"มิลค์โจ๊ก" โจ๊กฮ่องกง โจ๊กใส่นม รสกลมกล่อม

บรรยากาศนั่งสบายๆ ภายในร้านมิลค์โจ๊ก
       Got MilkJook Today? "วันนี้คุณกินโจ๊กหรือยัง?"
      
       ประโยคทักทายสั้นๆ ที่ติดอยู่ตรงกระจกหน้าร้าน "มิลค์โจ๊ก" (Milk Jook : คำว่า Jook คือคำว่าจ๊กที่คนกวางตุ้งใช้เรียกโจ๊ก) ที่ "ตระเวนกิน" ได้ เดินทางมากินโจ๊กในมื้อนี้ เหตุผลที่เราเลือกมากินเมนูโจ๊กที่ร้านนี้ก็เพราะว่า ที่นี่มีโจ๊กสไตล์ฮ่องกงแท้ๆบริการ แถมยังมีโจ๊กแบบพิเศษที่ไม่มีร้านไหนเหมือน เพราะปกติโจ๊กของร้านทั่วๆ ไปจะเป็นโจ๊กที่เป็นอาหารคาวร้อนๆ แต่ว่าที่ร้านมิลค์โจ๊กนี้มีโจ๊กที่เป็นของหวานบริการด้วย ถือว่าเป็นอะไรที่แปลกใหม่และน่าสนใจชวนให้มาลิ้มลองกัน
อิ่มกับโจ๊กฮ่องกงที่ร้านมิลค์โจ๊ก
       ความพิเศษของโจ๊กที่ดูเหมือนจะเป็นเมนูธรรมดากลับมีจุดเด่นที่น่าสนใจขึ้นมาได้นั้น คุณหยก วรรณวนัช ฤกษ์ลัภนะนนท์ เจ้าของร้านได้บอกให้ฟังว่า โจ๊กของที่นี่เป็นสูตรสไตล์ฮ่องกงแท้ๆ ที่ทางคุณพ่อศักดิ์ ฤกษ์ลัภนะนนท์ ได้ทำการคิดค้นและปรุงแต่งรสชาติโจ๊กขึ้นมาเอง โดยยึดถือเอาวลีเด็ดของการปรุงโจ๊กสไตล์ฮ่องกงที่ว่า "ในโจ๊กมีน้ำ ในน้ำมีโจ๊ก" ทำให้โจ๊กของที่นี่เลิศรสเป็นหนึ่งเดียวของน้ำและเนื้อโจ๊ก ซึ่งเป็นเคล็ดลับที่ถ่ายทอดกันมาจากรุ่นสู่รุ่น และที่นี่ยังคำนึงถึงเรื่องของการกินโจ๊กแล้วได้สุขภาพที่ดีเป็นหลัก โจ๊กของที่นี่จึงปรุงโดยไม่ใส่ผงชูรส และเน้นคัดเลือกสรรแต่วัตถุดิบที่มีคุณภาพมาปรุงโจ๊ก
โจ๊กไข่เยี่ยวม้าหอยเชลล์แห้งกุ้ง
       สำหรับโจ๊กสไตล์ฮ่องกงที่เป็นเมนูของคาวมีให้เลือกอิ่มอยู่ 2 แบบด้วยกัน อย่างแรกเป็นเมนูโจ๊กตัวเด่นชูโรงที่ขายดีคือ โจ๊กกวางตุ้ง แบบสูตรกวางตุ้งแท้ๆ ที่ทางร้านเลือกใช้ข้าวหอมมะลิเกรดเอเต็มเมล็ด นำมาต้มกับหอยนางรมแห้ง และหอยเชลล์แห้ง (กังป๋วย) ที่ใส่ลงไปเคี่ยวรวมกันนานกว่า 4 ชม. จนได้เนื้อโจ๊กที่เนียนละเอียดข้นไม่เหลวและสีออกเข้มนิดหน่อย ส่งกลิ่นหอมของหอยนางรมอ่อนๆขึ้นจมูก และมีรสชาติหวานของหอยนางรมแห้ง และหอยเชลล์แห้งอยู่ในตัวเนื้อโจ๊กด้วย
      
       โจ๊กกวางตุ้งมีให้เลือกสั่งมากินหลายเมนู มีโจ๊กกวางตุ้งหมู (80 บาท) ที่ใส่หมูสับปรุงรสชาติมาแล้ว เคี้ยวหมูสับเนื้อนุ่มได้รสชาติ เข้ากันกับโจ๊กเนื้อเนียนนุ่มร้อนๆ โจ๊กกวางตุ้งกุ้ง (120 บาท) ใส่กุ้งทะเลตัวใหญ่เนื้อนุ่มหวานกินเข้ากันกับโจ๊ก โจ๊กกวางตุ้งปลาเก๋า (120 บาท) คัดแต่เนื้อปลาเก๋าสดๆ นำมาลวก เนื้อปลานิ่มหวานกลมกลึงรสชาติเข้ากับโจ๊กเนียนนุ่ม และมีโจ๊กกวางตุ้งหมู+กุ้ง+ปลาเก๋า (150 บาท) โจ๊กกวางตุ้งกุ้ง+หมู (120 บาท) โจ๊กกวางตุ้งปลาเก๋า+หมู (120 บาท) ซึ่งการกินโจ๊กกวางตุ้งที่มีหอยนางรมแห้งจะช่วยปรับธาตุไฟในร่างกายให้เกิด ความสมดุล มีประโยชน์ต่อผู้ที่นอนดึก หรือมีอาการเหงือกบวม
โจ๊กกวางตุ้งหมู กุ้ง ปลาเก๋า
       ส่วนโจ๊กของคาวแบบที่ 2 ที่ทางร้านภูมิใจนำเสนอก็คือ โจ๊กไข่เยี่ยวม้าหอยเชล์แห้ง เป็นโจ๊กที่ทางร้านเลือกใช้ข้าวหอมมะลิเกรดเอเช่นกัน นำมาต้มเคี่ยวกับหอยเชลล์แห้งนานกว่า 4 ชม.จนได้โจ๊กไข่เยี่ยวม้าหอยเชลล์แห้งที่มีเนื้อโจ๊กเนียนนุ่มขาวข้น กินแล้วเนื้อโจ๊กละเอียดนุ่มเนียนเป็นเนื้อเดียวกันและได้รสชาติของหอยเชล์ แห้งที่เป็นเส้นๆ อยู่ในเนื้อโจ๊กด้วย อ้อ!! แล้วก็ยังมีไข่เยี่ยวม้าปลอดสารตะกั่วใส่มาด้วย
      
       โจ๊กไข่เยี่ยวม้าหอยเชลล์แห้งก็มีให้เลือกกินหลายเมนู อาทิ โจ๊กไข่เยี่ยวม้าหอยเชลล์แห้งหมู (80 บาท) โจ๊กไข่เยี่ยวม้าหอยเชลล์แห้งกุ้ง / กุ้ง+หมู (120 บาท) โจ๊กไข่เยี่ยวม้าหอยเชลล์แห้งปลาเก๋า / ปลาเก๋า+หมู (120 บาท) โจ๊กไข่เยี่ยวม้าหอยเชลล์แห้งหมู +กุ้ง+ปลาเก๋า (150 บาท) นอกจากนี้ยังมีโจ๊กเป๋าฮื้อ (500 บาท) โจ๊กใส่ไข่เพิ่ม (10 บาท) และมีปาท่องโก๋ (15 บาท) ให้สั่งมากินคู่กับโจ๊กด้วย
โจ๊กนมสดแปะก๊วย
       และนั่นก็คือส่วนของโจ๊กของคาวที่ชวนกินไปแล้ว ทีนี้มาชิมโจ๊กที่เป็นของหวานกันบ้าง ซึ่งเป็นสูตรเฉพาะที่ทางร้านคิดค้นขึ้นมาเอง โดยการนำเอาข้าวหอมมะลิอย่างดีตัวเดียวกับที่ทำโจ๊กแบบคาว นำมาต้มเคี่ยวกับนมสด และน้ำตาลกรวด จนได้ออกมาเป็นเนื้อโจ๊กสีขาวๆ เนื้อเนียน และนำมาปรุงแต่งเป็นเมนูโจ๊กนมสดที่สามารถสั่งได้ทั้งแบบร้อนและแบบเย็น และสามารถราดไซรัปชอคโกแลต หรือสตรอเบอร์รี่ก็ได้ตามใจชอบ ซึ่งชวนให้สั่งมาลองลิ้มรสชาติกัน
      
       อย่างเมนูแรกเป็น โจ๊กนมสดแปะก๊วย (50 บาท) ตัวเนื้อโจ๊กสีขาวและใส่แปะก๊วยที่ทางร้านต้มเอง กินแล้วตัวเนื้อโจ๊กละเมียดเนียนรสชาติหวานกำลังดีลงตัวเข้ากันกับแปะก๊วย
โจ๊กนมสดอัลมอนด์ฟรุต
       เมนูที่สองเป็น โจ๊กนมสดอัลมอนด์ฟรุต (50 บาท) ก็คือโจ๊กนมสดที่โรยหน้ามาด้วยถั่วอัลมอนด์ ข้าวโพดแผ่น กล้วยกรอบ เชอร์รี่แห้ง สตรอเบอร์รี่ กินแล้วได้อารมณ์เหมือนกินโยเกริต์ฟรุตสลัดที่ไม่หวานมาก
      
       ส่วนเมนูที่สามคือ โจ๊กนมสดผลไม้ (50 บาท) เป็นโจ๊กนมสดและให้เราเลือกใส่ผลไม้ได้ 4 ชนิดจาก 10 ชนิดที่มี กินแล้วได้ทั้งรสชาติโจ๊กเนื้อเนียนนุ่มหวานผสานรสชาติเข้ากันกับผลไม้สดๆ
โจ๊กนมสดผลไม้ราดไซรัปชอคโกแลต
       และเมนูสุดท้าย โจ๊กแดง (50 บาท) เป็นข้าวเหนียวแดงที่นำมาเคี่ยวกับนมสด และน้ำตาลกรวด จนได้เนื้อโจ๊กสีแดงที่เนียนนุ่มเสิร์ฟพร้อมพุทราจีนและเก๋ากี้เชื่อม ชิมแล้วได้รสชาติข้าวเหนียวแดงที่มีกลิ่นหอมอ่อนๆ กินเข้ากันกับพุทราจีนและเก๋ากี้ที่ไม่หวานเลี่ยนจนเกินไป
      
       แล้วหากกินโจ๊กแล้วก็ควรสั่งเครื่องดื่มอย่างชาจีนมาดื่มล้างปากด้วย ชาจีนของ ที่นี่เป็นชาจีนอูหลงอย่างดีดื่มแล้วหอมสดชื่นเลือกได้จะเอาแบบร้อน หรือเย็น (แก้วละ 20 บาท) เติมได้แบบไม่อั้น เรียกว่าหากใครอยากกินโจ๊กไม่ว่าจะเป็นโจ๊กอาหารคาวหรือโจ๊กของหวานที่ดู แปลกชวนกินแล้วล่ะก็ ก็อยากชวนให้มาที่ร้าน “มิลค์โจ๊ก” แห่งนี้ จะได้อิ่มกับโจ๊กรสชาติเยี่ยม และเพื่อสุขภาพที่ดีกันด้วย
โจ๊กแดง
       * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * *
      
       "มิลค์โจ๊ก" (Milk Jook) ตั้งอยู่ที่รร. I Residence ชั้น 1 ถ.นราธิวาสราชนครินทร์ สีลม บางรัก กทม. การเดินทางนั่งรถไฟฟ้าบีทีเอสลงที่สถานีช่องนนทรี ออกทางออก 2 แล้วเดินมาที่รร. I Residence ตรงมาที่ชั้น 1 จะเห็นร้านมิลค์โจ๊กตั้งอยู่ด้านในขวามือ จุดสังเกตอยู่หลังร้านDaddy Dough เปิดทุกวัน 07.00-14.00 น. และ 16.00-21.00 น. โทร. 0-22345108 หรือเข้าไปดูรายละเอียดได้ที่ www.milkjook.com

เฮฮา ปาร์ตี้ ที่ "ร่มไม้ ชายคา"

บรรยากาศร้านร่มไม้ ชายคา
       "Merry Christmas" และ "Happy New Year"
      
       "ตระเวนกิน" ขอเอ่ยทักทายมิตรรักนักกินทุกคนด้วยประโยคนี้ เพื่อให้เข้ากับช่วงเวลาแห่งเทศกาลสุขสันต์ที่มาถึงนี้ แถมยังมาพร้อมกับของขวัญที่หมายมั่นตั้งใจนำมาให้แก่มิตรรักนักกินทุกคนด้วย ใจจริง นั่นก็คือการไปตระเวนหาร้านอาหารที่ชวนกิน มีบรรยากาศอันชวนนั่ง และชวนให้ไปปาร์ตี้สังสรรค์กันในช่วงเทศกาลแห่งความสุขนี้
ร้องเพลงคาราโอเกะสนุกสนาน
       สำหรับร้านอาหารที่เราขอนำมาเสนอก็คือร้าน "ร่มไม้ ชายคา" ที่ตั้งอยู่ตรงพุทธมณฑลสาย 2 เป็นร้านอาหารขนาดใหญ่ที่ให้บริการทั้งเรื่องอาหารอันเลิศรส และมีคาราโอเกะบริการ ให้กับผู้ที่รักและชื่นชอบในการร้องเพลงแบบมันๆ ได้สนุกสนานพร้อมกับอิ่มสำราญกับอาหารกันอย่างเต็มที่
บรรยากาศโต๊ะนั่งสบายๆ
       ด้วยบรรยากาศของร้านร่มไม้ ชายคา อันกว้างขวางนั้นได้ถูกจัดสรรแบ่งโซนพื้นที่นั่งในร้านออกเป็นสัดส่วนอย่าง ชัดเจน เมื่อเดินเข้ามาในร้านก็จะสัมผัสได้กับส่วนของพื้นที่โต๊ะนั่งที่ดูโปร่ง โล่งสบาย มีโต๊ะเก้าอี้สีขาวสะอาดตา ชวนให้นั่งรับลมเย็นๆ มีสระน้ำช่วยเพิ่มความสดชื่น แถมยังมีจอโปรเจ็คเตอร์ขนาดใหญ่อยู่ตรงกลางให้บริการความบันเทิง มีถ่ายทอดฟุตบอลสดให้ชม มีเพลงคาราโอเกะให้ได้ร้องอย่างสนุกสนาน และยังมีเวทีเล็กๆ ซึ่งจะมีนักดนตรีมาเล่นเพลงแนว Acoustic ให้ได้ฟังแบบเพลินๆ ในทุกวันตั้งแต่ 20.00 น. เป็นต้นไป แล้วด้านหลังก็ยังมีโซนโต๊ะนั่งแบบสบายๆ เหมาะแก่การมานั่งกินข้าวแบบครอบครัว
โต๊ะนั่งริมน้ำ
       ส่วนโซนคาราโอเกะก็มีอยู่ด้วยกันถึง 3 โซน มีโซนThe Blizz ที่มีห้องคาราโอเกะ 9 ห้อง ตกแต่งสไตล์สดใสด้วยแสงสีที่ไม่ซ้ำกัน และมีโต๊ะเป็นโซฟานั่งสบาย ถัดมาเป็นโซนสแตนดาร์ต มี 11 ห้อง ตกแต่งเป็นโต๊ะแบบนั่งกินอาหารสบายๆ อีกด้านเป็นโซนVIP มี 2 ห้อง คือ มีห้องMV เหมาะจัดปาร์ตี้เล็กๆ มีเวทีเล็กๆ และโต๊ะนั่งเป็นแบบโซฟาเล่นสีสันสดใส ส่วนอีกห้องชื่อว่า ห้องบุหงาสาหรี เป็นห้องขนาดใหญ่ตกแต่งแบบเรียบหรู เป็นโต๊ะจีน มีเวทีให้ด้วย ซึ่งในส่วนของคาราโอเกะของที่นี่นั้นเพียบพร้อมด้วยระบบเครื่องเสียงที่ทัน สมัย และมีแนวเพลงหลากหลายทั้งเพลงไทย และเพลงต่างชาติ ให้เลือกร้องอย่างมากมาย และอัพเดรตเพลงใหม่ๆ อยู่ตลอด
อิ่มกับอาหารและร้องคาราโอเกะที่ร้านร่มไม้ชายคา
       นี่แค่บรรยากาศก็น่าสนใจเป็นอย่างมากแล้ว ทีนี้เรามาดูในเรื่องอาหารของกันบ้าง ที่นี่บริการอาหารแบบหลากหลายมีทั้งอาหารไทย จีน ฝรั่ง และซีฟู้ดรวมแล้วกว่า 500 รายการ แต่ว่าจะเน้นอาหารไทยรสชาติจัดจ้านเป็นพิเศษ
ส้มตำปูไข่ดอง
       โดยมีเมนูจานเด่นๆ ขึ้นชื่อที่ขอแนะนำว่าถ้ามาแล้วไม่ควรพลาดสั่งมาลิ้มรสกันก็มีอยู่หลายเมนู อย่าง ส้มตำปูไข่ดอง (280 บาท) จานนี้เหมาะนักแก่การสั่งมาแกล้มกับเครื่องดื่มเย็นๆ เพราะได้รสชาติความจัดจ้านของส้มตำ และปูไข่ตัวใหญ่ที่เนื้อสดหวานไม่คาว ไข่ปูกินมันปาก
แซลมอนสะดุ้งกุ้งแช่
       ต่อเนื่องอารมณ์กับแกล้มด้วย แซลมอนสะดุ้งกุ้งแช่ (เล็ก 290 บาท ใหญ่ 580 บาท) มีแซลมอนเนื้อสีส้มสดสไลด์มาเป็นชิ้น และมีกุ้งแชบ๊วยสดๆ ไซส์ใหญ่แช่น้ำปลา มาพร้อมน้ำจิ้มซีฟู้ด และผักคะน้ากับแครอทแช่น้ำแข็ง ราดน้ำจิ้มลงบนกุ้งแช่น้ำปลามีกระเทียม ใบสะระแหน่ และมะระเป็นผักแกล้ม ราดด้วยน้ำจิ้มซีฟู้ด ส่งเข้าปากเคี้ยวเต็มปากเต็มคำกับกุ้งนุ่มหวานผสานรสชาติเข้ากับน้ำจิ้มซี ฟู้ดรสจัดจ้าน เปรี้ยว เผ็ดได้ใจ ส่วนแซลมอนก็เนื้อหวานนุ่มสดไม่แพ้กัน
กุ้งใหญ่นึ่งกระเทียมโทน
       จากนั้นมากินเมนูซีฟู้ดกันบ้าง อย่างกุ้งใหญ่นึ่งกระเทียมโทน (290 บาท) กุ้งก้ามกรามตัวใหญ่ๆ อบกับกระเทียมโทนและน้ำซอสสูตรพิเศษของทางร้าน ชิมกุ้งเนื้อแน่นหวานเข้ากันกับน้ำซอสรสเค็มๆ กลมกล่อมถูกปาก
ปลากะพงทอดน้ำปลา
       ตามด้วยเมนูปลากินดีเพื่อสุขภาพ ปลากะพงทอดน้ำปลา (280 บาท) เป็นปลากะพงสดๆ ตัวโตกว่า 1 กก. ผ่าครึ่งทอดจนเหลืองกรอบ แล้วราดด้วยน้ำปลาอย่างดี กินปลากะพงเนื้อนุ่มกรอบฟูซึมรสน้ำปลา และยังมีน้ำยำมะม่วงให้กินคู่เพิ่มรสชาติเปรี้ยว หวาน เผ็ด
ข้าวอบสับปะรด
       เมนูต่อมาเป็น ข้าวอบสับปะรด (220 บาท) มาในผลสับปะรดดูสวยงามชวนกินอิ่มท้อง ข้างในเป็นข้าวผัดสีเหลืองสวยจากผงกะหรี่ ใส่กุนเชียง ลูกเกด เบคอน ใส่เนื้อสับปะรดด้วย และโรยหน้าด้วยหมูหยองกับเม็ดมะม่วงหิมพานต์ ลิ้มรสข้าวอบสับปะรดรสดี ออกหวานนิดๆ และหอมกลิ่นผงกะหรี่อ่อนๆ
วอฟเฟิลสตรอเบอร์รี่
       นอกเหนือจากเมนูที่น่าลิ้มรสเหล่านี้แล้ว ก็ยังมีเมนูอื่นที่น่ากินไม่แพ้กัน อาทิ ปลาเก๋านึ่งซีอิ้ว (ไซด์ 9 ขีด – 1 กก. ขีดละ 95 บาท) ปูเนื้อผัดผงกะหรี่ (480 บาท) ต้มแซบเอ็นหมู (เล็ก 150 บาท ใหญ่ 250 บาท) แกงคั่วหอยขม (200 บาท) ฯลฯ รวมถึงยังมีเมนูของหวานที่ชวนให้สั่งมากินล้างปากด้วย อาทิ วอฟเฟิลสตรอเบอร์รี่ (108 บาท) เมษาฮาวาย (98 บาท) และยังมีเค้กโฮมเมดหลากหลายรสชาติให้ได้เลือกลิ้มรสชาติกัน
เมษาฮาวาย
       เห็นทีว่าหากใครกำลังมองหาสถานที่จัดปาร์ตี้สังสรรค์ กับครอบครัว หรือเพื่อนฝูงในช่วงเทศกาลแห่งความสุขนี้ "ตระเวนกิน" ว่าร้าน "ร่มไม้ ชายคา" แห่งนี้สามารถตอบสนองความต้องการได้ และก็ขออวยพรให้ทุกคนได้อิ่มหนำอย่างสำราญใจ สุขสันต์วันปีใหม่กันทั่วหน้าเอย
      
       * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * *
      
       "ร่มไม้ ชายคา" ตั้งอยู่ที่ 99/131 ซ.24,26 ถ.พุทธมณฑลสาย 2 แขวงศาลาธรรมสพน์ เขตทวีวัฒนา กรุงเทพฯ กทม. การเดินทางมาจาก ถ.ปิ่นเกล้า-นครชัยศรี วิ่งตรงมาจนถึงสาย 2 ให้เลี้ยวเข้า ถ.พุทธมณฑลสาย 2 ประมาณ 700 ม. แล้วเลี้ยวเข้าซอย 24 หรือ 26 ก็ได้ จะเห็นร้านร่มไม้ชายคาตั้งอยู่ด้านใน มีที่จอดรถกว้างขวาง เปิดทุกวัน เวลา 16.00-24.00 น. ส่วนคาราโอเกะเปิดเวลา 17.00-24.00 น. และควรจองล่วงหน้าก่อน 3 วัน โทร. 0-2885-8574-7พิเศษช่วงเทศกาลปีใหม่ทางร้านมีจับรางวัล โดยลูกค้ามาทานอาหารในช่วงวันนี้-31 ธ.ค. ทางร้านจะออกคูปองให้ลุ้นของรางวัลมากมายในค่ำคืนวันที่ 31 ธ.ค.นี้ เข้าไปดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่  www.rommaichyka.com
       

“นามู” อาหารเกาหลี รสดีต้นตำรับ

บรรยากาศโต๊ะนั่งชั้นล่างของร้าน “นามู”
       “อัน ยอง ฮา เซโย” เสียงทักทายเป็นภาษาเกาหลี แปลว่าสวัสดี ดังต้อนรับ “ตระเวนกิน” ทันทีเมื่อเราเปิดประตูเข้ามายังร้านอาหารแห่งนี้ที่มีชื่อเป็นภาษาเกาหลีว่า “นามู” (Namoo) แปลว่าต้นไม้ ซึ่งในมื้อนี้เราเลือกที่จะขอมาอิ่มกับอาหารเกาหลีกัน
      
       ต้องบอกว่ากระแสเกาหลีฟีเวอร์ในบ้านเรานั้นยังคงได้รับความนิยมอยู่ อย่างไม่เสื่อมคลาย และร้านอาหารเกาหลีเกิดใหม่ก็พากันเปิดให้บริการตามกระแสเช่นกัน อย่างร้าน”นามู” ร้าน นี้ก็เป็นอีกหนึ่งในร้านอาหารเกาหลีน้องใหม่ที่เพิ่งเปิดตัวมาได้ไม่นาน โดยตั้งอยู่บนถนนพระอาทิตย์ ซึ่งถือว่าเป็นร้านอาหารเกาหลีที่มีความน่าสนใจ ตรงที่ ที่ร้านนี้บริการอาหารเกาหลีแบบหลากหลาย และมีรสชาติแบบต้นตำรับเกาหลีแท้ๆ
บรรยากาศโต๊ะนั่งชั้น 2
       เพราะด้วยความที่เจ้าของร้านคือคุณ อลิส ลี นั้นเธอมีสามีเป็นชาวเกาหลี และทั้งคู่ก็รักในการทำอาหาร จึงได้ร่วมใจกันเปิดเป็นร้านอาหารเกาหลีนามูแห่งนี้ขึ้นมา และก็ยังมีเชฟเกาหลีมาปรุงอาหารเกาหลีขนานแท้ให้ได้เลือกชิมกัน อีกทั้งที่นี่ยังถือว่าเป็นอาหารเกาหลีเพื่อสุขภาพก็ว่าได้ เพราะว่าทางร้านคัดเลือกแต่วัตถุดิบที่ดี มีคุณภาพ และที่สำคัญไม่ใส่สารกันบูด และผงชูรสด้วยในการปรุงอาหาร
เฮมุลพาจอน
       สำหรับเมนูอาหารเกาหลีจานเด่นของร้านนามูที่ชวนลิ้มรสนั้นมีมากมาย อย่างเมนูแรกขอแนะนำ เฮมุลพาจอน (199 บาท) ก็คือพิซซ่าทะเลแบบเกาหลี เป็นแป้งที่ทางร้านผสมปรุงรสชาติ และใส่ซอสเกาหลีมาแล้ว พร้อมกับใส่ไข่ไก่ และต้นหอมด้วย และก็มีอาหารทะเลทั้ง กุ้ง ปลาหมึก หอยแมลงภู่ ใส่ลงไป ก่อนจะนำไปทอดบนกระทะจนแป้งสุก แล้วจึงโรยหน้าด้วยงาขาวกับงาดำ เสิร์ฟมาร้อนๆ ลิ้มรสพิซซ่าแป้งบางเนื้อในนุ่ม สัมผัสได้ถึงรสชาติที่เข้ากันของเครื่องทะเล และแป้งนุ่มๆ ที่มีต้นหอมด้วย กินคู่กับน้ำจิ้มที่ทางร้านทำเองมีส่วนผสมของน้ำมันงา งาดำและงาขาว ช่วยเพิ่มรสชาติที่กลมกล่อมลงตัว แถมหอมกลิ่นน้ำมันงาอ่อนๆ
จาจังเมียน
       ต่อมาเป็นอาหารจานเส้น ชื่อว่า จาจังเมียน (129 บาท) หรือบะหมี่ซอสดำยอดนิยม ที่ถ้าใครได้ดูซีรีย์เรื่องคอฟฟี่ปริ๊นซ์ เป็นต้องรู้จักกับเมนูจาจังเมียงนี้ จาจังเมียนของที่นี่เป็นเส้นบะหมี่อูด้งที่ทางร้านทำเองแบบวันต่อวัน แล้วนำเส้นมาต้มจนสุก แล้วราดด้วยซอสดำที่นำเข้ามาจากเกาหลี นำมาผัดรวมกับมันฝรั่ง กะหล่ำปลี หอมหัวใหญ่ เสร็จแล้วนำมาราดบนเส้นอูด้ง ตกแต่งด้วยแตงกวาญี่ปุ่น โรยด้วยงาดำกับงาขาว เวลากินจาจังเมียนต้องคลุกให้เส้นเข้ากับซอสดำน้ำขลุกขลิก กินเส้นอูด้งเหนียวนุ่มชุ่มซอสดำออกรสหวานนำ
บลูโกกิท็อปปั๊บ
       จากเมนูเส้นมากินเมนูข้าวกันบ้าง อย่าง บลูโกกิท็อปปั๊บ (169 บาท) เป็นเนื้อหมักซอสเกาหลีราดข้าว ทางร้านเลือกเนื้อวัวส่วนสะโพกไม่ติดมัน นำมาผัดกับซอสเกาหลี ใส่กะหล่ำปลี หอมหัวใหญ่ พริกหยวก และกระเทียม ผัดแบบมีน้ำขลุกขลิก มาพร้อมข้าวสวยร้อนๆ ชิมรสชาติเนื้อเคี้ยวนุ่มหนึบซึมรสชาติซอสที่กลมกล่อมปาก
เจยุกท็อปปั๊บ
       เมนูถัดมาคือ เจยุกท็อปปั๊บ (169 บาท) หมูผัดซอสพริกเกาหลีราดข้าว เป็นเนื้อหมูส่วนสะโพกไม่ติดมัน นำมา ผัดกับกะหล่ำปลี หอมใหญ่ พริกหยวก และซอสพริกเกาหลี แล้วก็โรยหน้าด้วยงาดำกับงาขาว กินกับข้าวสวยร้อนๆ เนื้อหมูนุ่มได้รสชาติซอสพริกออกเค็มๆ หวานๆ
โทลโซบีบิมปั๊บ
       โทลโซบีบิมปั๊บ (169 บาท) หรือข้าวยำเกาหลีหมูกระทะร้อน เป็นอีกหนึ่งเมนูข้าวที่ขายดีของทางร้าน เป็นข้าวเกาหลีที่มาพร้อมกับผักหลายอย่าง มีแครรอท ซูกินี่ มะเขือม่วง ถั่วงอก ผักกาดหอม มีหมูสับใส่มาด้วย และราดด้วยน้ำมันงา แถมมีไข่ดาวโป๊ะหน้ามาด้วย และมีซอสเกาหลีที่ปรุงรสชาติมาแล้วใส่มาอีกด้วย เสิร์ฟมาในกระทะร้อนๆ เวลากินก็ต้องคลุกเครื่องทั้งหมดที่ใส่มาให้เข้ากัน ลิ้มรสชาติแล้วต้องบอกว่าเครื่องทุกอย่างเข้ากันกับข้าวเป็นรสชาติที่ลงตัว กลมกล่อม
ซุนทูบูจิเกะ
       ส่งท้ายมื้อด้วยเมนูซดน้ำซุปร้อนๆ อย่าง ซุนทูบูจิเกะ (159 บาท) เป็นซุปกิมจิทะเล ที่ทางร้านทำกิมจิผักกาดขาวเอง แล้วนำมาต้มกับน้ำซุปปลาแห้ง และปรุงรสชาติ พร้อมกับใส่กุ้ง ปลาหมึก หอยลาย เห็ดหูหนูดำ เต้าหู้ ชิมรสชาติซุปกิมจิออกเผ็ดลิ้นนิดๆ
      
       และนอกจากเมนูจานเด่นทั้งหลายนี้แล้ว ทางร้านก็ยังมีเมนูเกาหลีอื่นๆ ที่ชวนกินอีก อาทิ แฮมุลคัลกุ๊กซู (149 บาท) เป็นบะหมี่หั่นมือทะเล โอชิงออโปกกึม (199 บาท) คือปลาหมึกผัดซอสพริกเกาหลี จังโปง (159 บาท) เป็นบะหมี่ซอสเผ็ด หมูย่างเกาหลี (เป็นเซ็ท 350 บาท) และเมนูอื่นๆ อีกมากมาย ที่ถ้าใครเป็นสาวกเกาหลี และชื่นชอบอาหารเกาหลี ก็อยากให้มาลองชิมอาหารเกาหลีรสดีกันได้ที่ร้าน “นามู”
       

       * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * *
      
       ร้าน “นามู” (Namoo) ตั้งอยู่ที่ 62 ถ.พระอาทิตย์ ชนะสงคราม พระนคร กทม. การเดินทางจากแยกบางลำพู ตรงมาที่ถ.พระอาทิตย์ เลยบ้านพระอาทิตย์มาสักหน่อย จะเห็นเซเว่นอีเลฟเว่นตรงปากซอยรามบุตรี ตรงมาอีกประมาณ 50 ม. จะเห็นร้านนามูตั้งอยู่ริมถนนทางซ้ายมือ มีป้ายร้านให้เห็นชัดเจน จุดสังเกตเป็นตึกที่ทาสีม่วงและอยู่ตรงข้ามกับประตูทางเข้าFAO เปิดทุกวัน เวลา 11.00-22.00 น. ทางร้านรับจัดงานเลี้ยงด้วย โทร. 08-7345-0018