เชื้อโรคร้าย ที่มาจากเครื่องใช้ IT


คอมพิวเตอร์


เชื้อโรคที่มาจากเครื่องใช้ IT (Modern Mom)
โดย: ผศ.นสพ.ดร.ศุภชัย เนื้อนวลสุวรรณ ภาควิชาสัตว์แพทยสาธารณสุข คณะสัตวแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

          การใช้ชีวิตในปัจจุบันของเรานั้นมีเครื่องอำนวยความสะดวกมากมาย โดยเฉพาะกลุ่มเครื่องใช้ IT อาทิ โน้ตบุ๊ก แล็ปท็อป คอมพิวเตอร์ ซึ่งส่วนประกอบของอุปกรณ์ทั้งคีย์บอร์ด และเม้าส์ ล้วนสัมผัสโดยตรงกับตัวผู้ใช้ แล้วอุปกรณ์เหล่านี้นี่เองที่เป็นประตูของเชื้อโรคสู่ร่างกาย

          หมอซุปเชื่อครับว่า ตั้งแต่เริ่มใช้อุปกรณ์เหล่านี้ คงนับคนได้เลยที่จะมีการทำความสะอาด หรือฆ่าเชื้อโรคหน้าสัมผัสของอุปกรณ์เหล่านี้ และจนถึงวาระสุดท้ายของเครื่องมือเหล่านี้ ไม่ว่าจะล้าสมัย หรือเสียหายคามือ ก็ยังไม่เคยได้ลิ้มรสความสะอาดเลย

          ประเด็นที่หมอซุปอยากจะกระตุ้นเตือนบรรดาผู้ใช้งานคือ ให้ระมัดระวังเรื่องความสะอาด รวมไปถึงการปนเปื้อนของเชื้อโรค ซึ่งการใช้มือ นิ้วมือแตะสัมผัสกับคีย์บอร์ด กุมเม้าส์ เพื่อสั่งงานคอมพิวเตอร์นั้นย่อมได้รับเชื้อโรค สำหรับอุปกรณ์ที่ใช้งานส่วนบุคคลก็อาจจะพอควบคุมความสะอาดได้บ้าง แต่อุปกรณ์ที่มีการใช้งานอย่างสาธารณะ โดยเฉพาะร้านอินเทอร์เน็ต จุดบริการอินเทอร์เน็ตที่สนามบิน โรงพยาบาล โรงแรม ฯลฯ ที่ไม่มีการจำกัดผู้ใช้งานต้องระมัดระวังครับ

เชื้อโรคแฝงจาก IT

          เชื้อโรคที่ควรให้ความระมัดระวัง ก็คงหนีไม่พ้น 2 กลุ่มใหญ่ คือ แบคทีเรียและไวรัส ซึ่งทั้ง 2 กลุ่มนี้ ก็ทำให้เจ็บป่วยได้อย่างรุนแรงไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากันเลยก็ว่าได้

          แบคทีเรีย ที่ปนเปื้อนมักจะทำให้เกิดอาการ ไข้ อาเจียน ปวดท้อง ถ่ายเหลวเป็นน้ำ บางกรณีอาจจะรุนแรงกระทั่งถ่ายเป็นมูกเลือดเลยทีเดียว นอกจากนี้แล้วอาการโรคอาหารเป็นพิษจากแบคทีเรียบางชนิด อาจจะทำให้เกิดอาการไตวายในเด็กได้ด้วย

          ไวรัส ที่ก่อโรค อาจจะแบ่งได้เป็นกลุ่มที่ทำให้เกิดโรคอาหารเป็นพิษต่อระบบทางเดินอาหาร เหมือนแบคทีเรีย ซึ่งพบว่าก่อโรคได้ทุกเพศ ทุกวัย และกลุ่มที่ก่อให้เกิดโรคตับอักเสบ อย่างที่หมอซุปเคยเล่าให้ฟังกรณีของการปนเปื้อนน้ำทะเลครับ

          ข้อ แนะนำ: เพื่อป้องกันการปนเปื้อนของเชื้อโรคในสถานการณ์ต่าง ๆ คือ การทำความสะอาด และฆ่าเชื้อโรคที่ผิวสัมผัสของคีย์บอร์ดและเม้าส์อย่างสม่ำเสมอ ก่อนการใช้งานอุปกรณ์เหล่านี้ ควรมีการล้างทำความสะอาดมือและนิ้วมือด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากการใช้ห้องน้ำด้วย เพื่อป้องกันเชื้อโรคที่อาจจะมาจากทางเดินอาหาร และปนเปื้อนไปสู่หน้าสัมผัสของอุปกรณ์ ซึ่งเท่ากับเป็นการวางยา (เชื้อโรคที่ปนเปื้อน) ไปสู่ผู้ใช้งานคนถัด ๆ ไป (หมายความว่า อาจจะมีเหยื่อมากกว่า 1 ราย)

          แม้ว่าเชื้อโรคส่วนมากจะไม่สามารถเจริญเติบโตบนผิวสัมผัสเหล่านี้ได้ แต่เชื้อโรคที่ปนเปื้อนอยู่อาจจะยังไม่ตาย เพียงแต่รอเวลาให้ผู้โชคร้ายรายต่อไป รับเอาเชื้อโรคเข้าสู่ทางเดินอาหาร แล้วก่อให้เกิดโรคต่อไป

          นอกจากนี้ให้อนุมานว่า อุปกรณ์ IT สาธารณะไม่สะอาด ดังนั้น ระหว่างการใช้งาน ไม่ควรใช้มือหรือนิ้วมือ นำอาหารเข้าปากเป็นอย่างยิ่ง และที่ลืมไม่ได้ คือ การล้างมือทำความสะอาดหลังการใช้งานอุปกรณ์ ITสาธารณะทุกชนิด ในทุกสถานที่ด้วยครับ


http://health.kapook.com/view20892.html
ขอขอบคุณข้อมูลจาก

สธ.เตือนร้านค้าอย่าใช้น้ำมันทอดซ้ำเกิน 2 ครั้ง




น้ำมัน


จุรินทร์เตือนร้านค้าอย่านำน้ำมันทอดซ้ำเกิน 2 ครั้งมาใช้ (กระทรวงสาธารณสุข)

          "จุ รินทร์" เตือนร้านค้าอย่านำน้ำมันทอดซ้ำเกิน 2 ครั้งมาใช้ เนื่องจากมีอันตราย เผยผลการตรวจในกรุงเทพฯ และปริมณฑล พบน้ำมันทอดซ้ำ ตกมาตรฐานร้อยละ 5 ชี้หากฝ่าฝืน มีโทษปรับ 5 หมื่นบาท ฐานจำหน่ายอาหารไม่ได้มาตรฐาน

          วันนี้ (26 มกราคม 2554) นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์เกี่ยวกับการนำน้ำมันทอดซ้ำมาใช้ว่า เนื่องจากขณะนี้น้ำมันปาล์มราคาสูงขึ้น ทำให้ผู้บริโภคเกรงว่า ผู้จำหน่ายอาหารจะนำน้ำมันที่ใช้ทอดอาหารแล้วไปใช้ทอดซ้ำหลายครั้ง จะเป็นอันตรายกับผู้บริโภค เพราะการนำ น้ำมันมาทอดซ้ำหลายครั้ง จะมีสารโพลาร์เป็นซึ่งเป็นสารที่เกิดขึ้นระหว่างการทอดอาหาร มีฤทธิ์ต่อการกลายพันธุ์ คือทำให้เซลล์ดีกลายเป็นเซลล์มะเร็งได้

          นายจุรินทร์กล่าวต่อว่า จากการสุ่มตรวจตัวอย่างน้ำมันที่ใช้ทอดอาหาร ในร้านขายอาหารในปี 2553 จำนวนทั้งหมด 4,397 ตัวอย่าง พบมีสารโพลาร์เกิน 294 ตัวอย่าง คิดเป็นร้อยละ 6.69 ของตัวอย่างที่ตรวจทั้งหมด ในช่วงวันที่ 1–14 มกราคม 2554 ได้ตรวจน้ำมันทอดซ้ำในเขตพื้นที่กรุงเทพและปริมณฑล 494 ตัวอย่าง พบน้ำมันทอดซ้ำไม่ได้มาตรฐานร้อยละ 5.06 เช่น น้ำมันทอดลูกชิ้น จากตรวจ 58 ตัวอย่าง พบตกมาตรฐาน 3 ตัวอย่าง คิดเป็นร้อยละ 5.18 น้ำมันทอดไก่ ตรวจ 108 ตัวอย่าง ตกมาตรฐาน 5 ตัวอย่างคิดเป็นร้อยละ 4.63 น้ำมันทอดปลา ตรวจ 41 ตัวอย่าง พบตกมาตรฐาน 1 ตัวอย่าง คิดเป็นร้อยละ 2.44 เป็นต้น

          นายจุรินทร์กล่าวต่อไปอีกว่า ผู้ที่จำหน่ายอาหาร ถ้าใช้น้ำมันทอดซ้ำเกิน 2 ครั้ง มีสารโพลาร์เกินมาตรฐาน จะมีความผิดฐานจำหน่ายอาหารไม่ได้มาตรฐาน มีโทษปรับไม่เกิน 50,000 บาท โดยมาตรฐานน้ำมันทอดซ้ำ จะมีสารโพลาร์ได้ไม่เกินร้อยละ 25 ต่อน้ำหนักน้ำมันที่ใช้ ซึ่งที่ผ่านมาหากพบทำผิดครั้งแรกจะทำการตักเตือน แต่หากพบทำผิดซ้ำจะดำเนินการปรับทันที

          สำหรับการนำน้ำมันมาใช้ทอดอาหารซ้ำ ไม่ควรใช้เกิน 2 ครั้ง หลังจากใช้ทอดครั้งแรกแล้วจะต้องกรองกากทิ้งก่อน จึงจะสามารถนำน้ำมันมาใช้ทอดครั้งที่ 2 ได้ และควรทิ้งทันที เพราะจะมีสารโพลาร์สูงเกินมาตรฐาน เป็นอันตรายต่อสุขภาพ

          "อาหารประเภททอด ถ้าไม่จำเป็นอย่าใช้น้ำมันสัตว์ เช่น น้ำมันหมู น้ำมันวัว เนื่องจากมีโคเลสเตอรอลสูงมาก สำหรับอาหารประเภทผัด ควรใช้น้ำมันรำข้าว น้ำมันถั่วเหลือง น้ำมันมะกอก น้ำมันข้าวโพด หรือน้ำมันดอกคำฝอยได้" นายจุรินทร์กล่าว



http://health.kapook.com/view20966.html
ขอขอบคุณข้อมูลจาก

เตือนดื่มกาแฟสด เสี่ยงเบาหวาน-โรคอ้วน


กาแฟ

เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม

          แพทย์ เตือนดื่มกาแฟสดเสี่ยงโรคอ้วน เบาหวาน พร้อมเตือนเครื่องดื่ม-อาหารเสริม ที่โฆษณาว่า มีกรดอะมิโอแอคซิส ไม่ได้ช่วยบำรุงสมองและร่างกายดังที่อ้าง

          นพ.สง่า ดามาพงษ์ ที่ปรึกษาสมาคมโภชนาการแห่งประเทศไทย กล่าวว่า ปัจจุบันมีผู้นิยมดื่มกาแฟสดมากขึ้น แต่จากผลวิจัยของสมาคมโภชนาการแห่งประเทศไทย พบว่า กาแฟ สดมีแคลอรีสูงมาก โดยการดื่มกาแฟสด 1 แก้ว จะให้พลังงานสูงเท่ากับการทานข้าวมากถึง 7 ทัพพี และถ้าหากผู้ดื่มเติมน้ำตาล หรือครีมเพิ่มเข้าไปอีก ก็ยิ่งเพิ่มความเสี่ยงในการเป็นโรคเบาหวาน และโรคอ้วนมากขึ้นไปด้วย

          ทั้งนี้ นพ.สง่า กล่าวด้วยว่า นอกจากกาแฟสดแล้ว ปัจจุบันคนยังนิยมทานอาหารเสริม และเครื่องดื่มที่อ้างว่า มีส่วนประกอบของโปรตีน หรือกรดอะมิโอแอคซิส ซึ่งโฆษณาว่า มีสรรพคุณบำรุงร่างกาย เสริมสร้างการทำงานของสมองและระบบประสาท แต่ ในความเป็นจริงแล้ว กรดอะมิโนแอซิสจะทำงานได้ดีนั้น ต้องประกอบไปด้วยส่วนประกอบอีกกว่า 20 ชนิด ดังนั้น เครื่องดื่มหรืออาหารเสริมที่อ้างในโฆษณา จึงไม่มีประสิทธิภาพเพียงพอที่จะบำรุงร่างกายและสมองดังที่กล่างอ้าง ซึ่งถ้าหากต้องการเสริมสร้างการทำงานของร่างกาย ควรรับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่จะดีที่สุด




http://health.kapook.com/view21166.html
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมจาก

วิจัยชี้ เช้าวันอังคาร คนทำงานเครียดที่สุด






เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม

          แม้ว่าวันจันทร์จะเป็นวันเริ่มต้นของการทำงาน ที่มีอะไรรอให้คนวัยทำงานอย่างเรา ๆ ต้องสะสางอีกมากมาย แต่ใครจะเชื่อบ้างว่า วันที่เครียดที่สุดสำหรับคนวัยทำงาน ไม่ใช่วันแรกของการทำงานอย่างวันจันทร์หรอกค่ะ แต่มันคือ วันอังคารต่างหาก

          เว็บไซต์เดลิเมล์ ของอังกฤษ รายงานว่า ทีมนักวิจัยชาวอังกฤษชี้ คนวัยทำงานมักจะตกอยู่ในภาวะเครียดมากที่สุดในช่วงเช้าของวันอังคาร โดยเฉพาะในช่วงเวลาประมาณ 10 โมงเช้า โดยงานวิจัยระบุว่า ในวันทำงานวันแรกของสัปดาห์อย่างวันจันทร์ คนวัยทำงานมักจะใช้ความสนใจกับการพูดคุย แลกเปลี่ยนเรื่องราวสนุกสนานที่พบเจอมาในช่วงวันหยุด หรือพูดคุยเกี่ยวกับรายการทีวี ภาพยนตร์ที่ไปดูมา มากกว่าจะเร่งเครื่องเดินหน้าสะสางงานที่กองอยู่ตรงหน้า บรรยากาศการทำงานในวันจันทร์จึงเหมือนเป็นการเตรียมพร้อมโหมงานหนัก และวางแผนการทำงานในสัปดาห์เสียมากกว่า

          ส่วน วันอังคารนั้น ถือเป็นวันที่ได้ลงมือทำอย่างแท้จริง และคนวัยทำงานส่วนใหญ่ก็มักจะให้ความสนใจกับงานที่อยู่ตรงหน้า อีกทั้งยังต้องเริ่มเดินเครื่องทำงานต่าง ๆ ที่ได้รับมอบหมายมาอย่างจริงจัง และก็ยังมีความกังวลและความกดดันอีกมากมาย เกี่ยวกับงานที่ทำว่าจะเสร็จทันเวลาหรือไม่ บางคนก็ต้องให้ความสนใจอย่างละเอียดกับอีเมล์งานที่ส่งมาตั้งแต่ต้นสัปดาห์ หลังจากที่ได้อ่านมันผ่าน ๆ ไปบ้างแล้วในวันจันทร์ และงานต่าง ๆ ก็เริ่มกองทับถมกันให้สะสางภายในเวลาที่เหลืออยู่เพียงแค่ 4 วันเท่านั้น ดังนั้น บรรยากาศการทำงานในเช้าวันอังคารที่ทุกคนต้องเอาจริงเอาจังกับงาน ก็เลยดูเหมือนจะเงียบเชียบ และเคร่งเครียดมากกว่าทุกวัน เพราะพนักงานมักจะจับจ้องอยู่กับงานบนโต๊ะทำงานของตัวเอง มากกว่าจะนั่งผ่อนคลายอารมณ์และเตรียมพร้อมเล็ก ๆ น้อย ๆ เหมือนกับเช้าวันจันทร์

          นอกจากนี้ ผลการวิจัยยังแสดงให้เห็นว่า 3 ใน 4 ของพนักงานบริษัทในอังกฤษ จะเผชิญกับภาวะเคร่งเครียดที่สุด ตั้งแต่เริ่มทำงานตอนเช้าไปจนถึงเวลาประมาณ 11.15 น. ของทุกวันทำงาน ขณะที่ 1 ใน 5 ของพนักงานบริษัทจะรู้สึกเครียดที่สุดในช่วงก่อน 09.00 น. ส่วนสาขาอาชีพที่พบกับความเครียดมากที่สุด ได้แก่ งานการตลาด การขาย และการเมืองท้องถิ่น

          อย่างไรก็ดี แม้ว่าคนทำงานจะต้องเผชิญกับช่วงเวลาที่เครียดที่สุดในวันอังคาร แต่ก็ไม่ได้หมายความว่า ทุกวันอังคารจะเป็นวันที่เลวร้ายที่สุดสำหรับวัยทำงานอย่างเรา ๆ เลยแม้แต่น้อย หากเราเตรียมตัวรับมือกับมัน ด้วยการทำจิตใจให้แจ่มใส เตรียมพร้อมสู่การโหมงานหนักในวันนี้ ไม่ว่าจะด้วยการออกกำลังกายในตอนเช้า ทำสมาธิให้สมองปลอดโปร่ง หรือฟังเพลงเบา ๆ ให้อารมณ์ดี เพียงแค่นี้ก็อาจจะเปลี่ยนเช้าวันอังคารที่เครียดที่สุดให้กลายเป็นเช้าวัน ธรรมดาวันหนึ่งก็เป็นได้

http://health.kapook.com/view21106.html

เตรียมอาหารปลอดภัยรับตรุษจีน



วันตรุษจีน เทศกาลตรุษจีน


เตรียมอาหารปลอดภัยรับตรุษจีน (สสส.)
เรื่องโดย : ณัฏฐ์ ตุ้มภู่

          "ซิ นเจียยู่อี่ ซินนี้ฮวดไช้" ประโยคคุ้นหูที่เรามักได้ยินในช่วง "เทศกาลตรุษจีน" วันสำคัญของพี่น้องชาวไทยเชื้อสายจีน ที่เป็นเสมือนวันขึ้นปีใหม่ของจีนนั่นเอง โดยปีนี้ตรงกับวันที่ 3 กุมภาพันธ์ 2554 โดยจะมีพิธีกรรมเซ่นไหว้บรรพบุรุษผู้ที่ล่วงลับไปแล้ว ด้วยอาหารคาวหวานนานับชนิด และหลังจากไหว้บรรพบุรุษแล้ว อาหารเหล่านั้นก็จะถูกรับประทานกันในเครือญาติ ดังนั้นการคัดเลือกวัตถุดิบในการปรุงอาหารจึงเป็นสิ่งสำคัญ

          เกี่ยวกับเรื่องนี้ นายสง่า ดามาพงศ์ ผู้จัดการโภชนาการสมวัย สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ได้กล่าวกับเราว่า ใน ช่วงเทศกาลตรุษจีน หลายบ้านจะมีการไหว้บรรพบุรุษ ด้วยอาหารคาวหวาน ผัก-ผลไม้มากมาย แต่พึงระวังไว้สักนิดว่าอาหารที่นำมาปรุงนั้น ถูกหลักโภชนาการและปลอดภัยหรือไม่ เพราะอาหารเหล่านั้นอาจมีทั้งยาฆ่าแมลง และสารเคมีอื่น ๆ ที่ปนเปื้อน ถ้าเข้าสู่ร่างกายเราคงเป็นเรื่องที่ไม่ดีเป็นแน่

          "ในการไหว้บรรพบุรุษนั้น ส่วนใหญ่ก็จะใช้ผักไม่กี่ชนิด ซึ่งเราก็มีวิธีการในเลือกผักให้ปลอดภัย โดยดูที่ใบ ต้องไม่มีคราบดินหรือคราบขาวของสารพิษกำจัดศัตรูพืช หรือเชื้อราตามใบ และผักก็ควรมีรูพรุนเป็นรอยกัดแทะของหนอนแมลงอยู่บ้างเล็กน้อย เพราะผักลักษณะเช่นนี้จะมีคุณค่าทางโภชนาการเหลืออยู่มาก และถ้าเป็นไปได้ควรเลือกซื้อผักที่ปลอดสารพิษ หรือพวกผักเกษตรอินทรีย์น่าจะดีที่สุด" อ.สง่ากล่าว

          ส่วนในขั้นตอนก่อนการปรุงนั้น เราควรล้างผักด้วยน้ำสะอาด 2- 3 ครั้ง และควรแยกผักใบและผักหัวออกจากกันเวลาล้าง โดยผักหัวควรล้างด้วยน้ำเกลือประมาณ 5-7 นาที แล้วล้างด้วยน้ำสะอาดอีกครั้ง เพื่อล้างยาฆ่าแมลงที่สะสมอยู่ด้านในออกบางส่วน เพราะความร้อนไม่สามารถล้างยาฆ่าแมลงออกได้ เมื่อเรารับประทานเข้าไป จะเกิดการสะสมและอาจก่อให้เกิดโรคมะเร็ง และอาหารเป็นพิษตามมาได้

          "ผัก ประเภทหัวก็เช่นกัน อย่างกะหล่ำปี ก็ควรเอาเปลือกข้างนอกออก และพยายามล้างให้ถึงแกนด้านใน เพราะยาฆ่าแมลงจะตกค้างอยู่ภายใน รวมถึงแตงกวา ถั่ว ก็ควรแช่น้ำเกลือ หรือไม่ก็ใช้ด่างทับทิมล้างก่อน แล้วจึงล้างด้วยน้ำสะอาดอีกรอบ ที่สำคัญผักทุกชนิดเราควรล้างก่อนที่จะนำมาหั่น เพื่อไม่ใช้น้ำชะล้างคุณค่าทางโภชนาการออกหมด"

วันตรุษจีน เทศกาลตรุษจีน

          ในส่วนของวิธีการ ปรุงนั้น ผักทุกชนิดเราไม่ควรต้มจนเละ เพราะนั่นจะทำให้ผักที่เรารับประทานเข้าไปมีคุณค่าทางโภชนาการน้อย รับประทานสด ๆ น่าจะดีที่สุด

          ผลไม้ก็เช่นกัน ควรเลือกร้านที่เราไว้ใจได้ ผลมันต้องสด ๆ และเลือกผลที่ไม่ช้ำ บางรายคัดแต่ลูกใหญ่ ๆ เพราะคิดว่าจะได้คุณค่าทางโชนาการมากกว่าลูกเล็ก ๆ ซึ่งความเป็นจริงแล้วก็ได้คุณค่าในปริมาณที่เท่ากันทั้งหมด

          "ผลไม้ที่ประชาชนใช้ไหว้บรรพบุรุษนั้น ส่วนใหญ่จะเป็นส้ม แก้วมังกร แอปเปิ้ล หรือส้มโอ ซึ่งก็ควรเลือกแบบสด ๆ ผลไม่มีรอยช้ำ และควรล้างก่อนรับประทาน เพราะยาฆ่าแมลงมักจะสะสมอยู่บริเวณผิวเปลือก เมื่อเราใช้มือแกะส้ม ยาฆ่าแมลงนั่นก็จะมาติดที่มือเรา และเราก็หยิบเข้าปากรับประทาน ซึ่งนั่นอันตรายมาก" อ.สง่า กล่าว

          ที นี้มาถึงคราวของคาวอย่างการเลือกเนื้อสัตว์ เช่น เนื้อไก่ เราควรเลือกที่เนื้อไม่ซีด ไม่เหี่ยว เปลือกตาสด เนื้อต้องไม่มีรอยเลือดที่แห้งกรัง กลิ่นต้องไม่เหม็นเน่า เนื้อหมู ก็ต้องสีแดงสด แต่พึงระวัง เพราะปัจจุบันพ่อค้าแม่ค้ามักใช้ไฟสีแดงในการหลอกผู้บริโภคว่า หมูนั้นเนื้อแดง อีกทั้งเราควรเลือกร้านที่เราไว้ใจได้และซื้อประจำ เพราะจากการออกสำรวจของกระทรวงสาธารณสุข ยังคงพบร้านที่ใช้สารเร่งเนื้อ แดงอยู่จำนวนมาก และใช้นิ้วกดเนื้อหมูลงไป ถ้าเนื้อหมูบุ๋มลงไปโดยไม่กลับคืนมา แสดงว่าเนื้อหมูนั้นเก่าไม่ควรซื้อ ที่สำคัญอย่าเลือกหมูที่ติดมันมากนักเพราะการบริโภคมันหมูมาก ๆ ไม่เป็นผลดีอย่างแน่นอน

          "ใน ส่วนของการปรุงเนื้อสัตว์ทุกชนิดให้เน้นที่ปรุงให้สุกไว้ก่อน ถ้าจำเป็นต้องมีหมู 3 ชั้นในการประกอบอาหารก็ควรเจียวมันให้ออกไปบ้าง เพราะหากบริโภคมาก ๆ จะส่งผลให้แคลอรี่ในร่างกายเพิ่มก่อให้เกิดภาวะความดันโลหิตสูงได้" อ.สง่า บอก

          นอกจากนี้ ในระหว่างที่ประกอบพิธีไหว้บรรพบุรุษนั้น บางบ้านก็ปล่อยของไหว้ทิ้งไว้โดยไม่มีอะไรปิดให้มิดชิด หรือวางกับพื้น ทำให้มีแมลงวันตัวพาหะนำเชื้อโรคมาตอม และเราก็นำมารับประทานกันโดยไม่รู้ จึงอยากขอเตือนให้มีการอุ่นหรือปรุงใหม่ก่อนนำมารับประทาน เพราะนั่นเสี่ยงต่อโรคทางเดินอาหาร และโรคอุจจาระร่วงได้เช่นกัน

          อ.สง่า ทิ้งท้ายไว้ว่า อาหารที่ใช้ไหว้บรรพบุรุษส่วนใหญ่จะเป็นแบบผัด ๆ ทอด ๆ ก่อนรับประทานจงพึงระวังสักนิด เพราะอาจทำให้คุณเข้าสู่ภาวะโรคอ้วนได้ ทางที่ดีควรหันมารับประทาน อาหารประเภทต้มน่าจะดีกว่า เช่น ต้มจับฉ่าย เป็นต้น อีกทั้งอาหารที่ใช้ไหว้ส่วนใหญ่ จะเน้นไปในทางรสชาติเค็มเราก็ควรหลีกเลี่ยง เพราะรสเค็มจะทำให้เลือดข้น ก่อให้เกิดภาวะความดันโลหิตสูง ซึ่งเป็นอันตรายต่อสุขภาพเราได้ทั้งสิ้น...

          ถึงแม้เทศกาลตรุษจีนจะเป็นเพียงช่วงเวลาสั้น ๆ แต่เราก็ควรจะใส่ใจสุขภาพของตนเองอยู่ทุกเวลา เพราะการมีสุขภาพดีไม่มีขาย ถ้าอยากได้เราต้องทำเอง...



http://health.kapook.com/view21160.html
ขอขอบคุณข้อมูลจาก