วันที่ 10 พฤษภาคม พ.ศ. 2554 ปีที่ 21 ฉบับที่ 7467 ข่าวสดรายวัน รัฐสวัสดิการ รู้ไปโม้ด nachart@yahoo.com manas ตอบ manas ดร.จตุรงค์ บุณยรัตนสุนทร มหา วิทยาลัยหัวเฉียวเฉลิมพระเกียรติ อธิบายไว้ว่า รัฐสวัสดิการ (Welfare State) ในความหมายรวบยอดหมายถึง รัฐหรือประเทศที่มีการจัดระบบสวัสดิการสังคมอย่างทั่วด้านให้แก่ทุกคนใน สังคมอย่างถ้วนหน้า (Welfare for All) สวัสดิการต่างๆ ที่จัดขึ้นนั้นดำเนินงานโดยรัฐทั้งหมด โดยรัฐสวัสดิการมีลักษณะทั่วไป 3 ประการ คือ 1.รัฐประกันรายได้ขั้นต่ำของทุกคนในสังคม โดยไม่คำนึงว่าคนๆ นั้นจะเป็นใคร ทำงานอะไร มีทรัพย์สินมากน้อยแค่ไหน 2.สร้างความมั่นคงในชีวิตให้แก่ทุกคน ทุกครัวเรือน โดยให้มีหลักประกันทางรายได้และอยู่รอดปลอดภัยจากภาวะวิกฤตต่างๆ 3.ให้พลเมืองทุกคน โดยไม่เลือกกลุ่มคน ชนชั้นและสถานภาพ ได้รับบริการสังคม (social service) อย่างเสมอหน้ากัน ด้วยมาตรฐานที่ดีที่สุดเท่าเทียมกัน รัฐ สวัสดิการถูกสร้างสรรค์ขึ้นในช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่สอง ในประเทศอังกฤษ สวีเดน นอร์เวย์ เดนมาร์ก เนเธอร์แลนด์ เยอรมนี ด้วยนโยบายสังคมของพรรคแรงงาน พรรคสังคมประชาธิปไตย และพรรคสังคมนิยมในยุโรป เนื่องจากว่าพรรคเหล่านี้เป็นตัว แทนของคนชั้นล่างที่เป็นมนุษย์ค่าจ้าง และคนชั้นกลาง ซึ่งเป็นคนส่วนใหญ่ของสังคมอุตสาหกรรม พรรคเหล่านี้จึงมีนโยบายเก็บภาษีก้าวหน้า เก็บภาษีทรัพย์สินและภาษีมรดก เพื่อให้รัฐบาลมีรายได้มากๆ แล้วนำรายได้นั้นมาจัดสรรเป็นสวัสดิการสังคมอย่างทั่วถึง แต่นโยบายภาษีดังกล่าวกระทบต่อความมั่นคงของคนชั้นสูงและชนชั้นนายทุน นโยบายสร้างรัฐสวัสดิการจึงไม่สามารถเกิดขึ้นได้ในยุคที่อำนาจรัฐอยู่ภายใต้ การยึดครองของพรรคนายทุนหรือพรรคของพวกขุนนาง รัฐสวัสดิการไม่ได้ เกิดขึ้นง่ายๆ ยกตัวอย่างสวีเดน มีสวัสดิการสังคมประเภทช่วยเหลือเฉพาะคนยากจน ตั้งแต่ ค.ศ.1847 กระแสสังคมนิยมกับการเกิดพรรคสังคมประชาธิปไตย ในปี 1889 ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในระบบสวัสดิการสังคมให้ครอบคลุมประชาชนมากขึ้น กระทั่ง ค.ศ.1930 มีการปฏิรูประบบสวัสดิการสังคมครั้งใหญ่ โดยมีการถกเถียงกันใน 2 เรื่อง คือ 1.จะเป็นสวัสดิการแบบถ้วนหน้า (จนหรือรวยได้รับสวัสดิการเหมือนกัน) หรือแบบให้เฉพาะคนจน (ต้องพิสูจน์ว่าจนถึงจะได้) และ 2.รัฐจะหาเงินจากไหนมาใช้จ่ายสวัสดิการสังคม จากรายได้ภาษีอากร หรือจากการสมทบเงินของผู้ได้ประโยชน์ (เช่นระบบประกันสังคมของไทยในปัจจุบัน) ในที่สุดปี ค.ศ.1945 ได้มีการสำรวจประชามติ ซึ่งพบว่าคนส่วน ใหญ่ต้องการสวัสดิการสังคมแบบถ้วนหน้า และปีต่อมาก็เป็นจุดเปลี่ยนประเทศเข้าสู่รัฐสวัสดิการ แบบที่คนได้รับสวัสดิการสังคมถ้วนหน้า อย่างดีเท่าเทียมกัน โดยไม่ต้องสมทบเงิน เพราะรัฐใช้รายได้จากภาษีอากร (เก็บในอัตราที่สูง) พรรคสังคมประชาธิปไตยได้ครองความเป็นรัฐบาลตั้งแต่ปี ค.ศ.1936 ถึง 1976 โดยไม่มีพรรคอื่นมาคั่นกลาง ส่วนอังกฤษ หลังจากเปลี่ยนไปเปลี่ยนมาระหว่างแบบถ้วนหน้าไม่สมทบเงิน กับแบบสมทบเงิน ช่วงก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2 ในที่สุดก็สรุปว่า รัฐและประชาชนต้องร่วมกันรับผิดชอบสวัสดิการสังคม โดยรัฐช่วยจัดการให้มีสวัสดิการขั้นต่ำอัตราเดียว ประชาชนร่วมกันลงขันแบบอัตราเดียว ถ้าใครต้องการมีกินมีใช้มากกว่าขั้นต่ำก็ต้องช่วยตัวเอง แต่ถ้าเป็นคนจนรัฐก็ช่วยเหลือเพิ่มเติมแบบให้เปล่า อย่างไรก็ตาม รัฐบาลซึ่งมาจากพรรคอนุรักษนิยมกลับประกาศว่าจะยังไม่ดำเนินการตามแนวทางนี้ จนกระทั่งการเลือกตั้ง ค.ศ.1945 พรรคแรงงานชนะการเลือกตั้ง จึงได้ออกกฎหมายเกี่ยวกับสวัสดิการสังคมทั้งหมด 8 ฉบับ ให้สวัสดิการประชาชนตั้งแต่เกิดจนตาย |
homeowners insurance Claim
home insurance Claim
state farm car insurance Claim
comprehensive insurance Claim
commercial insurance Claim
cheap auto insurance Claim
cheap health insurance Claim
indemnity Claim
car insurance companies Claim
progressive quote Claim
usaa car insurance Claim
insurance near me Claim
term life insurance Claim
auto insurance near me Claim
state farm car insurance Claim
comprehensive insurance Claim
progressive home insurance Claim
house insurance Claim
progressive renters insurance Claim
state farm insurance quote Claim
metlife auto insurance Claim
best insurance companies Claim
progressive auto insurance quote Claim
cheap car insurance quotes Claim
allstate car insurance Claim
rental car insurance Claim
car insurance online Claim
liberty mutual car insurance Claim
cheap car insurance near me Claim
best auto insurance Claim
home insurance companies Claim
usaa home insurance Claim
list of car insurance companies Claim
full coverage insurance Claim
allstate insurance near me Claim
cheap insurance quotes Claim
national insurance Claim
progressive home insurance Claim
house insurance Claim
health insurance quotes Claim
ameritas dental Claim
state farm renters insurance Claim
medicare supplement plans Claim
progressive renters insurance Claim
aetna providers Claim
title insurance Claim
sr22 insurance Claim
medicare advantage plans Claim
aetna health insurance Claim
ambetter insurance Claim
umr insurance Claim
massmutual 401k Claim
private health insurance Claim
assurant renters insurance Claim
assurant insurance Claim
dental insurance plans Claim
state farm insurance quote Claim
health insurance plans Claim
workers compensation insurance Claim
geha dental Claim
metlife auto insurance Claim
boat insurance Claim
aarp insurance Claim
costco insurance Claim
flood insurance Claim
best insurance companies Claim
cheap car insurance quotes Claim
best travel insurance Claim
insurance agents near me Claim
car insurance Claim
car insurance quotes Claim
auto insurance Claim
auto insurance quotes Claim
long term care insurance Claim
auto insurance companies Claim
home insurance quotes Claim
cheap car insurance quotes Claim
affordable car insurance Claim
professional liability insurance Claim
cheap car insurance near me Claim
small business insurance Claim
vehicle insurance Claim
best auto insurance Claim
full coverage insurance Claim
motorcycle insurance quote Claim
homeowners insurance quote Claim
errors and omissions insurance Claim
general liability insurance Claim
best renters insurance Claim
cheap home insurance Claim
cheap insurance near me Claim
cheap full coverage insurance Claim
cheap life insurance Claim
วันที่ 09 พฤษภาคม พ.ศ. 2554 ปีที่ 21 ฉบับที่ 7466 ข่าวสดรายวัน เครื่องเคลือบดินเผาแห่งจิ่งเต๋อเจิ้น รู้ไปโม้ด nachart@yahoo.com พจน์ ตอบ พจน์ ข้อ มูลจากเว็บไซต์ของ China Radio International (CRI) มีรายละเอียดเกี่ยวกับเครื่องเคลือบดินเผา หรือกังไสแห่งแผ่นดินจีน สรุปความได้ว่า เมืองจิ่งเต๋อเจิ้นเป็นแหล่งผลิตเครื่องเคลือบดินเผามาแต่ดั้งเดิมของจีน ผลิตกันมาตั้งแต่สมัยราชวงศ์ถัง (พ.ศ. 1161-1450) และที่สุดเฟื่องฟูยิ่งในสมัยราชวงศ์ซ่ง หรือราชวงศ์ซ้อง (พ.ศ.1503-1822) โดยเครื่องถ้วยชามที่ใช้กันในพระราชสำนักต้องสั่งซื้อจากจิ่งเต๋อเจิ้นเท่า นั้น ซึ่งมีผู้เปรียบเทียบว่าเครื่องเคลือบของจิ่งเต๋อเจิ้นนั้น "ขาวราวหยก ใสดังกระจก บางเหมือนกระดาษ เสียงดุจเคาะหิน" ในอดีต จิ่งเต๋อเจิ้นเป็นตำบลเล็กๆ มีชื่อเรียก "ชางหนาน" กระทั่งพ.ศ.1547 จักรพรรดิเจินจงแห่งราชวงศ์ซ้องเหนือสั่งให้เปิดศูนย์การค้าผลิตภัณฑ์ เครื่องเคลือบดินเผาขึ้นที่ตำบลนี้ ได้ทรงลายลักษณ์อักษรคําว่า "ผลิตในปีรัชสมัยจิ่งเต๋อ" ซึ่งเป็นนามรัชสมัยของพระองค์ไว้ใต้เครื่องเคลือบดังกล่าว และพระราชทานคําว่า จิ่งเต๋อ ให้เป็นชื่อเมืองด้วย นับจากนั้นมาเมืองนี้ก็ได้เปลี่ยนชื่อเป็น จิ่งเต๋อเจิ้น (เจิ้น แปลว่า ตำบล) ทั้งนี้ เพราะเนื้อดินในเขต จิ่งเต๋อเจิ้นเป็นดินคุณภาพดี เหมาะสำหรับทำเป็นเครื่องเคลือบ เมื่อพ.ศ.2412 ริชโธเฟน นักธรณีวิทยาชาวเยอรมันไปสำรวจ ที่จิ่งเต๋อเจิ้น เขาระบุว่า ดินเกาลิน (kaolin) มาจากเนินเขากาวหลิ่งบริเวณเมืองจิ่งเต๋อเจิ้น เป็นดินผสมดินข้าวเจ้ากับดินข้าวเหนียว ซึ่งเป็นวัตถุดิบที่สำคัญที่สุดในการทำเครื่องเคลือบดินเผา ดินเกาลิน เป็นชื่อดินทางวิชาการตามมาตรฐานสากล (หรือ China Clay หรือ ดินขาว เกิดจากการแปรสภาพของหินแกรนิตเป็นหินฟันม้า มีความบริสุทธิ์สูง เนื้อดินหยาบ สีขาวหม่น มีความเหนียวน้อย หดตัวน้อย ทนความร้อนได้สูง) ซึ่งตั้งแต่สมัยราชวงศ์ซ้องเหนือดังกล่าวที่เครื่องเคลือบดินเผาของจิ่งเต๋อ เจิ้นส่งออกไปยังญี่ปุ่น เกาหลี เวียดนาม เอเชียอาคเนย์ ตะวันออกกลาง และผ่านกลุ่มประเทศอาหรับไปยังยุโรป เครื่องเคลือบแต่ละชิ้นมีลายพิมพ์สถานที่ผลิตว่า ชางหนาน ภาษาอังกฤษเขียน China ภาษาฝรั่งเศสเขียน Chine แต่ออกเสียงเป็น China เหมือนกัน และนั่นคือที่มาของชื่อประเทศจีนที่ภาษาฝรั่งเรียก ไชน่า อันหมายถึงเครื่องถ้วยชามที่มาจากเมืองจีน และนับแต่นั้น จิ่งเต๋อเจิ้นก็กลายเป็นศูนย์กลางการผลิตและจำหน่ายเครื่องเคลือบดินเผาที่ มีชื่อเสียงที่สุดในจีนและในโลกจิ่งเต๋อเจิ้นตั้งอยู่ทางตะวันออกเฉียงเหนือ ของมณฑลเจียงซี ภาคกลางของจีน ซึ่งทุกวันนี้ชาวพื้นเมืองส่วนใหญ่ยังสืบทอดหัตถกรรมเครื่องเคลือบจาก บรรพบุรุษอย่างเหนียวแน่น และยังดำรงชื่อเสียงมาจนปัจจุบัน เครื่อง เคลือบดินเผาที่มีลายครามสวย งามของเมืองจิ่งเต๋อ เจิ้นมีอายุยาวนานกว่าพันปี เป็นผลงานอันชาวเมืองและชาวจีนภาคภูมิใจยิ่ง โดยสะท้อนผ่านการตกแต่งเมืองด้วยเครื่องเคลือบดินเผาในแทบทุกจุดของเมือง ไม่ว่าจะเป็นถนนหนทาง กำแพง สองข้างทาง โคมไฟ รูปปั้น ประติมากรรม และจิตรกรรมฝาผนัง ดูสวยงามไปทั้งเมือง โดยเฉพาะมังกรขนาดยักษ์ทำด้วยเครื่องเคลือบดินเผาสีสันสวยงาม แวววาว ตระหง่านอยู่ที่ใจกลางเมือง ที่สำคัญยังมีพิพิธภัณฑ์เครื่อง เคลือบดินเผา สถานที่ให้ความรู้เกี่ยวกับประวัติความเป็นมาของเครื่องเคลือบดินเผาและขั้น ตอนการผลิต ตั้งแต่การนวดดิน วิธีปั้น การออกแบบแม่พิมพ์ ฝีมือลงสีลวดลาย การควบคุมความร้อนของไฟ ซึ่งแต่ละขั้นตอนต้องมีเทคนิคและเคล็ดลับในการทำถ้วย โถ โอ ชาม จาน ช้อน ไห ตั้งแต่สมัยโบราณจวบจนปัจจุบัน เหนืออื่นใด ในพิพิธภัณฑ์ยังมีการแสดงดนตรีคลาสสิคที่บรรเลงด้วยเครื่องดนตรีซึ่งทุกชิ้น ทำจากเครื่องเคลือบดินเผาแห่งจิ่งเต๋อเจิ้น |
วันที่ 05 พฤษภาคม พ.ศ. 2554 ปีที่ 21 ฉบับที่ 7462 ข่าวสดรายวัน เค้กแต่งงาน คอลัมน์ รู้ไปโม้ด น้าชาติ ประชาชื่น nachart@yahoo.com งานเสกสมรสระหว่างเจ้าชายวิลเลียมกับ น.ส.เคต มิดเดิลตัน มีการตัดเค้กแต่งงานด้วย อยากรู้ว่าเค้กแต่งงานมีมาตั้งแต่เมื่อไหร่คะ จาก มินนี่ ตอบ มินนี่ "เค้ก แต่งงาน" เริ่มขึ้นในคริสต์ศตวรรษที่ 12-15 ในสมัยโรมัน ในยุคนั้นไม่มีการทำเค้กอลังการตามแบบที่เห็นกันในปัจจุบัน ผู้ร่วมงานจะบิขนม ปังออกเหนือศีรษะ ตามความเชื่อที่ว่าจะนำโชคมาให้คู่บ่าวสาวใหม่ บางครั้งก็จะโปรยบนศีรษะของเจ้าสาวด้วย แต่โดยปกติแล้วจะทำบนศีรษะของเจ้าบ่าวเป็นส่วนใหญ่ โดยเค้กจะวางบนพื้น แทนความโชคดีและอุดมสมบูรณ์ บางครั้งก็หมายถึงความโชคดีของแขกที่มาในงานแต่งงาน ในยุคกลาง เค้กแต่งงานค่อนข้างเรียบง่าย มีเพียงบิสกิตกับ ขนมสโคน แขกที่มางานจะนำเค้กก้อนเล็กๆ มามอบให้คู่บ่าวสาว และเมื่อมากเข้าก็นำมาวางเรียงสูงขึ้นๆ โดยที่คู่บ่าวสาวจะต้องจูบกันเหนือกองตั้งเค้กกองนั้น ตามความเชื่อที่ว่าจะนำความโชคดีให้กับชีวิตสมรสใหม่ของทั้งคู่ ต่อ มาในคริสต�ศตวรรษที่ 17 เป็นจุดเริ่มต้นของเค้กแต่งงาน รูปแบบใหม่ที่หน้าตาคล้ายกับเค้กแต่งงานในปัจจุบัน เนื่องจากช่างทำขนมปังชาวฝรั่งเศสอบขนมปังเป็นก้อนโรยด้วยน้ำตาลไอซิ่ง และยังนิยมวางเค้กเป็นชั้นๆ ตกแต่งหน้าเค้กด้วยน้ำตาล เค้กแต่งงาน ส่วนใหญ่มีขนาดใหญ่ เรียงเป็นชั้นๆ ตกแต่งอย่างสวยสดงดงามด้วยครีมและน้ำตาลแต่งหน้าเค้ก ส่วนยอดของขนมเค้กนั้นมักประดับด้วยตุ๊กตาแทนตัวบ่าวสาว หรืออาจใช้เป็นรูปนก รูปแหวนทอง หรือรูปเกือกม้า สิ่งต่างๆ เหล่านี้เป็นสัญลักษณ์ของความโชคดีและความเจริญรุ่งเรืองสำหรับคู่บ่าวสาว เนื้อ เค้กแต่งงานที่ดีจะต้องมีเนื้อแน่นเพื่อรองรับน้ำหนักของชั้นเค้กที่ตกแต่ง อย่างสวยงาม ที่สำคัญยังต้องรับประทานได้และอร่อยด้วย ซึ่งต้องอาศัยทักษะและประสบการณ์ของพ่อครัวเป็นสำคัญ การตัดเค้กมี ขั้นตอน เจ้าสาวจะตัดเค้กสองชิ้นแรกโดยเจ้าบ่าววางมือของเขาบนมือเจ้าสาว จากนั้นเจ้าบ่าวจะป้อนเค้กชิ้นแรกให้เจ้าสาว และเจ้าสาวจะป้อนเค้กชิ้นที่สองให้เจ้าบ่าว เป็นการสื่อว่าทั้งคู่จะเกื้อกูลซึ่งกันและกัน หลังตัดเค้กแต่งงาน เป็น ชิ้นๆแล้ว ฝ่ายบ่าวสาวจะแบ่งเค้กเหล่านั้นให้ผู้ที่มาร่วมพิธีได้รับประทานกัน ซึ่งอาจจะรับประทานเลยหรือนำกลับบ้านไปฝากบุคคลที่ไม่ได้มาร่วมงานก็ได้ ใน ประเพณีโบราณ เชื่อว่าหากเพื่อนเจ้าสาวคนไหนอยากฝันเห็นเนื้อคู่ของตนในอนาคต ให้นำเค้กแต่งงานไปไว้ใต้หมอนหรือข้างหมอนแล้วนอนหลับ สาวคนนั้นจะฝันเห็นคู่ชีวิตของตน เค้กแต่งงานบางส่วนจะเก็บรักษาไว้ รับประทานในวันฉลองครบรอบแต่งงานในปีถัดๆ ไป บางส่วนใช้ฉลองในวันที่คลอดลูกคนแรก แต่โดยส่วนใหญ่จะใช้ในพิธีตั้งชื่อบุตรตามหลักคริสต์ศาสนา ส่วนใหญ่จะเก็บชั้นบนสุดของเค้กที่มักจะตกแต่งด้วย ผลไม้ซึ่งสามารถเก็บรักษาเอาไว้ได้เป็นระยะเวลานานด้วยการแช่แข็ง |
มาชูปิกชู อินคา
คอลัมน์ รู้ไปโม้ด
น้าชาติ ประชาชื่น nachart@yahoo.com
ถึง น้าชาติ
เคยได้ยินชื่อมาชูปิกชูมานานแล้ว เห็นรูปแล้วอยากไปมากและอยากรู้ประวัติด้วยค่ะ
จาก น้องแป้ง
ตอบ น้องแป้ง
มา ชูปิกชู (Machu Picchu) หรือเมืองสาบสูญแห่งอินคา เป็นซากอารยธรรมโบราณของชาวอินคา ตั้งอยู่บนยอดของทิวเขามาชูปิกชู ในประเทศเปรู ที่ความสูง 2,350 เมตรเหนือระดับน้ำทะเล องค์การการศึกษา วิทยาศาสตร์ และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ หรือยูเนสโก ขึ้นทะเบียนมาชูปิกชูให้เป็นมรดกโลกในปี 2526 โดยยกย่องให้เป็น "สถาปัตยกรรมชั้นยอดหนึ่งเดียวของชาวอินคา"
ต่อมาในปี 2550 มาชูปิกชูได้รับเลือกให้เป็น 1 ใน 7 สิ่งมหัศจรรย์ของโลกยุคใหม่จากการลงคะแนนทั่วโลกทั้งทางอินเตอร์เน็ตและ โทรศัพท์มือถือ
มาชูปิกชูน่าจะสร้างขึ้นเมื่อคริสต์ศตวรรษที่ 15 โดยจักรพรรดิปาชากูตีของชาวอินคาในสมัยที่จักรวรรดิอินคารุ่งเรือง ครอบคลุมพื้นที่ 326 ตารางกิโลเมตร แต่ไม่มีใครรู้ถึงสาเหตุแท้จริงที่ทำให้ชาวอินคาละทิ้งมาชูปิกชูจนกลายเป็น เมืองร้าง นอกจากข้อสันนิษฐานว่าอาจเกิดโรคระบาดร้ายแรง เช่น ฝีดาษ จนต้องปิดเมืองถาวร แต่ไม่ได้มาจากการที่สเปนรุกรานอย่างแน่นอน เพราะมาชูปิกชูเป็นเมืองร้างก่อนหน้าที่ชาวสเปนจะรุกรานเปรูนับร้อยปี
ภาย หลังจักรวรรดิของชาวอินคาล่มสลายไปแล้ว 400 ปี นายฮิแรม บิงแฮม นักโบราณคดีชาวอเมริกันจากมหาวิทยาลัยเยล ค้นพบมาชูปิกชูโดยบังเอิญในปี 2454 เพราะชาวนาคนหนึ่งเล่าให้ฟังว่ามีซากเมืองโบราณอยู่บนภูเขาที่เรียกว่ามาชู ปิกชู (แปลว่ายอดเขาเก่า) เมื่อบุกป่ารกไปถึงยอดเขาก็เห็นที่ราบโล่งเตียนยาวหลายร้อยเมตร สุดทางมีกำแพงหินแกรนิตสีขาว มีวัชพืชขึ้นคลุมมิดและพบสิ่งก่อสร้างด้วยหินสวยงามประณีตมาก ทำให้คณะสำรวจแปลกใจมาก เพราะในยุคนั้นมนุษย์ยังไม่รู้จักเครื่องมือที่ทำด้วยเหล็ก แรง งานสัตว์ชักลากหรือแม้ แต่ล้อทุ่นแรง
สิ่งก่อสร้างรูปจัตุรัสซ้อน กันหลายชั้น มีทั้งโรงอาบน้ำ ลานกว้าง ท่อส่งน้ำ บ้านเรือน วัง และหมู่วิหาร อาคารต่างๆ สร้างขึ้นด้วยหินแกรนิตก้อนมหึมาโดยไม่ได้โบกปูน แต่ก้อนหินเหล่านี้ต่อเข้ากันได้พอดี แม้แต่ใบมีดก็แทรกผ่านเข้าไปไม่ได้ แต่ไม่พังลงมาแม้มาชูปิกชูตั้งอยู่บนเทือกเขาแอนดิสที่เสี่ยงต่อการเกิดแผ่น ดินไหวก็ตาม
ปี 2550 ดร.จอห์น เรนฮาร์ด นักโบราณคดีชาวอเมริกันสันนิษ ฐานว่าชาวอินคาคงสร้างมาชูปิกชูเพื่อเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ มีทำเลเหมาะกับการเป็นศาสนสถาน เพราะมีภูเขาล้อมรอบและมีแม่น้ำอารูบัมบาไหลผ่าน อีกทั้งตั้งอยู่บนหน้าผาที่ดิ่งชันสูงถึง 600 เมตรจากฐานที่เป็นแม่น้ำอารูบัมบา นับเป็นยุทธศาสตร์ทางทหารที่ดีเยี่ยม เพราะหน้าผาสูงชันเป็นปราการป้องกันตามธรรมชาติได้อย่างดี
มาชูปิกชู แบ่งออกเป็น 2 ส่วนใหญ่ คือ ส่วนเมืองและส่วนเกษตรกรรม คาดว่ามีประชากรอาศัยประมาณ 1 พันคน มีโครงสร้างชนชั้นทางสังคม มีทั้งนักบวช ขุนนาง และกรรมกร ที่พักและที่ทำ งานของพวกขุนนางจะอยู่บนพื้นที่ที่สูงกว่าส่วนบ้านเรือนของชาวบ้าน
ด้าน ทิศตะวันตกของเมืองเป็นที่ตั้งของอินติอัวตานา หมายถึงเสาพันธนาการพระอาทิตย์ เป็นยกพื้นเตี้ยสร้างขึ้นง่ายๆ โดยมีเสาหินตั้งอยู่ มีวิหารสองหลังอยู่เบื้องหน้าอินติอัวตานา คือ วิหารตรีบัญชร และวิหารใหญ่ ที่สร้างขึ้นแบบง่ายๆ และไม่มีหลังคาคลุมเพื่อให้นักบวชเฝ้ามองสวรรค์ได้ตลอดเวลา
คอลัมน์ รู้ไปโม้ด
น้าชาติ ประชาชื่น nachart@yahoo.com
เคยได้ยินชื่อมาชูปิกชูมานานแล้ว เห็นรูปแล้วอยากไปมากและอยากรู้ประวัติด้วยค่ะ
จาก น้องแป้ง
ตอบ น้องแป้ง
มา ชูปิกชู (Machu Picchu) หรือเมืองสาบสูญแห่งอินคา เป็นซากอารยธรรมโบราณของชาวอินคา ตั้งอยู่บนยอดของทิวเขามาชูปิกชู ในประเทศเปรู ที่ความสูง 2,350 เมตรเหนือระดับน้ำทะเล องค์การการศึกษา วิทยาศาสตร์ และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ หรือยูเนสโก ขึ้นทะเบียนมาชูปิกชูให้เป็นมรดกโลกในปี 2526 โดยยกย่องให้เป็น "สถาปัตยกรรมชั้นยอดหนึ่งเดียวของชาวอินคา"
ต่อมาในปี 2550 มาชูปิกชูได้รับเลือกให้เป็น 1 ใน 7 สิ่งมหัศจรรย์ของโลกยุคใหม่จากการลงคะแนนทั่วโลกทั้งทางอินเตอร์เน็ตและ โทรศัพท์มือถือ
มาชูปิกชูน่าจะสร้างขึ้นเมื่อคริสต์ศตวรรษที่ 15 โดยจักรพรรดิปาชากูตีของชาวอินคาในสมัยที่จักรวรรดิอินคารุ่งเรือง ครอบคลุมพื้นที่ 326 ตารางกิโลเมตร แต่ไม่มีใครรู้ถึงสาเหตุแท้จริงที่ทำให้ชาวอินคาละทิ้งมาชูปิกชูจนกลายเป็น เมืองร้าง นอกจากข้อสันนิษฐานว่าอาจเกิดโรคระบาดร้ายแรง เช่น ฝีดาษ จนต้องปิดเมืองถาวร แต่ไม่ได้มาจากการที่สเปนรุกรานอย่างแน่นอน เพราะมาชูปิกชูเป็นเมืองร้างก่อนหน้าที่ชาวสเปนจะรุกรานเปรูนับร้อยปี
ภาย หลังจักรวรรดิของชาวอินคาล่มสลายไปแล้ว 400 ปี นายฮิแรม บิงแฮม นักโบราณคดีชาวอเมริกันจากมหาวิทยาลัยเยล ค้นพบมาชูปิกชูโดยบังเอิญในปี 2454 เพราะชาวนาคนหนึ่งเล่าให้ฟังว่ามีซากเมืองโบราณอยู่บนภูเขาที่เรียกว่ามาชู ปิกชู (แปลว่ายอดเขาเก่า) เมื่อบุกป่ารกไปถึงยอดเขาก็เห็นที่ราบโล่งเตียนยาวหลายร้อยเมตร สุดทางมีกำแพงหินแกรนิตสีขาว มีวัชพืชขึ้นคลุมมิดและพบสิ่งก่อสร้างด้วยหินสวยงามประณีตมาก ทำให้คณะสำรวจแปลกใจมาก เพราะในยุคนั้นมนุษย์ยังไม่รู้จักเครื่องมือที่ทำด้วยเหล็ก แรง งานสัตว์ชักลากหรือแม้ แต่ล้อทุ่นแรง
สิ่งก่อสร้างรูปจัตุรัสซ้อน กันหลายชั้น มีทั้งโรงอาบน้ำ ลานกว้าง ท่อส่งน้ำ บ้านเรือน วัง และหมู่วิหาร อาคารต่างๆ สร้างขึ้นด้วยหินแกรนิตก้อนมหึมาโดยไม่ได้โบกปูน แต่ก้อนหินเหล่านี้ต่อเข้ากันได้พอดี แม้แต่ใบมีดก็แทรกผ่านเข้าไปไม่ได้ แต่ไม่พังลงมาแม้มาชูปิกชูตั้งอยู่บนเทือกเขาแอนดิสที่เสี่ยงต่อการเกิดแผ่น ดินไหวก็ตาม
ปี 2550 ดร.จอห์น เรนฮาร์ด นักโบราณคดีชาวอเมริกันสันนิษ ฐานว่าชาวอินคาคงสร้างมาชูปิกชูเพื่อเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ มีทำเลเหมาะกับการเป็นศาสนสถาน เพราะมีภูเขาล้อมรอบและมีแม่น้ำอารูบัมบาไหลผ่าน อีกทั้งตั้งอยู่บนหน้าผาที่ดิ่งชันสูงถึง 600 เมตรจากฐานที่เป็นแม่น้ำอารูบัมบา นับเป็นยุทธศาสตร์ทางทหารที่ดีเยี่ยม เพราะหน้าผาสูงชันเป็นปราการป้องกันตามธรรมชาติได้อย่างดี
มาชูปิกชู แบ่งออกเป็น 2 ส่วนใหญ่ คือ ส่วนเมืองและส่วนเกษตรกรรม คาดว่ามีประชากรอาศัยประมาณ 1 พันคน มีโครงสร้างชนชั้นทางสังคม มีทั้งนักบวช ขุนนาง และกรรมกร ที่พักและที่ทำ งานของพวกขุนนางจะอยู่บนพื้นที่ที่สูงกว่าส่วนบ้านเรือนของชาวบ้าน
ด้าน ทิศตะวันตกของเมืองเป็นที่ตั้งของอินติอัวตานา หมายถึงเสาพันธนาการพระอาทิตย์ เป็นยกพื้นเตี้ยสร้างขึ้นง่ายๆ โดยมีเสาหินตั้งอยู่ มีวิหารสองหลังอยู่เบื้องหน้าอินติอัวตานา คือ วิหารตรีบัญชร และวิหารใหญ่ ที่สร้างขึ้นแบบง่ายๆ และไม่มีหลังคาคลุมเพื่อให้นักบวชเฝ้ามองสวรรค์ได้ตลอดเวลา
วันที่ 12 พฤษภาคม พ.ศ. 2554 ปีที่ 21 ฉบับที่ 7469 ข่าวสดรายวัน เกอิชา คอลัมน์ รู้ไปโม้ด น้าชาติ ประชาชื่น nachart@yahoo.com อยากรู้จัก "เกอิชา" ค่ะ ทราบมาว่ากว่าจะเป็นเกอิชาได้นั้นยากมาก น้าช่วยหาคำตอบให้หน่อยค่ะ จาก มิ้งค์ ตอบ มิ้งค์ เกอิชา หญิงสาวผู้ทรงความงามอันเป็นเอกลักษณ์ของญี่ปุ่นนี้ คือผู้สืบทอดศิลปะโบราณของญี่ปุ่น เพื่อให้ความบันเทิงและสนทนาพูดคุยกับแขก คำว่า เกอิชา แปลตรงตัวว่า ผู้มีศิลปะ มาจากคำว่า เกอิ ที่แปลว่า ศิลปะ ผสมกับคำว่า ชา ที่แปลว่า บุคคล หากออกเสียงให้เหมือนญี่ปุ่นต้องออกเสียงว่า เกฉะ เนื่องจากเกอิชาต้องรู้ศิลปะทุกแขนง ทั้งการร่ายรำ การดนตรี ขนบประเพณีที่งดงาม เช่น พิธีชงชา การจัดดอกไม้ นอก จากนี้ยังต้องรู้จักมารยาท ต้องสำรวมกาย วาจา ใจ เพื่อให้รู้จักอดทนอดกลั้น เมื่อต้องรับแขกที่ไม่ดีก็จะสามารถรับมือได้อย่างมีสติ สิ่ง สำคัญที่สุดของการเป็นเกอิชาและถือเป็นจรรยาบรรณ คือการเก็บความลับ เพราะเมื่อสนทนากับแขก แขกอาจพูดเรื่องส่วนตัว เรื่องการเมือง หรือธุรกิจ กว่า จะเป็นเกอิชาได้ ต้องผ่านการฝึกฝนอย่างหนักตั้งแต่เด็ก โดยมากมักเป็นเด็กยากจนที่ถูกขายและต้องตัดขาดจากครอบครัว เมื่อเข้าสำนักเกอิชา จะมีสถานะเป็น ชิโคะมิ หรือคนรับใช้และเรียกเจ้าสำนักว่า โอคาซัง หรือคุณแม่ โดยต้องคอยทำงานบ้านและปรนนิบัติเกอิชารุ่นพี่ พร้อมกับแบ่งเวลาเรียนดนตรีและการร่ายรำ ในช่วงวัยสาวรุ่น จะเรียกว่า ไมโกะ หรืออยู่ในฐานะเกอิชาฝึกหัด จะแต่งตัวด้วยกิโมโนแขนยาวสีสันสวยงาม เกล้าผมแบบลูกท้อผ่าครึ่ง มีพี่เลี้ยงคอยดูแลและแนะนำทุกเรื่อง เมื่อข้ามพ้นการเป็นไมโกะ หรือเกอิชาฝึกหัด เมื่ออายุราว 21 ปี จะเปลี่ยนวิธีการแต่งตัวใหม่โดยดันคอเสื้อตัวในซึ่งเป็นสีขาวเข้าไปเพื่อเผย ให้เห็นส่วนสีแดงของเสื้อตัวในนิดหน่อย และสวมกิโมโนที่มีแขนสั้นขึ้นเพื่อแสดงถึงความเป็นผู้ใหญ่ ชุด กิโมโนของเกอิชาทำมาจากผ้าไหมชั้นดี แต่ละคนมีประมาณ 20 ตัว เพื่อให้เลือกใส่ได้ตามโอกาสและประเพณี เกอิชาไม่สวมชุดชั้นในเพื่อป้องกันไม่ให้ชุดชั้นในเกี่ยวรั้งกับผ้าไหม และคาดโอบิเป็นผ้าไหมเพื่อให้เดินหลังตรงและสง่า สวมรองเท้าเกี๊ยะไม้ส้นสูงและฝึกก้าวเดินสั้นๆ อย่างนุ่มนวล ปลายเท้าต้องหันเข้าหากันเป็นรูปเลข 8 ของญี่ปุ่น เพื่อให้ทรงตัวดีขึ้น การ แต่งหน้าให้ดูหนาเตอะเหมือนสวมหน้ากากเพื่อให้ดูเร้นลับ รอการเปิดเผย ทาริมฝีปากเพียงครึ่งเดียวเพื่อให้ดูเชื้อเชิญ เผยให้เห็นไรผมเล็กน้อยเพื่อให้ดูเด่นน่าค้นหา เวลารับแขกที่สำนัก เกอิชา เกอิชาต้องคอยปรนนิบัติ เช่น รินเหล้า ร่ายรำ ดีดซามิเซ็ง (เครื่องดีดคล้ายกีตาร์) แต่เกอิชาไม่ใช่โสเภณี สังเกตได้จากการแต่งตัว โสเภณีจะมีสายโอบิผูกชุดที่สามารถแกะได้จากข้างหน้าและสวมเครื่องประดับที่ หรูหรา ฟู่ฟ่า ส่วนเกอิชามีผ้าโอบิผูกจากข้างหลังเหมือนชุดกิโมโนทั่วไป สวมเครื่องประดับเรียบง่ายแต่สวยงาม เกอิชาแต่งงานมีสามีได้ แต่ต้องออกจากอาชีพนี้ไปเลย แต่เกอิชาสามารถมีผู้อุปถัมภ์ เรียกว่า ดันนะ คอยช่วยเหลือด้านการเงิน เพราะเกอิชาต้องแต่งตัวให้งดงาม ทำให้มีค่าใช้จ่ายเยอะมาก ดันนะก็เป็นเหมือนสามีของเกอิชา เพียงแต่ทั้งคู่จะไม่เปิดเผยความสัมพันธ์นี้ให้คนนอกรู้ คนภายนอกมองแล้วก็เห็นว่าเป็นเพียงลูกค้าคนหนึ่งเท่านั้น |
Subscribe to:
Posts (Atom)