดเลือดสมอง โรคไขข้อ และการติดเชื้อเรื้อรัง ซึ่งมีสาเหตุเกี่ยวข้องกับการใช้แปรงสีฟันที่ไม่ถูกสุขอนามัยด้วย

          นั่น ก็เพราะแปรงสีฟันที่ใช้นาน ๆ แล้ว จะเป็นแหล่งสะสมของแบคทีเรียหลายชนิด และมันสามารถเข้าสู่กระแสเลือดของผู้ใช้ผ่านแผลที่เหงือกได้อย่างง่ายดาย นอกจากนี้ แบคทีเรียเหล่านี้ยังอาจเกี่ยวข้องกับการติดเชื้อต่าง ๆ รวมทั้งการอุดตันของเส้นเลือดด้วย

          สอดคล้องกับงานวิจัยของมหาวิทยาลัยแมนเชสเตอร์ ประเทศอังกฤษ ที่ระบุว่า พบเชื้อโรคนับสิบล้านตัวในแปรงสฟันทั่ว ๆ ไป และในจำนวนนี้เป็นเชื้อแบคทีเรียที่สามารถทำให้มนุษย์ถึงตายได้ด้วย เช่น สเตรปโตคอกคัส ฯลฯ ขณะที่สมาคมทันตแพทย์อังกฤษ ก็ออกมาเตือนด้วยว่า ความน่ากลัวจะยิ่งเพิ่มขึ้นไปอีก หากใช้แปรงสีฟันร่วมกับคนอื่น

          ขณะที่ ดร.ทาริก ไอดริส ผู้เชี่ยวชาญด้านทันตกรรมตกแต่งจากฮาร์เลย์ สตรีท ยังเสริมข้อมูลด้วยว่า เคยตรวจพบเชื้อไวรัสตับอักเสบเอ บี ซี ในแปรงสีฟัน แถม แปรงสีฟันที่เปียกชื้น ก็ยังเป็นแหล่งสะสมแบคทีเรียชั้นดีด้วย ดังนั้นจึงไม่น่าแปลกใจเลยที่จะบอกว่า "แปรงสีฟัน" คือวัตถุอันตรายในบ้าน และ อีก 10-15 ปีข้างหน้า เราอาจเห็นการฆ่าเชื้อแปรงสีฟันเป็นเรื่องปกติ หรือต่อไปเราอาจจะต้องเปลี่ยนไปใช้แปรงสีฟันแบบใช้แล้วทิ้งก็เป็นได้

          เห็น ข้อมูลดังนี้ หลายคนอาจกลัว เลยประชดไม่แปรงฟันเสียเลยดีไหม อย่างนี้ไม่ดีแน่ค่ะ เราจึงมีคำแนะนำในการทำความสะอาดแปรงสีฟันมาบอก ดังนี้

          เปลี่ยนแปรงสีฟันอย่างน้อยทุก ๆ 3 เดือน

          อย่าใช้แปรงสีฟันร่วมกับผู้อื่น

          ลองขอคำแนะนำในการใช้แปรง และแปรงฟันให้ถูกวิธี จากทันตแพทย์

          อย่าใช้แปรงที่มีขนแปรงแข็งเกินไป เพราะอาจทำให้เกิดแผลที่เหงือก และทำให้แบคทีเรียเข้าสู่กระแสเลือดได้ง่าย

          ถ้าเก็บแปรงสีฟันไว้ในห้องน้ำ ควรเก็บในปลอกให้เรียบร้อย ไม่ควรวางทิ้งไว้ หรือเสียบใส่ในแก้วน้ำเฉย ๆ

          ใช้น้ำร้อนทำความสะอาดฆ่าเชื้อโรคให้แปรงสีฟันบ้าง และน้ำร้อนยังทำให้ขนแปรงที่แข็งอ่อนนุ่มลงด้วย

http://health.kapook.com/view20713.html