homeowners insurance Claim home insurance Claim state farm car insurance Claim comprehensive insurance Claim commercial insurance Claim cheap auto insurance Claim cheap health insurance Claim indemnity Claim car insurance companies Claim progressive quote Claim usaa car insurance Claim insurance near me Claim term life insurance Claim auto insurance near me Claim state farm car insurance Claim comprehensive insurance Claim progressive home insurance Claim house insurance Claim progressive renters insurance Claim state farm insurance quote Claim metlife auto insurance Claim best insurance companies Claim progressive auto insurance quote Claim cheap car insurance quotes Claim allstate car insurance Claim rental car insurance Claim car insurance online Claim liberty mutual car insurance Claim cheap car insurance near me Claim best auto insurance Claim home insurance companies Claim usaa home insurance Claim list of car insurance companies Claim full coverage insurance Claim allstate insurance near me Claim cheap insurance quotes Claim national insurance Claim progressive home insurance Claim house insurance Claim health insurance quotes Claim ameritas dental Claim state farm renters insurance Claim medicare supplement plans Claim progressive renters insurance Claim aetna providers Claim title insurance Claim sr22 insurance Claim medicare advantage plans Claim aetna health insurance Claim ambetter insurance Claim umr insurance Claim massmutual 401k Claim private health insurance Claim assurant renters insurance Claim assurant insurance Claim dental insurance plans Claim state farm insurance quote Claim health insurance plans Claim workers compensation insurance Claim geha dental Claim metlife auto insurance Claim boat insurance Claim aarp insurance Claim costco insurance Claim flood insurance Claim best insurance companies Claim cheap car insurance quotes Claim best travel insurance Claim insurance agents near me Claim car insurance Claim car insurance quotes Claim auto insurance Claim auto insurance quotes Claim long term care insurance Claim auto insurance companies Claim home insurance quotes Claim cheap car insurance quotes Claim affordable car insurance Claim professional liability insurance Claim cheap car insurance near me Claim small business insurance Claim vehicle insurance Claim best auto insurance Claim full coverage insurance Claim motorcycle insurance quote Claim homeowners insurance quote Claim errors and omissions insurance Claim general liability insurance Claim best renters insurance Claim cheap home insurance Claim cheap insurance near me Claim cheap full coverage insurance Claim cheap life insurance Claim
นายฮ้อย

รู้ไปโม้ด
nachart@yahoo.com


ขอ ถามเรื่องนายฮ้อยต้อนควายขาย มีประวัติเป็นมาอย่างไร ใช่ไหมว่าจริงๆ แล้วคือนายร้อย แต่พื้นเมืองอีสานออกเสียงนายฮ้อย ขอบคุณนะคะน้าชาติ

แมงมุม

ตอบ แมงมุม


เว็บไซต์ ว่าด้วยศาสนา ศิลปะ วัฒนธรรมและภูมิปัญญาไทย ของสำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษา อธิบายว่า "นายฮ้อย" เป็นภาษาท้องถิ่นอีสานที่เรียกกลุ่มบุคคลที่มีบทบาทในการค้าขายซึ่งเรียกตาม ชื่อประเภทสินค้า ดังนั้น คนที่ค้าขายวัวควาย จึงถูกเรียกขานว่า นายฮ้อยวัวควาย และนายฮ้อยวัวควายนี่เองที่มีบทบาทสัมพันธ์ใกล้ชิดกับวิถีชีวิตอีสานมากกว่า กลุ่มพ่อค้าสินค้าอื่น จากสภาพความเป็นอยู่ของชาวบ้านที่เลี้ยงวัวควายเป็นอาชีพควบคู่กับทำนาทำไร่ วัวควายจึงมีความสำคัญทั้งในสถานะปัจจัยการผลิต คือแรงงานไถนา ผลิตปุ๋ยคอก เป็นพาหนะคมนาคมขนส่ง เป็นสิ่งแสดงถึงสถานะทางสังคม และเป็นสินค้าที่สามารถขายสร้างรายได้ให้กับครอบครัว

ตลาดวัวควายของ ยุคนั้นอยู่ในถิ่นภาคกลาง ต้องใช้เวลารอนแรมหลายเดือน การจะนำวัวควายไปขายจึงต้องอาศัยการรวมตัวกันไปเพื่อความปลอดภัย และการเดินทางนี้เองได้บ่มเพาะประสบการณ์ กลายเป็นตำนานนายฮ้อยในเวลาต่อมา ความยากลำบากของการเดินทาง และเพื่อให้แต่ละครั้งสามารถขายวัวควายได้เงินกลับบ้าน นายฮ้อยจึงต้องเป็นผู้มีความรู้สารพัดเรื่องสัตว์ รวมทั้งการประเมินราคาต่อรองค้าขาย ด้วยบทบาทดังกล่าวชุมชนจึงให้ความเชื่อถือ เป็นภูมิปัญญาของชุมชนตลอดมา

ยัง มีข้อมูลจากซองคำถาม นิตยสารสารคดี ซึ่งได้จากเว็บไซต์ของการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ว่า ทุกปีราวเดือนสองเดือนสาม (มกราคม-กุมภาพันธ์) หลังเก็บเกี่ยวข้าว นายฮ้อยจาก "เมืองบน" หรือดินแดนที่ราบสูงโคราช แถบขอนแก่น โคราช ชัยภูมิ จะเริ่มออกหาซื้อวัวควายจากหมู่บ้านต่างๆ และเมื่อรวบรวมได้ 400-500 ตัว หรือบางคราวอาจถึง 1,000 ตัว ก็จะเริ่มเดินทางพร้อมกองคาราวานเกวียน บรรทุกสัมภาระ ข้าวปลาอาหาร และลูกน้องไม่น้อยกว่า 10 คน ถ้าเป็นฝูงใหญ่อาจต้องใช้คนนับร้อยไล่ต้อนลงมาขายที่ "เมืองล่าง" หรือดินแดนที่ราบลุ่มภาคกลางแถบลพบุรี สระบุรี อยุธยา มาถึงราวเดือนสี่เดือนห้า (มีนาคม-เมษายน) เริ่มฤดูกาลไถหว่านทำนาพอดี

ระหว่าง การเดินทางรอนแรมกลางป่าเปลี่ยวเสี่ยงอันตราย เผชิญอุปสรรคนานัปการ นายฮ้อยต้องรับผิดชอบดูแลทุกชีวิตทั้งคนและฝูงวัวควายที่เสี่ยงต่อการถูก ปล้นสะดมระหว่างทาง ต้องปกครองคนได้ เป็นผู้นำที่ได้รับการยอมรับนับถือจากทุกคน กล้าหาญ เข้มแข็ง เด็ดเดี่ยว สามารถจัดการฝูงวัวควายนับร้อยนับพันตัวได้ โดยจะแบ่งออกเป็นฝูงย่อย ฝูงละ 80-100 ตัว มีคนคุมต้อน 9-12 คน มีหัวหน้าหนึ่งคน แต่ละกลุ่มย่อยเรียกว่า "หนึ่งพาข้าว"

เส้นทางไล่ต้อนเริ่มต้นจากขอนแก่น นครราชสีมา ผ่านช่องเขาต่างๆ ในแนวเทือกเขาพังเหย จ.ชัยภูมิ เช่น ช่องสำราญ ช่องตานุด ช่องลำพญากลาง หรือช่องตะพานหิน เป็นต้น ผ่านเข้าสู่ประตูภาคกลางที่ อ.ลำสนธิ จ.ลพบุรี หยุดแวะขายที่บ้านโคกสลุง อ.พัฒนา นิคม ลพบุรี เป็นแห่งแรก โดยนายฮ้อยจะเข้าไปแจ้งข่าวให้คนในหมู่บ้านแวะมาดูมาซื้อวัวควาย จากนั้นจะตระเวนขายไปจนสิ้นสุดเส้นทางที่ อ.แก่งคอย จ.สระบุรี กว่าจะหมดบางครั้งใช้เวลาร่วมเดือนหรือ 2 เดือน

รวมเวลาเดิน ทางกลับแล้วกว่าครึ่งปีที่พวกเขาต้องจากบ้านมาใช้ชีวิตรอนแรมห่างไกลจากครอบ ครัว ทว่าสิ่งที่พวกเขานำมาพามาด้วยพร้อมกับคาราวานวัวควาย คือวัฒนธรรมจากอีสาน โดยมีนายฮ้อยเป็นสื่อเชื่อมกับอารยธรรมในภาคกลาง ปรากฏร่องรอยให้เห็นผ่านขนบธรรมเนียม ประเพณี การแต่งกาย อาหารการกิน ภาษาพูด ของกลุ่มคนที่หลากหลายแถบลพบุรี สระบุรี แต่เกือบ 30 ปีแล้วที่ภาพกองคาราวานนายฮ้อยไล่ต้อนฝูงวัวควายหายไป ภายหลังที่มีเส้นทางรถยนต์เข้ามาแทนที่ ฝูงวัวควายที่ต้อนมาขายยังตลาดนัดวัวควายทุกวันนี้จึงมาพร้อมกับรถบรรทุก
ตึกสูงที่สุดในโลก

คอลัมน์ รู้ไปโม้ด
น้าชาติ ประชาชื่น nachart@yahoo.com


ถึง น้าชาติ 5 อยากรู้ว่าตึกไหนสูงที่สุดในโลกครับ มีตึกอะไรบ้างและตึกใบหยก 2 ของไทยติดอันดับด้วยหรือเปล่าครับ

จาก โอม

ตอบ โอม

สถิติ ตึกระฟ้าที่สูงที่สุดในโลกขณะนี้ ยังเป็นของ "เบิร์จ คาลิฟา" ในนครดูไบ ประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ เดิมชื่อ เบิร์จ ดูไบ แต่เปลี่ยนชื่อเพื่อเป็นเกียรติแก่ ชีก คาลิฟาร์ บิน ซาเอ็ด อัล-นาห์ยัน ประธานาธิบดีซาอุดีอาระเบีย ผู้ครองนครรัฐอาบู ดาบี

อาคารนี้สูง 828 เมตร มี 162 ชั้น ทำพิธีเปิดอย่างเป็นทางการวันที่ 4 ม.ค.2553 ออกแบบโดย เอเดรียน สมิธ สถาปนิกชาวชิคาโก ซึ่ง เคยออกแบบ วิลลิสทาวเวอร์ อาคารที่สูงที่สุดในสหรัฐ อเมริกา

อย่างไรก็ตาม อีกไม่นานเกินรอ ตึกเบิร์จ คาลิฟา จะเสียแชมป์ให้กับตึก "มูบารัก ทาวเวอร์" ในมูบารักซิตี้ ประเทศคูเวต ที่มีความสูงกว่า 1.1 กิโลเมตร อยู่ในช่วงการก่อสร้างและเตรียมเปิดดำเนินการภายในปี 2559

แต่ตึกมู บารักก็จะต้องพ่ายให้กับตึกที่สูงกว่าในอนาคต นั่นคือ ตึก "ไมล์ ทาวเวอร์" เพราะมีความสูงถึง 1 ไมล์หรือ 1.6 กิโลเมตร และ มีอีกชื่อหนึ่ง คือ "คิงดอม ทาวเวอร์" ในเมืองเจดดาห์ ประเทศซาอุดีอาระเบีย ด้วยเงินลงทุนสร้างถึง 9 แสนล้านบาท ออกแบบโดยสถาปนิกเจ้าเก่าที่ออกแบบตึก เบิร์จ คาลิฟา นั่นเอง ตึกแห่งนี้เพิ่งได้รับการอนุมัติจากรัฐบาลซาอุดีอาระเบียให้ก่อสร้างในเดือน นี้เอง

สำหรับแชมป์อันดับ 2 รองจากเบิร์จ คาลิฟา ได้แก่ "ไทเป 101" ในไต้หวัน ที่สูง 509 เมตร มี 101 ชั้น ออกแบบโดย ซี.วาย. ลี สถาปนิกชาวไต้หวัน เปิดอาคารเมื่อ 31 ธ.ค.2547 ตัวตึกผสมผสานความเชื่อของชาวจีนโดยมีรูปหัวมังกรที่มุมอาคารทั้ง 4 ด้านเพื่อขับไล่ภูตผีปีศาจ

อันดับ 3 "เซี่ยงไฮ้ เวิลด์ ไฟแนนเชียลเซ็นเตอร์" ที่นคร เซี่ยงไฮ้ ประเทศจีน สูง 492 เมตร มี 101 ชั้น และชั้นใต้ดินอีก 3 ชั้น เป็นอาคารที่สูงที่สุดในประเทศจีน แซงหน้าอาคารจินเหมาซึ่งตั้งอยู่ใกล้เคียง

อันดับ 4 "อินเตอร์เนชันแนลคอมเมิร์ซเซ็นเตอร์" บนเกาลูนตะวันตก ในฮ่องกง สูง 484 เมตร มี 118 ชั้น

ส่วน อันดับ 5 และ 6 มาคู่กัน "ตึกแฝดเปโตรนาส" ที่กรุงกัวลา ลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย สูง 452 เมตร มี 88 ชั้น ออกแบบโดย เซซาร์ เปลลี ซึ่งได้รับแรงบันดาลใจจากเสาหินทั้ง 5 ของศาสนาอิสลาม มีสะพานเชื่อมลอยฟ้าในบริเวณชั้นที่ 41 และ 42

อันดับ 7 "หนานจิงกรีนแลนด์ไฟแนนเชียลเซ็นเตอร์" ใน ประเทศจีน สูง 450 เมตร มี 89 ชั้น โดยสถาปนิกคนเดียวกับผู้สร้าง เบิร์จ คาลิฟา

อันดับ 8 "วิลลิสทาวเวอร์" หรือชื่อเดิม "เซียร์ทาวเวอร์" นคร ชิคาโก รัฐอิลลินอยส์ ประเทศสหรัฐอเมริกา สูง 442 เมตร มี 108 ชั้น เคยครองตำแหน่งอาคารสูงที่สุดของโลกตั้งแต่ก่อตั้งเมื่อปีพ.ศ. 2518 จนถึงปีพ.ศ.2548 ก่อนจะเสียตำแหน่งให้กับตึกแฝดเปโตรนาสของมาเลเซีย

อันดับ 9 "กวางโจวเวสต์ทาวเวอร์" เมืองกวางโจว ประเทศจีน สูง 440.2 เมตร มี 103 ชั้น เปิดตัวในปีพ.ศ.2552

อันดับ 10 "จินเหมาทาวเวอร์" ในนครเซี่ยงไฮ้ ประเทศจีน สูง 421 เมตร มี 88 ชั้น

ส่วนตึกใบหยก 2 ของไทย วิกิพีเดียจัดอันดับไว้ที่ 59 ของโลก สูง 304 เมตร มี 85 ชั้น
หอศิลปวัฒนธรรม แห่งกรุงเทพมหานคร

คอลัมน์ รู้ไปโม้ด
น้าชาติ ประชาชื่น nachart@yahoo.com


หอศิลปะกรุงเทพฯ ตั้งอยู่ไหนครับ ประวัติการสร้าง อยากรู้และเวลาเปิดปิดด้วย

อัมพร

ตอบ อัมพร

หอศิลป วัฒน ธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร (Bangkok Art and Culture Centre) หรือ หอศิลป์กรุงเทพฯ ก่อร่างสร้างรูปเป็นโครงการหอศิลปวัฒน ธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร เมื่อปีพ.ศ.2537 โดยกลุ่มศิลปินร่วม สมัยแห่งประเทศไทยจำนวนนับพันคน ได้จัดแสดงผลงานที่ศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ หวังให้สังคมเห็นว่า มีศิลปินมากพอที่ควรจะมีหอศิลป์มาเป็นพื้นที่รองรับการแสดงออกผลงาน และเก็บรักษาผลงาน ในอดีตและประวัติ ศาสตร์ เป็นที่รวมกลุ่มศิลปิน เพื่อพบปะ แลกเปลี่ยนความคิด แนวการทำงาน อันจะตามด้วยการผลักดันให้เกิดการพัฒนาของวงการศิลปะในบ้านเมือง

ถึง สมัย นายพิจิตต รัตตกุล เป็นผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร (พ.ศ.2539-2543) การรณรงค์เรียกร้องให้มีหอศิลป์กรุงเทพฯ ดำเนินมาต่อเนื่อง กระทั่งกทม.มีนโยบายจะสร้างหอศิลป์ขึ้น กำหนดพื้นที่ตั้งบริเวณสี่แยกปทุมวัน และจัดประกวดแบบ ซึ่งผู้ชนะได้แก่บริษัท Robert G. Boughey & Associates (RGB Architects)

อย่างไรก็ตาม แม้จะดำเนินการได้ระดับหนึ่ง แต่โครงการหอศิลป์กรุงเทพฯ ได้ถูกรื้อถอนความคืบหน้าเดิมทิ้งทั้งหมดเมื่อสิ้นสมัยนายพิจิตต โดยเปลี่ยนเป็นพื้นที่การค้าตามรูปแบบการใช้พื้นที่แถบนั้น และมีส่วนแสดงศิลปะไว้เล็กน้อย ส่งผลบรรดาศิลปิน คนทำงานศิลปะและเครือข่ายประชาชนต้องเคลื่อนไหวอีกครั้ง

กระทั่งสมัย นายอภิรักษ์ โกษะโยธิน เป็นผู้ว่าฯ กทม. สภาแห่งกรุงเทพมหานครได้อนุมัติงบประมาณดำเนินการก่อสร้างหอศิลปวัฒนธรรม แห่งกรุงเทพมหานคร เป็นจำนวนเงิน 509 ล้านบาท เพื่อผลักดันให้กรุงเทพฯ เป็นเมืองแห่งศิลปวัฒนธรรม หอศิลป์กรุงเทพฯ จึงได้เริ่มก่อสร้างบริเวณสี่แยกปทุมวัน โดยเปิดโครงการอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 19 สิงหาคม 2548 ทั้งนี้ กำหนดการเดิมหอศิลปวัฒน ธรรมแห่งกรุงเทพมหานครจะสร้างเสร็จช่วงปลายปี 2549 แต่การก่อสร้างได้ล่าช้าออกไปจากเดิม มาแล้วเสร็จเปิดใช้งานเมื่อ พ.ศ.2551

หอ ศิลป์กรุงเทพฯ ลักษณะตัวอาคารสูง 9 ชั้น (และ 2 ชั้นใต้ดิน) ตัวอาคารเป็นทรงกระบอก เชื่อมต่อระหว่างอาคารด้วยทางเดินวน เป็นแนวเอียงขึ้น เพื่อให้คนที่เข้ามาชมผลงานชมได้ต่อเนื่องในแต่ละชั้น และตัวอาคารยังออกแบบให้รับแสงสว่างจากภายนอกในระดับ ที่แสงไม่แรงขนาดทำลายผลงานศิลปะที่แสดงอยู่ข้างในได้

ตัวอาคารมี พื้นที่ต่างๆ แบ่งดังนี้ ห้องสมุดศิลปะ ชั้น L รวมหนังสือและแหล่งความรู้ด้านศิลปะมากกว่า 6,000 รายการ พร้อมบริการอินเตอร์เน็ตและมุมศิลปะ, ห้องอเนกประสงค์ ชั้น 1 มีทางเดินเชื่อม ต่อกับโถงใหญ่ ไว้สำหรับงานจัดเลี้ยง แถลงข่าว การประชุม การบรรยาย, โซนร้านค้า 34 คูหา ชั้น 1-4 รวมสินค้าด้านศิลปะ, สตูดิโอ ชั้น 4 เป็นพื้นที่อิสระสำหรับกิจกรรมจัดงานดนตรี ละคร หรือกิจกรรมแนวทดลองทางศิลปะ ศิลปะการแสดงสด ฯลฯ

ห้องออดิทอเรียม ชั้น 5 เป็นห้องขนาด 222 ที่นั่ง ใช้สำหรับการประชุมสัมมนา แสดงละคร ดนตรี ฉายภาพยนตร์ และมีบริการโต๊ะเก้าอี้ไว้ให้มานั่งทำการบ้าน อ่านหนังสือ ห้องประชุมชั้น 4-5 รวม 4 ห้อง มีไว้สัมมนา ประชุม บรรยาย เวิร์กช็อป และพื้นที่แสดงศิลปะ จัดแสดงทัศนศิลป์ ชั้น 7-9 แสดงนิทรรศการงานศิลปะ

หอศิลป วัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร ตั้งอยู่บริเวณสี่แยกปทุมวัน มุมถนนพระราม 1 และถนนพญาไท เวลาทำการ 10.00-21.00 น. หยุดทุกวันจันทร์ เว็บไซต์ www.bacc.or.th
กรมการข้าว

รู้ไปโม้ด
nachart@yahoo.com


ต้องการทราบประวัติกรมการข้าว เกิดขึ้นได้อย่างไร และสำนักงานกรมตั้งอยู่ที่ไหน

nirut

ตอบ nirut


กรมการข้าวเป็นหน่วยงานระดับกรมในสังกัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ มีหน้าที่ศึกษา วิจัย พัฒนาข้าวในประเทศไทย มีหน่วยงานส่วนภูมิภาคคือ ศูนย์เมล็ดพันธุ์ข้าว 23 แห่ง และสำนักวิจัยและพัฒนาข้าว มีศูนย์วิจัยข้าวอีก 27 แห่ง รวมแล้วมีศูนย์ส่วนภูมิภาคตามจังหวัดต่างๆ จำนวน 50 ศูนย์

ย้อนไปรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว มีพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ตั้งกระทรวงเกษตราธิการขึ้นในปีพ.ศ.2542 และในปีพ.ศ.2444 ได้มีการจัดตั้งกรมช่างไหมขึ้น ตามด้วยการประกวดพันธุ์ข้าวเป็นครั้งแรกในประเทศไทยที่เมืองธัญบุรีในปี 2450 ก่อนเปลี่ยนชื่อกรมช่างไหมเป็นกรมเพาะปลูก มีหน้าที่ค้นคว้าทดลองเกี่ยวกับพันธุ์พืช การเพาะเลี้ยงไหม ปศุสัตว์ และการเพาะปลูก จวบจนมีการจัดตั้งสถานีทดลองคลองรังสิตขึ้น นับเป็นสถานีทดลองข้าวแห่งแรกของไทย ที่ตำบลคลองหก อำเภอธัญบุรี จังหวัดปทุมธานี

พ.ศ.2478 จัดตั้งแผนกข้าวขึ้นในสังกัดกองขยายการกสิกรรม กรมเกษตรและการประมง (หรือกรมการกสิกรรมในเวลาต่อมา) และปี 2481 ได้ยกฐานะแผนกข้าวขึ้นเป็นกองการข้าว ที่สุดสถาปนา "กรมการข้าว" ในวันที่ 16 กันยายน พ.ศ.2496 อย่างไรก็ตาม ในปี 2515 ได้ยุบรวมกรมการข้าวเข้ากับกรมกสิกรรมอีกครั้ง ทำให้กรมการข้าวมีฐานะเป็นกองการข้าว สังกัดกรมวิชาการเกษตร และเปลี่ยนชื่อเป็นสถาบันวิจัยข้าวในพ.ศ. 2525 กระทั่งพ.ศ. 2547 มีการจัดตั้งหน่วยงานที่ทำหน้าที่กำกับดูแลข้าวไทยขึ้นคือ สำนักงานข้าวแห่งชาติ มีฐานะเทียบเท่ากรม และวันที่ 15 มีนาคม 2549 พระราชบัญญัติปรับปรุงกระทรวง ทบวง กรม ให้จัดตั้งกรมการข้าวได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษา เป็นผลให้เกิดกรมการข้าวปัจจุบัน

โดยการจัดตั้งกรมการข้าวในครั้งนี้มีหลักการและเหตุผลระบุในท้ายพระราช บัญญัติ ความว่า "เนื่องจากข้าวเป็นพืชที่มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อเศรษฐกิจไทย แต่ปัจจุบันหน่วยงานที่รับผิดชอบเกี่ยวกับเรื่องข้าวมีอยู่หลายหน่วยงานและ กระจัดกระจายอยู่ตามส่วนราชการต่างๆ ในกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ จึงสมควรให้มีการจัดตั้งกรมการข้าวขึ้น มีฐานะเป็นส่วนราชการระดับกรม เพื่อทำหน้าที่รับผิดชอบดูแลเรื่องข้าวโดยเฉพาะ ให้ครอบคลุมถึงการปรับปรุงพัฒนาการปลูกข้าวให้มีผลผลิตต่อพื้นที่และคุณภาพ สูงขึ้น การพัฒนาพันธุ์ การอนุรักษ์และคุ้มครองพันธุ์ การผลิตเมล็ดพันธุ์ การตรวจสอบรับรองมาตรฐาน การส่งเสริมและเผยแพร่เพื่อพัฒนาชาวนา การแปรรูปและการจัดการอื่นๆ เพื่อเพิ่มมูลค่าข้าว รวมทั้งการตลาด และการส่งเสริมวัฒนธรรมและภูมิปัญญาท้องถิ่นเกี่ยวกับข้าว จึงจำเป็นต้องตราพระราชบัญญัตินี้"

หน่วยงานในสังกัดกรมการข้าว มีจำนวน 6 หน่วยงาน แบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม คือ กลุ่มที่มีสำนักงานตั้งอยู่ที่สำนักงานกรมการข้าว อาคารส่งเสริมการเกษตรเบญจสิริกิติ์(อาคารของกรมส่งเสริมการเกษตร) ได้แก่ สำนักบริหารกลาง สำนักนโยบายและยุทธศาสตร์ข้าว สำนักเมล็ดพันธุ์ข้าว และสำนักส่งเสริมการผลิตข้าว ส่วนที่มีสำนักงานอยู่ที่อาคารสถาบันวิจัยข้าว และกลุ่มที่มีสำนักงานตั้งอยู่ที่ อาคารสถาบันวิจัยข้าว มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ได้แก่ สำนักวิจัยและพัฒนาข้าว และสำนักพัฒนาผลิตภัณฑ์ข้าว (ตั้งอยู่บริเวณสถานีทดลองข้าวบางเขนเดิม) ทั้งหมดอยู่ภายในบริเวณมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ แขวงลาดยาว เขตจตุจักร กรุงเทพมหานคร มีรายละเอียดเกี่ยวกับกรมการข้าวอีกมากมายให้ศึกษา เข้าไปดูได้ที่ www.ricethailand.go.th


วันที่ 10 พฤษภาคม พ.ศ. 2554 ปีที่ 21 ฉบับที่ 7467 ข่าวสดรายวัน


รัฐสวัสดิการ


รู้ไปโม้ด
nachart@yahoo.com



อยากทราบข้อมูลของคำว่ารัฐสวัสดิการ มีที่มาอย่างไร

manas

ตอบ manas


ดร.จตุรงค์ บุณยรัตนสุนทร มหา วิทยาลัยหัวเฉียวเฉลิมพระเกียรติ อธิบายไว้ว่า รัฐสวัสดิการ (Welfare State) ในความหมายรวบยอดหมายถึง รัฐหรือประเทศที่มีการจัดระบบสวัสดิการสังคมอย่างทั่วด้านให้แก่ทุกคนใน สังคมอย่างถ้วนหน้า (Welfare for All) สวัสดิการต่างๆ ที่จัดขึ้นนั้นดำเนินงานโดยรัฐทั้งหมด โดยรัฐสวัสดิการมีลักษณะทั่วไป 3 ประการ คือ 1.รัฐประกันรายได้ขั้นต่ำของทุกคนในสังคม โดยไม่คำนึงว่าคนๆ นั้นจะเป็นใคร ทำงานอะไร มีทรัพย์สินมากน้อยแค่ไหน 2.สร้างความมั่นคงในชีวิตให้แก่ทุกคน ทุกครัวเรือน โดยให้มีหลักประกันทางรายได้และอยู่รอดปลอดภัยจากภาวะวิกฤตต่างๆ 3.ให้พลเมืองทุกคน โดยไม่เลือกกลุ่มคน ชนชั้นและสถานภาพ ได้รับบริการสังคม (social service) อย่างเสมอหน้ากัน ด้วยมาตรฐานที่ดีที่สุดเท่าเทียมกัน


รัฐ สวัสดิการถูกสร้างสรรค์ขึ้นในช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่สอง ในประเทศอังกฤษ สวีเดน นอร์เวย์ เดนมาร์ก เนเธอร์แลนด์ เยอรมนี ด้วยนโยบายสังคมของพรรคแรงงาน พรรคสังคมประชาธิปไตย และพรรคสังคมนิยมในยุโรป เนื่องจากว่าพรรคเหล่านี้เป็นตัว แทนของคนชั้นล่างที่เป็นมนุษย์ค่าจ้าง และคนชั้นกลาง ซึ่งเป็นคนส่วนใหญ่ของสังคมอุตสาหกรรม พรรคเหล่านี้จึงมีนโยบายเก็บภาษีก้าวหน้า เก็บภาษีทรัพย์สินและภาษีมรดก เพื่อให้รัฐบาลมีรายได้มากๆ แล้วนำรายได้นั้นมาจัดสรรเป็นสวัสดิการสังคมอย่างทั่วถึง แต่นโยบายภาษีดังกล่าวกระทบต่อความมั่นคงของคนชั้นสูงและชนชั้นนายทุน นโยบายสร้างรัฐสวัสดิการจึงไม่สามารถเกิดขึ้นได้ในยุคที่อำนาจรัฐอยู่ภายใต้ การยึดครองของพรรคนายทุนหรือพรรคของพวกขุนนาง

รัฐสวัสดิการไม่ได้ เกิดขึ้นง่ายๆ ยกตัวอย่างสวีเดน มีสวัสดิการสังคมประเภทช่วยเหลือเฉพาะคนยากจน ตั้งแต่ ค.ศ.1847 กระแสสังคมนิยมกับการเกิดพรรคสังคมประชาธิปไตย ในปี 1889 ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในระบบสวัสดิการสังคมให้ครอบคลุมประชาชนมากขึ้น กระทั่ง ค.ศ.1930 มีการปฏิรูประบบสวัสดิการสังคมครั้งใหญ่ โดยมีการถกเถียงกันใน 2 เรื่อง คือ 1.จะเป็นสวัสดิการแบบถ้วนหน้า (จนหรือรวยได้รับสวัสดิการเหมือนกัน) หรือแบบให้เฉพาะคนจน (ต้องพิสูจน์ว่าจนถึงจะได้) และ 2.รัฐจะหาเงินจากไหนมาใช้จ่ายสวัสดิการสังคม จากรายได้ภาษีอากร หรือจากการสมทบเงินของผู้ได้ประโยชน์ (เช่นระบบประกันสังคมของไทยในปัจจุบัน)

ในที่สุดปี ค.ศ.1945 ได้มีการสำรวจประชามติ ซึ่งพบว่าคนส่วน ใหญ่ต้องการสวัสดิการสังคมแบบถ้วนหน้า และปีต่อมาก็เป็นจุดเปลี่ยนประเทศเข้าสู่รัฐสวัสดิการ แบบที่คนได้รับสวัสดิการสังคมถ้วนหน้า อย่างดีเท่าเทียมกัน โดยไม่ต้องสมทบเงิน เพราะรัฐใช้รายได้จากภาษีอากร (เก็บในอัตราที่สูง) พรรคสังคมประชาธิปไตยได้ครองความเป็นรัฐบาลตั้งแต่ปี ค.ศ.1936 ถึง 1976 โดยไม่มีพรรคอื่นมาคั่นกลาง

ส่วนอังกฤษ หลังจากเปลี่ยนไปเปลี่ยนมาระหว่างแบบถ้วนหน้าไม่สมทบเงิน กับแบบสมทบเงิน ช่วงก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2 ในที่สุดก็สรุปว่า รัฐและประชาชนต้องร่วมกันรับผิดชอบสวัสดิการสังคม โดยรัฐช่วยจัดการให้มีสวัสดิการขั้นต่ำอัตราเดียว ประชาชนร่วมกันลงขันแบบอัตราเดียว ถ้าใครต้องการมีกินมีใช้มากกว่าขั้นต่ำก็ต้องช่วยตัวเอง แต่ถ้าเป็นคนจนรัฐก็ช่วยเหลือเพิ่มเติมแบบให้เปล่า อย่างไรก็ตาม รัฐบาลซึ่งมาจากพรรคอนุรักษนิยมกลับประกาศว่าจะยังไม่ดำเนินการตามแนวทางนี้ จนกระทั่งการเลือกตั้ง ค.ศ.1945 พรรคแรงงานชนะการเลือกตั้ง จึงได้ออกกฎหมายเกี่ยวกับสวัสดิการสังคมทั้งหมด 8 ฉบับ ให้สวัสดิการประชาชนตั้งแต่เกิดจนตาย