ข้าวหอมมะลิสีนิล เป็นข้าวหอมมะลิสายพันธุ์ใหม่ ที่เป็นลูกผสมระหว่าง ข้าวสีนิลกับข้าวหอมมะลิ 105 ข้าวสายพันธุ์ใหม่ที่ได้จะมีเมล็ดยาว สีม่วงเข้ม และมีกลิ่นหอมที่เป็นเอกลักษณ์ ซึ่งเมื่อนำไปหุงแล้วจะได้ ข้าวสวยสีม่วงอ่อน ที่นุ่มและหอมมาก
ข้าวหอมมะลิสีนิล มีโปรตีนเป็น 2 เท่าของข้าวหอมมะลิ 105 และยังประกอบไปด้วยสารอาหารมากมาย อาทิเช่น เหล็ก สังกะสี ทองแดง โปแตสเซียม แคลเซียม และวิตามินบีหลายชนิด
ในสารสีม่วงของข้าวหอมมะลิสีนิลมีสารประกอบที่สำคัญก็คือ "แอนโทไซยานิน" ซึ่งมีคุณสมบัติเป็นสารต่อต้านอนุมูลอิสระที่พบมาก ในองุ่นแดงและพรุน โดยที่ข้าวหอมมะลิสีนิลก็มีสารนี้อยู่มากด้วยเช่นกัน
นอกจากนี้ยังพบสารอาหารที่มีประโยชน์จำนวนมากที่มีในสีในเมล็ดข้าว ดังนั้นการบริโภคข้าวหอมมะลิสีนิลเป็นทางเลือกที่ดีเยี่ยมสำหรับการมีสุขภาพ ที่ดี สารอาหารที่มีในเมล็ดข้าวนี้มีส่วนช่วย ในการป้องกันการเกิดมะเร็งลำไส้ใหญ่ และมะเร็งกระเพาะอาหาร ป้องกันการดูดซึมไขมันชนิดไม่อิ่มตัว
แอนโทไซยานินยังช่วยลดการอักเสบของเนื้อเยื่อช่วยลดการอุดตันของไขมันในเส้นเลือดช่วยป้องกันโรคเบาหวานเพิ่มประสิทธิ ภาพการมอง เห็น และบำรุงสายตา ป้องกันมะเร็งทรวงอก, มะเร็งกระเพาะอาหารและมะเร็งเม็ดเลือดขาว Credit OLYOH BLOGGANG.COM
กินอาหารไขมันสูงอาจเสี่ยงเป็นโรคอ้วน หรือโรคหัวใจในระยะยาวได้ แต่ในระยะสั้น อาจทำให้คนเราออกกำลังกายได้น้อยลง แถมเสี่ยงความจำเสื่อมเร็วขึ้น หลังนักวิทย์อังกฤษทดลองเลี้ยงหนูด้วยอาหารไขมันสูง พบหนูวิ่งได้ระยะทางสั้นลง และหลงทางในเขาวงกตมากขึ้น
ดร.แอนดรูว์ เมอร์เรย์ (Dr Andrew Murray) และทีมวิจัยที่มหาวิทยาลัยอ็อกฟอร์ด (Oxford University) สหราชอาณาจักร ศึกษาผลของการบริโภคอาหารที่มีไขมันสูงมากเกินไปในหนูทดลอง
พบว่าทำให้หนูมีความอดทนทางร่างกายน้อยลง และความสามารถของระบบความจำแย่ลง ซึ่งไซน์เดลีระบุว่าผลงานวิจัยนี้ได้ตีพิมพ์ในวารสารเอฟเอเอสอีบี (FASEB)
"เราพบว่าเมื่อเลี้ยงหนูด้วยอาหารที่มีไขมันสูง แทนอาหารสูตรมาตรฐานแบบเดิมที่มีไขมันต่ำ ทำให้พวกมันมีการแสดงออกทางกายภาพลดลงอย่างรวดเร็วจนน่าตกใจมาก
ซึ่งหลังจากผ่านไปแล้ว 9 วัน พวกมันวิ่งได้ไกลเพียง 50% ของระยะทางที่พวกมันเคยวิ่งเมื่อครั้งที่ยังถูกเลี้ยงด้วยอาหารไขมันต่ำ" ดร.เมอร์เรย์ เผยผลการวิจัยดังกล่าว ซึ่งปัจจุบันเขาได้ย้ายไปเป็นนักวิจัยที่มหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ (University of Cambridge)
อาหารที่อุดมไปด้วยไขมัน เป็นอาหารที่พบได้ทั่วไปในประเทศตะวันตก และเป็นที่ทราบกันดีว่า มันจะส่งผลเสียต่อร่างกายได้ในระยะยาว และจะทำให้เกิดโรคต่างๆ ตามมา เช่น โรคอ้วน เบาหวาน และหัวใจล้มเหลว เป็นต้น
อีกทั้งยังมีส่วนทำให้ความสามารถของสมองส่วนความจำเสื่อมลงด้วย ทว่าผลกระทบในระยะสั้นของการบริโภคอาหารไขมันสูงยังไม่ได้รับความสนใจมากเท่าใดนัก
นักวิจัยทำการทดลองโดยใช้หนูแรทเป็นต้นแบบ จำนวน 42 ตัว เริ่มต้นเลี้ยงหนูทุกตัวด้วยอาหารมาตรฐานที่มีไขมันต่ำและให้พลังงานเพียง 7.5% และวัดความอดทนของร่างกาย (Physical endurance) โดยวัดจากระยะทางที่พวกมันวิ่งได้บนลู่วิ่ง และตรวจสอบการทำงานของระบบความจำโดยให้หนูเดินในเขาวงกต
จากนั้นแบ่งหนูเป็น 2 กลุ่ม จำนวนเท่าๆ กัน โดยกลุ่มหนึ่งเลี้ยงด้วยอาหารแบบเดิม และอีกกลุ่มหนึ่งเปลี่ยนมาเลี้ยงด้วยอาหารที่มีไขมันสูง ซึ่งให้พลังงาน 55% และเปรียบเทียบผลเมื่อทดลองเปลี่ยนอาหารไป 9 วัน
ทั้งนี้ นักวิจัยระบุว่า อาหารไขมันต่ำที่ใช้เลี้ยงหนูในที่นี้ เทียบเท่ากับอาหารจำพวกธัญญาพืช ถั่ว และผลไม้ ที่คนเราบริโภคกัน ส่วนอาหารไขมันสูงที่ใช้ในการทดลอง ซึ่งดูเหมือนมีไขมันสูงมากก็จริง แต่ก็ไม่มากไปกว่าอาหารไขมันสูงที่คนเราบริโภคกันอยู่ทุกวันนี้ หรือจำพวกอาหารขยะทั้งหลายนั่นเอง
หลังจากเลี้ยงอาหารด้วยไขมันสูงไปแล้ว 4 วัน นักวิจัยทดสอบให้หนูกลุ่มดังกล่าววิ่งบนลู่วิ่งเป็นวันแรก พบว่าพวกมันสามารถวิ่งได้ระยะทางน้อยลงจากเดิม 30% และเมื่อผ่านไป 9 วัน พวกมันวิ่งได้ระยะทางน้อยลงถึง 50% เทียบกับหนูกลุ่มที่ได้กินอาหารไขมันต่ำตลอดการทดลอง
ทั้งนี้ ความอดทนของร่างกาย ขึ้นอยู่กับว่ามีออกซิเจนไปเลี้ยงกล้ามเนื้อมากเท่าใด และกล้ามเนื้อของเรามีประสิทธิภาพแค่ไหน ในการปลดปล่อยพลังงานจากการเผาผลาญอาหาร ซึ่งประสิทธิภาพการใช้ไขมันเป็นเชื้อเพลิงจะน้อยกว่าการใช้น้ำตาลกลูโคสจากอาหารพวกคาร์โบไฮเดรต
ทว่าระบบเผาผลาญในร่างกายสามารถเปลี่ยนแปลงได้เมื่อถูกเหนี่ยวนำด้วยอาหารที่มีรูปแบบแตกต่างไปจากเดิม ซึ่งก็ยังเป็นเรื่องที่ซับซ้อนมากและยังถกเถียงกันอยู่ว่า ถ้าเลี้ยงหนูด้วยอาหารไขมันสูงเป็นช่วงเวลาสั้นๆ จะมีผลไปเพิ่มหรือลดการแสดงออกทางกายภาพได้หรือไม่
นอกจากนั้น เมื่อนักวิจัยทดลองให้หนูเดินในเขาวงกต ปรากฏว่าหนูที่กินอาหารไขมันสูง จะทำผิดพลาดเร็วกว่าด้วย และอัตราการตัดสินใจไปถูกทางก็ลดต่ำลงเดิมด้วย ชี้ให้เห็นว่าความสามารถในการจดจำของหนูกลุ่มนี้ได้รับผลจากการกินอาหารที่มีไขมันสูง
นักวิจัยยังได้ศึกษาด้วยว่ามีอะไรเปลี่ยนแปลงไปบ้างในระบบการเผาผลาญอาหาร ซึ่งพบว่ามีระดับโปรตีนยูซีพี (uncoupling protein: UCP) สูงขึ้นในเซลล์กล้ามเนื้อและหัวใจของหนูกลุ่มที่เลี้ยงด้วยอาหารไขมันต่ำ
ซึ่งโปรตีนชนิดนี้ เกี่ยวข้องในกระบวนการเผาผลาญอาหาร เพื่อให้ได้พลังงานสำหรับเซลล์ และไปลดประสิทธิภาพของหัวใจและกล้ามเนื้อ ซึ่งส่วนหนึ่งอธิบายได้จากระยะทางที่หนูวิ่งได้น้อยลงหลังจากถูกเลี้ยงด้วยอาหารที่มีไขมันสูง
อีกทั้งยังพบว่า หนูที่ถูกเลี้ยงด้วยอาหารไขมันสูงนาน 9 วัน แล้วนำมาวิ่งบนลู่วิ่ง มีหัวใจโตกว่าปกติอย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งบ่งบอกว่าหัวใจจะต้องขยายขนาดให้ใหญ่ขึ้น เพื่อปั๊มเลือดไปเลี้ยงร่างกายมากขึ้น และให้กล้ามเนื้อได้รับออกซิเจนมากขึ้นด้วย
อย่างไรก็ตาม หลังจากที่การทดลองในหนูเสร็จสิ้นลง ทีมวิจัยมหาวิทยาลัยอ็อกฟอร์ดได้ร่วมกับทีมวิจัยจากมหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ ทำการศึกษาต่อในคนอาสาสมัครด้วยการทดลองที่คล้ายกัน ซึ่งขณะนี้กำลังอยู่ระหว่างการเก็บข้อมูล
นักวิจัยหวังว่าผลการทดลองที่ได้ จะเป็นประโยชน์อย่างยิ่งต่อการบริโภคอาหารของนักกีฬา รวมถึงคนทั่วไปที่ชอบบริโภคอาหารขยะที่มีไขมันสูง และอาจนำแนวทางนี้ไปพัฒนาผลิตภัณฑ์อาหารสำหรับผู้ป่วย ที่มีความมบกพร่องของระบบเผาผลาญอาหารในร่างกายได้ด้วยเช่นกัน
เช่น ผู้ป่วยโรคเบาหวาน โรคอ้วน ซึ่งบุคคลกลุ่มนี้จะมีไขมันในเลือดสูง มีความอดทนต่อการออกกำลังกายน้อย บางคนอาจมีปัญหาด้านระบบความจำร่วมด้วย และอาจนำไปสู่โรคจิตเสื่อมได้.
ขอบคุณ ผู้จัดการออนไลน์
โดยทั่วไปแล้ว เราเคยสังเกตกันไหมว่า ความร้อน และ เหงื่อ มักจะมาคู่กันเสมอ ไม่ว่าจะเป็นยามอากาศร้อนอบอ้าว หรือร้อนธรรมดาๆ หรือขณะที่เรากำลังใช้แรงงานกล้ามเนื้ออย่างหนัก หรือแม้แต่อาการตื่นเต้นหวาดกลัวจนเส้นประสาทถูกกระตุ้นมาก ๆ มักจะเห็นเหงื่อผุดพราวขึ้นตามรูขุมขน ซึ่งแท้ที่จริงแล้ว คือทางออกที่ธรรมชาติสร้างขึ้นมาช่วยเพื่อบรรเทาความร้อน และสร้างความเย็นขึ้นมาทดแทนของร่างกายเรานั่นเอง เพื่อเป็นการปรับสมดุลให้ร่างกายของเราเข้าสู่สภาวะปกติ และที่เรารู้สึกถึงความเย็นได้ ก็เพราะในเหงื่อนั้นประกอบด้วยน้ำเป็นหลัก และแร่ธาตุรองลงมาก็คือคอลไรด์และโพแทสเซียม หรือเกลือ เราจึงรู้ว่า เหงื่อ มีรสเค็ม
ไปทำความรู้จักกับหยาดน้ำเค็ม ๆ ที่พรั่งพรูออกมาจากร่างกายเราว่าคืออะไรและมาจากไหนกันเถอะ
เหงื่อ และกลิ่นของเหงื่อ
เหงื่อออก เป็นหนึ่งในกลไกตอบโต้ทางธรรมชาติของร่างกายสิ่งมีชีวิตหลายชนิด และกับมนุษย์อย่างเราๆ ที่หลายๆ คนคงอยากให้เกิดน้อยที่สุด เนื่องจากผลที่ตามมาคือ นอกจากจะทำให้เหนียวเหนอะหนะไม่สบายตัวแล้ว กลิ่น ก็ไม่ใช่สิ่งที่น่าอภิรมย์สักเท่าไร แถมเหงื่อของบางคนยังมีกลิ่นแรงเป็นพิเศษเสียด้วย ชนิดที่ทำให้คนรอบตัวที่ไม่คุ้นเคยต้องรีบอุดจมูกแล้วเดินหนี เป็นที่น่ารังเกียจเสียด้วยซ้ำ
ความจริงแล้วเหงื่อของคนเรานั้นไม่มีกลิ่นเลย แต่ที่เราได้กลิ่นนั้น คือเหงื่อนั้น เมื่อผสมกันเข้ากับแบคทีเรียบนผิวหนังเส้นขน รวมทั้งกรดไขมันจากอาหารที่กินเข้าไปนั่นแหละ ทำให้เกิดกลิ่นขึ้นมาได้
ทั้งนี้ ต่อมเหงื่อ นั้นมีสองประเภท หากเป็นเหงื่อที่ออกทั่วร่างกาย โดยเฉพาะบริเวณหน้าผาก ฝ่ามือ และฝ่าเท้านั้นจะมาจากต่อมที่เรียกว่า Eccrine ซึ่งเริ่มผลิตเหงื่อตั้งแต่เรายังเป็นเด็กแรกเกิดกันเลยทีเดียว จึงมักไม่ค่อยมีกลิ่นรุนแรงเท่าเหงื่อที่มาจากต่อม Apocrine ที่อยู่ตรงบริเวณรักแร้และซอกขาใกล้ทวารหนักและอวัยวะเพศ ซึ่งจะเริ่มทำงานเมื่อย่างเข้าสู่วัยเจริญพันธุ์ และหากส่องดูกันอย่างใกล้ชิด จะเห็นได้ว่า มีทั้งกรดไขมันและโปรตีนผสมอยู่ ซึ่งทำให้เหงื่อที่ออกมาเป็นสีเหลืองขุ่นเล็กน้อย และมักเห็นเป็นคราบบนเสื้อผ้าได้ง่าย นี่เองจึงเป็นสาเหตุว่า ทำไมบรรดาผลิตภัณฑ์ระงับเหงื่อและกลิ่นกายต่าง ๆ จึงได้พุ่งเป้าหมายการกำจัดกลิ่นไปที่บริเวณรักแร้กันเป็นพิเศษ นอกจากนี้ ต่อมเหงื่อ ยังมีแทรกอยู่ตามบริเวณรูขุมขน ทั้งบนหนังศรีษะ และตามร่างกายทั่วไปอีกด้วย (พูดได้ว่า ที่ไหนมีขนมาก ที่นั่นมักมีต่อมเหงื่ออยู่มาก) เนื่องจากเหงื่อเป็นของเหลวและมีโพแทสเซียม หากเกิดการเสียดสีอย่างรุนแรงบ่อยๆ จะเกิดการทำลายของชั้นผิวหนัง ขนจึงเป็นทางออกสุดท้ายในการลดแรงเสียดสีดังกล่าว แต่แฟชั่นส่วนใหญ่ของคุณผู้หญิง หากมีการปล่อยขนบริเวณรักแร้ให้เห็น คงดูไม่ดีแน่ๆ
เหงื่อที่ผิดปกติ
บางคนมีเหงื่อออกมากเกินไปจนเป็นที่น่ารำคาญทั้งผู้เป็นและผู้ใกล้เคียง และทำให้เจ้าตัวเกิดความอับอายอยู่บ่อย ๆ โดยเฉพาะเหงื่อตามฝ่ามือและซอกรักแร้ที่เปียกโชกเป็นวงทั้งวัน สาเหตุนั้นทางการแพทย์เองก็ยังไม่อาจระบุได้อย่างชัดเจนว่ามาจากสาเหตุใด แต่อาจมีที่มาดังต่อไปนี้ และสามารถรักษาได้ด้วยการกินยาหรือการผ่าตัด
ความไม่สมดุลของฮอร์โมน เช่น อาการเมโนพอส (Menopause) ในช่วงวัยทองต่อมไทรอยด์ทำงานผิดปกติซึ่งทำให้ร่างกายผลิตความร้อนได้สูงยาที่ใช้บางประเภทอาหารที่มีกาเฟอีนสูงระบบประสาททำงานหนักจนเกินไป
รู้ไหมว่า...
คนเรามีต่อมเหงื่อกระจายอยู่ทั่วร่างกายถึงประมาณคนละ 2.6 ล้านต่อมเหงื่อที่ออกตรงฝ่ามือและรักแร้นั้นไม่เหมือนกัน และให้กลิ่นแตกต่างกันด้วยหากสังเกตให้ดี แท้จริงแล้วเรามีเหงื่อออกอยู่ตลอดเวลา แม้ในอากาศเย็นหากอากาศร้อนมาก ๆ คนเราอาจเสียเหงื่อได้มากถึงชั่วโมงละ 1 ลิตร ร่างกายจึงต้องการน้ำและเกลือแร่ชดเชยเหงื่อมีรสเค็มเนื่องจากมีแร่ธาตุสำคัญคือ โซเดียมและโพแทสเซียมหากเหงื่อออกมากแล้วไม่รีบดื่มน้ำเข้าไปทดแทน อาจทำให้เป็นลม เกิดปัญหาในระบบไหลเวียนหรือไตวายได้เครื่องจับเท็จสามารถวัดได้ถึงความเปลี่ยนแปลงของไฟฟ้าสถิตในผิวหนัง และเหงื่อที่ออกเวลาเรากลัวหรือตื่นเต้น
ข้อมูลจากhttp://www.thaiza.com
ไดเอ็ทไม่ได้สักที อาจเพราะกินมื้อสาย (Lisa)
ถ้าอยากกินของว่างแต่กลัวอ้วน ก็ให้รอกินช่วงเวลาอื่นที่ไม่ใช่ในช่วงระหว่างมื้อเช้ากับมื้อกลางวันดีกว่านะ
นั่นเพราะงานวิจัยที่ตีพิมพ์ในวารสาร American Dietetic Association เปิดเผยจากการทดลองน้ำหนักว่า กลุ่มตัวอย่างที่กินของว่างมื้อสายอาจลดน้ำหนักได้ถึง 7% ในหนึ่งปีก็จริง แต่ในกลุ่มที่ไม่กินของว่างในมื้อสายนั้นอาจลดน้ำหนักได้ถึง 77% เลยทีเดียว
ทั้งนี้ นักวิจัยแอนน์ แมคเทียร์แนน จาก Fred Hutchinson Cancer Research Center อธิบายว่า ความอยากอาหารที่เกิดขึ้นในช่วงเวลาสั้น ๆ ระหว่างสองมื้อนี้ เป็นสัญลักษณ์ของนิสัยการกินที่ไม่ดี คือ ไม่ได้กินเพราะหิว แต่เป็นการกินโดยไม่คิด และในหนึ่งวันคนกลุ่มนี้ก็จะกินของว่างบ่อยครั้งกว่าคนอื่นด้วย
พบคนที่ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ ได้รับการนวดอย่างละมุนละไม บรรเทาอาการได้ราวกับกินยาแก้อักเสบ
ผู้ที่มักจะมีอาการปวดเมื่อยเพราะกล้ามเนื้ออักเสบ อาจไม่ต้องพึ่งยาแก้อักเสบกล้ามเนื้อหรือยาแก้ปวดเพียงหนทางเดียว เพราะนายแพทย์มาร์ค ทาโนโพลสกี้ จากมหาวิทยาลัยแมคมาสเตอร์ ในแคนาดา และทีมวิจัยพบว่า การนวดผ่อนคลายอย่างละมุนละไม ช่วยบรรเทาความเจ็บปวดและความเมื่อยล้าของกล้ามเนื้อได้
การวิจัยจะดูตัวอย่างเนื้อเยื่อกล้ามเนื้อของอาสาสมัครที่ออกกำลังกายด้วยการปั่นจักรยานจนปวดเมื่อย จากนั้นจึงไปนวดผ่อนคลายเพียง 10 นาที และหลังเสร็จจากการนวดผ่านไปนาน 2 ชั่วโมงครึ่ง ทีมวิจัยก็ได้พบว่า ความเมื่อยล้าของกลุ่มตัวอย่างนั้นหายไป
ทีมวิจัยเชื่อว่า การนวดผ่อนคลาย ที่มีลักษณะการกดคลึงอย่างถูกต้อง และลงน้ำหนักเหมาะสม ช่วยเสริมสร้างการเจริญเติบโตของ 'ไมโทคอนเดรีย' หรือ แหล่งพลังงานเซลล์ ขึ้นมาใหม่ แต่ที่สำคัญคือ การนวดผ่อนคลายที่ดีสามารถส่งสัญญาณไปยังระบบภูมิคุ้มกันให้จัดการความเจ็บปวดในระดับโมเลกุล
นอกจากนี้ ทีมวิจัยยังเชื่อด้วยว่า การนวดในลักษณะที่ว่านี้ อาจมีประสิทธิภาพลดการปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ เหมือนกลไกลการออกฤทธิ์ของยาแก้อักเสบ จึงอาจเป็นผลดีสำหรับผู้สูงอายุที่มีปัญหากล้ามเนื้อหรือกระดูกอักเสบเรื้อรัง ได้มีทางเลือกการรักษาเสริมเข้ามาอีกทางภายใต้การควบคุมของแพทย์.
ทีมเดลินิวส์ออนไลน์takecareDD@gmail.com