homeowners insurance Claim home insurance Claim state farm car insurance Claim comprehensive insurance Claim commercial insurance Claim cheap auto insurance Claim cheap health insurance Claim indemnity Claim car insurance companies Claim progressive quote Claim usaa car insurance Claim insurance near me Claim term life insurance Claim auto insurance near me Claim state farm car insurance Claim comprehensive insurance Claim progressive home insurance Claim house insurance Claim progressive renters insurance Claim state farm insurance quote Claim metlife auto insurance Claim best insurance companies Claim progressive auto insurance quote Claim cheap car insurance quotes Claim allstate car insurance Claim rental car insurance Claim car insurance online Claim liberty mutual car insurance Claim cheap car insurance near me Claim best auto insurance Claim home insurance companies Claim usaa home insurance Claim list of car insurance companies Claim full coverage insurance Claim allstate insurance near me Claim cheap insurance quotes Claim national insurance Claim progressive home insurance Claim house insurance Claim health insurance quotes Claim ameritas dental Claim state farm renters insurance Claim medicare supplement plans Claim progressive renters insurance Claim aetna providers Claim title insurance Claim sr22 insurance Claim medicare advantage plans Claim aetna health insurance Claim ambetter insurance Claim umr insurance Claim massmutual 401k Claim private health insurance Claim assurant renters insurance Claim assurant insurance Claim dental insurance plans Claim state farm insurance quote Claim health insurance plans Claim workers compensation insurance Claim geha dental Claim metlife auto insurance Claim boat insurance Claim aarp insurance Claim costco insurance Claim flood insurance Claim best insurance companies Claim cheap car insurance quotes Claim best travel insurance Claim insurance agents near me Claim car insurance Claim car insurance quotes Claim auto insurance Claim auto insurance quotes Claim long term care insurance Claim auto insurance companies Claim home insurance quotes Claim cheap car insurance quotes Claim affordable car insurance Claim professional liability insurance Claim cheap car insurance near me Claim small business insurance Claim vehicle insurance Claim best auto insurance Claim full coverage insurance Claim motorcycle insurance quote Claim homeowners insurance quote Claim errors and omissions insurance Claim general liability insurance Claim best renters insurance Claim cheap home insurance Claim cheap insurance near me Claim cheap full coverage insurance Claim cheap life insurance Claim
มาชูปิกชู อินคา

คอลัมน์ รู้ไปโม้ด
น้าชาติ ประชาชื่น nachart@yahoo.com


ถึง น้าชาติ

เคยได้ยินชื่อมาชูปิกชูมานานแล้ว เห็นรูปแล้วอยากไปมากและอยากรู้ประวัติด้วยค่ะ

จาก น้องแป้ง

ตอบ น้องแป้ง

มา ชูปิกชู (Machu Picchu) หรือเมืองสาบสูญแห่งอินคา เป็นซากอารยธรรมโบราณของชาวอินคา ตั้งอยู่บนยอดของทิวเขามาชูปิกชู ในประเทศเปรู ที่ความสูง 2,350 เมตรเหนือระดับน้ำทะเล องค์การการศึกษา วิทยาศาสตร์ และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ หรือยูเนสโก ขึ้นทะเบียนมาชูปิกชูให้เป็นมรดกโลกในปี 2526 โดยยกย่องให้เป็น "สถาปัตยกรรมชั้นยอดหนึ่งเดียวของชาวอินคา"

ต่อมาในปี 2550 มาชูปิกชูได้รับเลือกให้เป็น 1 ใน 7 สิ่งมหัศจรรย์ของโลกยุคใหม่จากการลงคะแนนทั่วโลกทั้งทางอินเตอร์เน็ตและ โทรศัพท์มือถือ

มาชูปิกชูน่าจะสร้างขึ้นเมื่อคริสต์ศตวรรษที่ 15 โดยจักรพรรดิปาชากูตีของชาวอินคาในสมัยที่จักรวรรดิอินคารุ่งเรือง ครอบคลุมพื้นที่ 326 ตารางกิโลเมตร แต่ไม่มีใครรู้ถึงสาเหตุแท้จริงที่ทำให้ชาวอินคาละทิ้งมาชูปิกชูจนกลายเป็น เมืองร้าง นอกจากข้อสันนิษฐานว่าอาจเกิดโรคระบาดร้ายแรง เช่น ฝีดาษ จนต้องปิดเมืองถาวร แต่ไม่ได้มาจากการที่สเปนรุกรานอย่างแน่นอน เพราะมาชูปิกชูเป็นเมืองร้างก่อนหน้าที่ชาวสเปนจะรุกรานเปรูนับร้อยปี

ภาย หลังจักรวรรดิของชาวอินคาล่มสลายไปแล้ว 400 ปี นายฮิแรม บิงแฮม นักโบราณคดีชาวอเมริกันจากมหาวิทยาลัยเยล ค้นพบมาชูปิกชูโดยบังเอิญในปี 2454 เพราะชาวนาคนหนึ่งเล่าให้ฟังว่ามีซากเมืองโบราณอยู่บนภูเขาที่เรียกว่ามาชู ปิกชู (แปลว่ายอดเขาเก่า) เมื่อบุกป่ารกไปถึงยอดเขาก็เห็นที่ราบโล่งเตียนยาวหลายร้อยเมตร สุดทางมีกำแพงหินแกรนิตสีขาว มีวัชพืชขึ้นคลุมมิดและพบสิ่งก่อสร้างด้วยหินสวยงามประณีตมาก ทำให้คณะสำรวจแปลกใจมาก เพราะในยุคนั้นมนุษย์ยังไม่รู้จักเครื่องมือที่ทำด้วยเหล็ก แรง งานสัตว์ชักลากหรือแม้ แต่ล้อทุ่นแรง

สิ่งก่อสร้างรูปจัตุรัสซ้อน กันหลายชั้น มีทั้งโรงอาบน้ำ ลานกว้าง ท่อส่งน้ำ บ้านเรือน วัง และหมู่วิหาร อาคารต่างๆ สร้างขึ้นด้วยหินแกรนิตก้อนมหึมาโดยไม่ได้โบกปูน แต่ก้อนหินเหล่านี้ต่อเข้ากันได้พอดี แม้แต่ใบมีดก็แทรกผ่านเข้าไปไม่ได้ แต่ไม่พังลงมาแม้มาชูปิกชูตั้งอยู่บนเทือกเขาแอนดิสที่เสี่ยงต่อการเกิดแผ่น ดินไหวก็ตาม

ปี 2550 ดร.จอห์น เรนฮาร์ด นักโบราณคดีชาวอเมริกันสันนิษ ฐานว่าชาวอินคาคงสร้างมาชูปิกชูเพื่อเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ มีทำเลเหมาะกับการเป็นศาสนสถาน เพราะมีภูเขาล้อมรอบและมีแม่น้ำอารูบัมบาไหลผ่าน อีกทั้งตั้งอยู่บนหน้าผาที่ดิ่งชันสูงถึง 600 เมตรจากฐานที่เป็นแม่น้ำอารูบัมบา นับเป็นยุทธศาสตร์ทางทหารที่ดีเยี่ยม เพราะหน้าผาสูงชันเป็นปราการป้องกันตามธรรมชาติได้อย่างดี

มาชูปิกชู แบ่งออกเป็น 2 ส่วนใหญ่ คือ ส่วนเมืองและส่วนเกษตรกรรม คาดว่ามีประชากรอาศัยประมาณ 1 พันคน มีโครงสร้างชนชั้นทางสังคม มีทั้งนักบวช ขุนนาง และกรรมกร ที่พักและที่ทำ งานของพวกขุนนางจะอยู่บนพื้นที่ที่สูงกว่าส่วนบ้านเรือนของชาวบ้าน

ด้าน ทิศตะวันตกของเมืองเป็นที่ตั้งของอินติอัวตานา หมายถึงเสาพันธนาการพระอาทิตย์ เป็นยกพื้นเตี้ยสร้างขึ้นง่ายๆ โดยมีเสาหินตั้งอยู่ มีวิหารสองหลังอยู่เบื้องหน้าอินติอัวตานา คือ วิหารตรีบัญชร และวิหารใหญ่ ที่สร้างขึ้นแบบง่ายๆ และไม่มีหลังคาคลุมเพื่อให้นักบวชเฝ้ามองสวรรค์ได้ตลอดเวลา


วันที่ 12 พฤษภาคม พ.ศ. 2554 ปีที่ 21 ฉบับที่ 7469 ข่าวสดรายวัน


เกอิชา


คอลัมน์ รู้ไปโม้ด
น้าชาติ ประชาชื่น nachart@yahoo.com



ถาม น้าชาติ

อยากรู้จัก "เกอิชา" ค่ะ ทราบมาว่ากว่าจะเป็นเกอิชาได้นั้นยากมาก น้าช่วยหาคำตอบให้หน่อยค่ะ

จาก มิ้งค์

ตอบ มิ้งค์

เกอิชา หญิงสาวผู้ทรงความงามอันเป็นเอกลักษณ์ของญี่ปุ่นนี้ คือผู้สืบทอดศิลปะโบราณของญี่ปุ่น เพื่อให้ความบันเทิงและสนทนาพูดคุยกับแขก

คำว่า เกอิชา แปลตรงตัวว่า ผู้มีศิลปะ มาจากคำว่า เกอิ ที่แปลว่า ศิลปะ ผสมกับคำว่า ชา ที่แปลว่า บุคคล หากออกเสียงให้เหมือนญี่ปุ่นต้องออกเสียงว่า เกฉะ

เนื่องจากเกอิชาต้องรู้ศิลปะทุกแขนง ทั้งการร่ายรำ การดนตรี ขนบประเพณีที่งดงาม เช่น พิธีชงชา การจัดดอกไม้

นอก จากนี้ยังต้องรู้จักมารยาท ต้องสำรวมกาย วาจา ใจ เพื่อให้รู้จักอดทนอดกลั้น เมื่อต้องรับแขกที่ไม่ดีก็จะสามารถรับมือได้อย่างมีสติ


สิ่ง สำคัญที่สุดของการเป็นเกอิชาและถือเป็นจรรยาบรรณ คือการเก็บความลับ เพราะเมื่อสนทนากับแขก แขกอาจพูดเรื่องส่วนตัว เรื่องการเมือง หรือธุรกิจ

กว่า จะเป็นเกอิชาได้ ต้องผ่านการฝึกฝนอย่างหนักตั้งแต่เด็ก โดยมากมักเป็นเด็กยากจนที่ถูกขายและต้องตัดขาดจากครอบครัว เมื่อเข้าสำนักเกอิชา จะมีสถานะเป็น ชิโคะมิ หรือคนรับใช้และเรียกเจ้าสำนักว่า โอคาซัง หรือคุณแม่ โดยต้องคอยทำงานบ้านและปรนนิบัติเกอิชารุ่นพี่ พร้อมกับแบ่งเวลาเรียนดนตรีและการร่ายรำ

ในช่วงวัยสาวรุ่น จะเรียกว่า ไมโกะ หรืออยู่ในฐานะเกอิชาฝึกหัด จะแต่งตัวด้วยกิโมโนแขนยาวสีสันสวยงาม เกล้าผมแบบลูกท้อผ่าครึ่ง มีพี่เลี้ยงคอยดูแลและแนะนำทุกเรื่อง

เมื่อข้ามพ้นการเป็นไมโกะ หรือเกอิชาฝึกหัด เมื่ออายุราว 21 ปี จะเปลี่ยนวิธีการแต่งตัวใหม่โดยดันคอเสื้อตัวในซึ่งเป็นสีขาวเข้าไปเพื่อเผย ให้เห็นส่วนสีแดงของเสื้อตัวในนิดหน่อย และสวมกิโมโนที่มีแขนสั้นขึ้นเพื่อแสดงถึงความเป็นผู้ใหญ่

ชุด กิโมโนของเกอิชาทำมาจากผ้าไหมชั้นดี แต่ละคนมีประมาณ 20 ตัว เพื่อให้เลือกใส่ได้ตามโอกาสและประเพณี เกอิชาไม่สวมชุดชั้นในเพื่อป้องกันไม่ให้ชุดชั้นในเกี่ยวรั้งกับผ้าไหม และคาดโอบิเป็นผ้าไหมเพื่อให้เดินหลังตรงและสง่า สวมรองเท้าเกี๊ยะไม้ส้นสูงและฝึกก้าวเดินสั้นๆ อย่างนุ่มนวล ปลายเท้าต้องหันเข้าหากันเป็นรูปเลข 8 ของญี่ปุ่น เพื่อให้ทรงตัวดีขึ้น

การ แต่งหน้าให้ดูหนาเตอะเหมือนสวมหน้ากากเพื่อให้ดูเร้นลับ รอการเปิดเผย ทาริมฝีปากเพียงครึ่งเดียวเพื่อให้ดูเชื้อเชิญ เผยให้เห็นไรผมเล็กน้อยเพื่อให้ดูเด่นน่าค้นหา

เวลารับแขกที่สำนัก เกอิชา เกอิชาต้องคอยปรนนิบัติ เช่น รินเหล้า ร่ายรำ ดีดซามิเซ็ง (เครื่องดีดคล้ายกีตาร์) แต่เกอิชาไม่ใช่โสเภณี สังเกตได้จากการแต่งตัว โสเภณีจะมีสายโอบิผูกชุดที่สามารถแกะได้จากข้างหน้าและสวมเครื่องประดับที่ หรูหรา ฟู่ฟ่า ส่วนเกอิชามีผ้าโอบิผูกจากข้างหลังเหมือนชุดกิโมโนทั่วไป สวมเครื่องประดับเรียบง่ายแต่สวยงาม

เกอิชาแต่งงานมีสามีได้ แต่ต้องออกจากอาชีพนี้ไปเลย แต่เกอิชาสามารถมีผู้อุปถัมภ์ เรียกว่า ดันนะ คอยช่วยเหลือด้านการเงิน เพราะเกอิชาต้องแต่งตัวให้งดงาม ทำให้มีค่าใช้จ่ายเยอะมาก ดันนะก็เป็นเหมือนสามีของเกอิชา เพียงแต่ทั้งคู่จะไม่เปิดเผยความสัมพันธ์นี้ให้คนนอกรู้ คนภายนอกมองแล้วก็เห็นว่าเป็นเพียงลูกค้าคนหนึ่งเท่านั้น


วันที่ 23 พฤษภาคม พ.ศ. 2554 ปีที่ 21 ฉบับที่ 7480 ข่าวสดรายวัน


ผ้าไทย


รู้ไปโม้ด
nachart@yahoo.com



ต้องการทราบประวัติศาสตร์ผ้าไทยในอดีต และผ้าไทยมีชนิดละเอียด อย่างไร

aim

ตอบ aim


สารานุกรมไทยสำหรับเยาวชนฯ เล่มที่ 15 กล่าวถึงผ้าไทย ว่า ผ้าที่คนไทยเราใช้เป็นเครื่องนุ่งห่มนั้น จะค้นคิดประดิษฐ์ได้สำเร็จตั้งแต่เมื่อไรไม่มีหลักฐานแน่นอนเด่นชัด ทราบ แต่ว่าคนไทยรู้จักนำเอาฝ้าย ปอและไหม มาทอเป็นผ้าได้นานแล้ว หลักฐานทางโบราณคดีและประวัติศาสตร์ศิลปะที่พบ แสดงให้เห็นว่าบนแผ่นดินไทยมีร่องรอยการใช้ผ้าและทอผ้าได้ตั้งแต่สมัยก่อน ประวัติศาสตร์ คือเมื่อราว 5,000 ปีมาแล้ว

ยังมีจดหมายเหตุจีนที่บันทึกเกี่ยวกับดินแดนของไทยเมื่อพุทธศตวรรษที่ 10-11 ปรากฏข้อความเกี่ยวกับผ้าอยู่ในภาพเขียน "คนไทย" ของ เซียะสุย (Hsich-Sui) จิตรกรแห่งราชสำนักจีน ใน ค.ศ. 1762 รัชกาลพระเจ้าเฉียนหลงแห่งราชวงศ์ซิง เป็นหลักฐานสำคัญถึงความเจริญรุ่งเรืองทางวัฒนธรรมของไทยที่มีมานานนับพันปี โดยเฉพาะ เรื่องผ้า

ความว่า "สยาม ตั้งอยู่บริเวณทิศตะวันตกเฉียงใต้ของแจ้นเฉิน ในสมัยราชวงศ์สุยและราช วงศ์ถังเรียกประเทศนี้ว่า ซื่อถู่กวั๋ว แปลว่าประเทศที่มีดินสีแดง ต่อมาซื่อถู่กวั๋วแบ่งออกเป็นสองรัฐ รัฐหนึ่งเรียกว่าหลัวฮู่ รัฐหนึ่งเรียกว่าฉ้วน (เสียนหรือเสียมในภาษาแต้จิ๋ว) ต่อมารัฐฉ้วนถูกรัฐหลัวฮู่เข้าตี และรวมกันได้ พระเจ้าหงอู่แห่งราชวงศ์หมิงจึงทรงเรียกประเทศใหม่ว่า ฉ้วนหลัว" และ "ตำแหน่งขุนนางมี 9 ชั้น 4 ชั้นแรก ปกติจะสวมหมวกทองที่มียอดสูงและประดับด้วยอัญมณีต่างๆ ชั้นต่ำลงมาใช้ผ้าโพกศีรษะ ซึ่งจีนเรียกว่าหลงต้วน ทำด้วยผ้าไหม กำมะหยี่ ผ้าเหล่านี้ปักอย่างสวยงามและทอด้วยเส้นทอง หรือมีผ้าสั้นที่มีลายพิเศษด้านนอก ผู้ชายมีผ้าคาดเอวทำด้วยผ้าปักไหม ผ้าคลุมชั้นนอกมี 5 สี ส่วนผ้าชั้นในมีสีสันสวยงามและทอผสมกับเส้นทอง ผ้านุ่งยาวมากกว่าตัวผู้นุ่ง 2-3 ชั้น"

ผ้าไทยมี "ผ้ากรองทอง" ผ้าถักด้วยแล่งเงินหรือแล่งทองเป็นลวด ลาย ส่วนมากนำมาทำเป็นผ้าสไบใช้ห่มทับลงบนผ้าแถบและผ้าสไบอีกชั้นหนึ่ง มักใช้แต่เฉพาะเจ้านายผู้หญิง "ผ้าขาวม้า" เดิมเรียกผ้ากำม้า ผ้าประจำตัวของผู้ชายใช้สารพัด เป็นผ้าฝ้ายผืนยาวทอเป็นลายตาตาราง "ผ้าเขียนทอง" ผ้าพิมพ์เน้นลวดลาย แล้วเขียนเส้นทองตามขอบลาย เกิดขึ้นสมัยรัชกาลที่ 1 ใช้เฉพาะกษัตริย์ลงมาถึงชั้นพระ องค์เจ้าโดยกำเนิดเท่านั้น "ผ้าตาโถง" ผ้าลายตาสี่เหลี่ยมหรือตาทแยง เป็นผ้านุ่งของผู้ชายคล้ายผ้าโสร่ง "ผ้าปักไทย" ใช้กันในบรรดาเจ้านายชั้นสูง ส่วนมากใช้ผ้าไหมพื้นเนื้อดีปักลวดลายด้วยไหมสีต่างๆ ทั้งผืน ถ้าใช้ไหมสีทองมากก็เรียกว่าผ้าปักไหมทอง

"ผ้าปูม" หรือมัดหมี่ เป็นผ้าส่วยของหลวงมาจากเมืองเขมรที่ใช้พระราชทานเป็นเครื่องยศขุนนาง เดิมไทยเรามีโรงไหมของหลวงทอผ้าสมปักปูมและสมปักเชิงกรวยพระราชทาน ทอด้วยไหมเพลาะ กลางผืนผ้าเป็นลายสีต่างๆ มีสมปักปูมเป็นชนิดสูงสุด สมปักริ้วเป็นชนิดต่ำสุด ดังนั้น ผ้าปูมคงหมายถึงเฉพาะผ้าสมปักปูม "ผ้าพิมพ์" ในสมัยอยุธยามีช่างเขียนลายบนผ้าอยู่แถววัดขุนพรหม และน่าจะมีสั่งทำจากอินเดียด้วย ส่วนสมัยรัตนโกสินทร์มีหลักฐานว่า สั่งทำผ้าพิมพ์หรือผ้าลายจากอินเดียตามแบบลายไทยที่สั่งไป เรียกว่าลายอย่าง ต่อมาอินเดียทำผ้าพิมพ์เองโดยเขียนเป็นลายแปลงของอินเดียผสมลายไทย เรียกลายนอกอย่าง

"ผ้าเปลือกไม้" ทอจากใยที่ทำจากเปลือกไม้ มีมาตั้งแต่สมัยก่อนประวัติศาสตร์และเข้าใจว่าคงจะทอใช้เรื่อยมาจนสมัย รัชกาลที่ 1 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ "ผ้ายก" คำว่ายกมาจากกระบวนการทอ เวลาทอเส้นด้ายหรือไหมที่เชิดขึ้นเรียกว่าเส้นยก ที่จมลงเรียกว่าเส้นข่ม แล้วพุ่งกระสวยไประหว่างกลาง และเมื่อเลือกยกเส้นข่มขึ้นบางเส้นก็จะเกิดลายยกขึ้น "ผ้าสมปัก" ผ้านุ่งพระราชทานให้ขุนนาง ทอด้วยไหมเพลาะ กลางผืนผ้าเป็นสีและลายต่างๆ "ผ้าสมรด" หรือสำรด ผ้าคาดทับเสื้อครุยในงานพระราชพิธีของขุนนางชั้นสูง หรือเรียกว่าผ้าแฝง ทำด้วยไหมทอง บางทีหมายถึงผ้าคาดเอวที่ทำด้วยผ้าตาดทองปักดิ้น ปักปีกแมลงทับ "ผ้าไหม" ผ้าทอด้วยเส้นไหม

ทำไมไม่มีแมวในนักษัตร

คอลัมน์ รู้ไปโม้ด
น้าชาติ ประชาชื่น nachart@yahoo.com


ถึง น้าชาติ ปีนักษัตรมีที่มาอย่างไรคะ แล้วทำไมไม่มีปีแมว

จาก น้องคิตตี้

ตอบ น้องคิตตี้

คำ ว่า "นักษัตร" หมายถึง ชื่อรอบเวลากำหนด 12 ปี เป็น 1 รอบ โดยกำหนดสัตว์ 12 ชนิด เป็นเครื่องหมายในแต่ละปี เริ่มจากปีชวด-หนู ฉลู-วัว ขาล-เสือ เถาะ-กระต่าย มะโรง-งูใหญ่ (จีนคือมังกร) มะเส็ง-งูเล็ก มะเมีย-ม้า มะแม-แพะ วอก-ลิง ระกา-ไก่ จอ-สุนัข และ กุน-หมู

ส่วนประวัติตำนานการใช้สัตว์เป็นชื่อปีเป็นเรื่องที่หาหลักฐานได้ยาก แล้วแต่ความเชื่อของแต่ละชนชาติ

ตำนาน ของชาวไทยลื้อเล่าว่า ครั้งหนึ่งพระพรหมถูกตัดเศียร ลูกสาวทั้ง 12 นางของพระพรหมซึ่งก็ คือนางสงกรานต์มีหน้าที่เชิญพานที่รองรับเศียรพระพรหมออกแห่ในวันสงกรานต์ ทุกปี โดยผลัดกันปีละนาง นางเหล่านี้มีพาหนะต่างกัน นางหนึ่งขี่หนู นางหนึ่งขี่วัว นางหนึ่งขี่เสือ ขี่กระต่าย ขี่พญา นาค ขี่งู ขี่ม้า ขี่แพะ ขี่ลิง ขี่ไก่ ขี่สุนัข ขี่หมู ไปตามลำดับ ตามตำนานกล่าวว่าชาวไทยลื้อได้เอาพาหนะที่นางทั้งสิบสองขี่นี่แหละมาใช้ เรียกชื่อปี

บางตำนานเล่าว่า ตำนานแห่งปีนักษัตรเริ่มต้นตั้งแต่สมัยพุทธกาล พระพุทธเจ้าทรงเชิญสัตว์ต่างๆ มาร่วมงานเลี้ยงก่อนที่พระองค์จะละสังขารไปจากโลกนี้ และหากสัตว์ใดมาถึงงานเลี้ยงได้ 12 ตัวแรก จะได้รับการแต่งตั้งให้เป็นสัญลักษณ์ของปีนักษัตรทั้ง 12 ปี

ปรากฏ ว่าสัตว์ทั้งหลายต่างเร่งฝีเท้ากันอย่างเต็มที่เพราะต้องการไปให้ถึงงาน เลี้ยงเป็นตัวแรก เพื่อจะได้รับเกียรติเป็นสัญลักษณ์ของปีเริ่มต้นของปีนักษัตร ในบรรดาสัตว์มากมายนั้นมีเจ้าหนูตัวกระจ้อยร่อยรวมอยู่ด้วย ถึงแม้มันจะเป็นเพียงสัตว์เล็กๆ แต่มันก็ใฝ่ฝันทะเยอทะยาน เจ้าหนูกระโดดเกาะหางวัวใหญ่ที่กำลังวิ่งอย่างเต็มฝีเท้าผ่านหน้ามันไป และแซงหน้าสัตว์อื่นๆ ไปอย่างรวดเร็ว

จนกระทั่งใกล้ถึงเส้นชัย เจ้าหนูน้อยกลับกระโดดแผล็ววิ่งไปบนหลังวัวหนุ่มและถีบตัวเองลอยละลิ่วเข้า สู่เส้นชัยเป็นตัวแรกได้สำเร็จ ท่ามกลางความงงงวยของสัตว์ทั้งหลายเป็นอย่างยิ่ง

หลายคนสงสัยว่าทำไม ปี นักษัตรถึงไม่มีแมว หลายตำนานพยายามอธิบายโดยรวมเอาเหตุการณ์ที่แมวเป็นศัตรูคู่อาฆาตกับหนูมา โยงเป็นเรื่องราว มักเริ่มต้นที่เทพเจ้าเรียกประชุมสัตว์เพื่อตั้งเป็นชื่อปี แล้วแมวจำวันที่ประชุมไม่ได้จึงไปถามหนู หนูหลอกแมวให้ไปช้ากว่ากำหนด แมวจึงไม่ได้รับการแต่งตั้งเป็น ชื่อปี

บางความเชื่อบอกว่า การเดินทางมาประ ชุมนั้นต้องว่ายน้ำไป แล้วแมวกับหนูเป็นสัตว์ที่ว่ายน้ำไม่เก่งทั้งคู่ จึงเกาะหลังวัวที่ว่ายน้ำเก่งไป เมื่อใกล้ถึงที่หมายหนูก็ผลักแมวตกน้ำ แมวถูกกระแสน้ำพัดไปจึงมาไม่ทันกำหนด นับแต่นั้นมาแมวจึงโกรธแค้นหนูมากและต้องวิ่งไล่ทุกครั้งที่เจอหนู

ฝ่าย นักวิชาการบางกลุ่มเชื่อว่า เป็นเพราะแมวเป็นสัตว์ในทะเลทราย ชาวจีนดั้งเดิมจึงไม่เคยเห็นและไม่รู้จักแมวมาก่อน จึงไม่ได้นำสัตว์ชนิดนี้มาตั้งเป็นชื่อปีอย่างสัตว์อื่นๆ

แต่ที่ประเทศเวียดนามใช้สัญลักษณ์รูปแมวเป็นปีเถาะ ไม่ใช่กระต่ายอย่างเรา

พวงมโหตร

คอลัมน์ รู้ไปโม้ด
น้าชาติ ประชาชื่น nachart@yahoo.com


ถึง น้าชาติ

ผมเห็นพวงกระดาษสีต่างๆ ห้อยแขวนตามงานบุญที่วัด ลุงบอกว่า ชื่อ พวงมโหตร แปลว่าอะไรและเป็นมาอย่างไรครับ

จาก ต้อม

ตอบ ต้อม

พจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน 2542 อธิบายว่า พวงมโหตร (อ่านว่า พวง-มะ-โหด) เป็นพวงอุบะ ซึ่งห้อยประดับอยู่ที่คันดาลฉัตร ทำด้วยผ้าตาดทอง ส่วนคันดาลฉัตร คือคันฉัตรที่มีรูปเป็นมุมฉาก 2 ทบอย่างลูกดาล เพื่อปักให้ฉัตรอยู่ตรงเศียรพระ พุทธรูป

ชาวอำเภอศรีนคร จังหวัดสุโขทัย มีประเพณีการสร้างพวงมโหตรกันมากว่า 50 ปี พวงมโหตรของที่นี่มีลักษณะเป็นดอกไม้ที่ปักกันเป็นชั้นๆ แต่ละชั้นจะห่างกันประมาณ 50-70 เซนติเมตรจำนวน 7-9 ชั้น มีอุบะดอกไม้แห้งหรืออุบะนก ปลา ฯลฯ หรือกระดาษสายรุ้งสีต่างๆ ห้อยไว้ที่ปลายก้านของดอกไม้แต่ละดอกเพื่อให้ชั้นของดอกไม้ต่อเนื่องกันลงมา เป็นพวง และที่โคนของก้านดอกไม้แต่ละดอกจะผูกของกินของใช้ เช่น ขนมแห้ง ปากกา สมุด ดินสอ

ชาวบ้านจะเริ่มสร้างพวงมโหตรในวันขึ้น 14 ค่ำ ก่อนออกพรรษา 2 วัน และจะถวายพวงมโหตรในวันออกพรรษา ซึ่งเชื่อกันว่าการสร้างพวงมโหตรนี้ได้บุญกุศลมหาศาล เพราะนอกจากจะได้ร่วมฉลองเทศน์มหาชาติถึง 13 กัณฑ์แล้ว ชาวบ้านยังช่วยกันหาข้าวของเครื่องใช้ที่จำเป็นถวายให้แก่วัด เป็นการสร้างความสามัคคีแก่คนในหมู่บ้านเดียวกันและหมู่บ้านใกล้เคียงอีก ด้วย

ส่วนชาวเพชร บุรีมีการสร้างพวงมโหตรอีกแบบหนึ่งซึ่งเห็นกันคุ้นตาตามงานบุญที่วัด

อ.จำลอง บัวสุวรรณ์ ที่ปรึกษากลุ่มลูกหว้า โรง เรียนเบญจมเทพอุทิศ จังหวัดเพชร บุรี อธิบายว่า พวงมโหตรมีมาตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่ปรากฏหลักฐานแน่ชัด แต่สันนิษฐานว่าแพร่หลายอยู่ในภูมิภาคเอเชียอาคเนย์มานาน

ในประเทศไทยมีชื่อเรียกหลายอย่างตามแต่ละพื้นที่ เช่น แพร่ น่าน เชียงใหม่ เรียกตุงไส้หมู นครสวรรค์ ระยอง เรียกพวงเต่ารั้ง เลย อุดร เรียกพวงมาลัย แต่ที่เพชรบุรี เรียกกันว่าพวงมโหตร

พวงมโหตรมักจะติดอยู่ตาม "ธงราว" ซึ่งเป็นธงทำจากกระดาษว่าว ตอกลายเป็นรูปนักษัตร ใช้ตกแต่งสถานที่ในงานรื่นเริงหรืองานบุญ เพราะชาวเพชรมีความเชื่อกันมาตั้งแต่บรรพบุรุษว่า สัตว์ 12 ชนิดที่เป็นสัญลักษณ์ปีนักษัตรนี้ ในอดีตเคยไปเฝ้าพระ พุทธเจ้าตอนปรินิพพาน สัตว์เหล่านี้จึงขอร้องว่าหากมีการเทศนาที่ไหนขอให้บอกด้วย อาจเป็นข้อคิดแก่ผู้คนว่าแม้สิงสาราสัตว์ยังรู้จักฟังเทศน์ฟังธรรม

การทำพวงมโหตรใช้กระดาษว่าวเช่นกัน ถ้าจะให้สวยต้องใช้กระดาษหลายๆ สี พับกระดาษสี่เหลี่ยมจัตุรัสให้เป็นรูปสามเหลี่ยม แล้วพับครึ่งสามเหลี่ยมนั้นต่ออีก 2 ครั้ง หมุนยอดสามเหลี่ยมเอาด้านสัน (ด้านที่เปิดไม่ได้) ไปไว้ทางขวามือ พับสันทับเข้าไปจนดูคล้ายสามเหลี่ยม 2 รูปซ้อนทับกันอยู่

จากนั้น ใช้กรรไกรตัดกระดาษสามเหลี่ยมแบบสลับฟันปลา โดยตัดจากยอดบนลงล่างจนเกือบถึงชายด้านล่างให้มีระยะห่างเท่าๆ กัน คลี่กระดาษออกและใช้กรรไกรเจาะรูตรงกลางกระดาษทั้ง 3 แผ่นเพื่อสอดกระดาษแข็งรูปวงกลมซึ่งร้อยด้ายผูกกับไม้ไว้เรียบร้อยแล้ว สำหรับทำเป็นไม้แขวน ใช้มือจับแต่งกระดาษที่ซ้อนกันอยู่นั้นให้เป็นทรงจอมแห