Showing posts with label อื่นๆ จิปาถะ. Show all posts
Showing posts with label อื่นๆ จิปาถะ. Show all posts

วันที่ 22 เมษายน พ.ศ. 2554 ปีที่ 21 ฉบับที่ 7449 ข่าวสดรายวัน


เพื่อนเจ้าสาว


คอลัมน์ รู้ไปโม้ด
น้าชาติ ประชาชื่น nachart@yahoo.com



ถึงน้าชาติ น.ส.เคต มิดเดิลตัน ว่าที่เจ้าสาวของเจ้าชายวิลเลียม เลือกน้องสาวเป็นเพื่อนเจ้าสาว ทำไมต้องมีเพื่อนเจ้าสาวด้วยล่ะคะ

จาก นางสาวโสดสนิท

ตอบ นางสาวโสดสนิท

จาก หนังสือ 108 ซองคำถามของสำนักพิมพ์สารคดี บอกว่าพิธีแต่งงานสมัยโรมัน กำหนดให้มีผู้ร่วมพิธีอย่างน้อย 10 คน เพราะเชื่อว่าหญิงสาวที่จะเข้าประตูวิวาห์นั้นอาจจะเป็นที่อิจฉาจากเหล่า ปีศาจได้ ดังนั้น จึงเชื้อเชิญให้มีผู้มาร่วมงานเพื่อล่อหลอกปีศาจให้สับสน เพื่อนเจ้าสาวจึงต้องมีใบหน้าดูคล้ายเจ้าสาวที่สุด และจะต้องแต่งตัวคล้ายคลึงกับเจ้าสาวด้วย เชื่อกันอีกว่ายิ่งเจ้าสาวมีเพื่อนเจ้าสาวจำนวนมากเท่าใด เจ้าสาวจะยิ่งปลอดภัยจากวิญญาณร้ายมากขึ้นเท่านั้น

นอกจากนี้ ยังเป็นเครื่องรับประกันความปลอดภัยกับเจ้าสาวอีกประการหนึ่งว่าจะไม่ถูกผู้ ไม่หวังดีชิงตัวไปในระหว่างพิธีสมรส เพราะในสมัยกลางของยุโรปถือเป็นเรื่องปกติสำหรับชายอกหักคนหนึ่ง เมื่อไม่สมหวังในหญิงสาวซึ่งเป็นเจ้าสาวของคนอื่น ชายผู้นั้นจะพาพรรคพวกมาชิงตัวเจ้าสาวไปกลางพิธีแต่งงาน เพื่อนเจ้าสาวจึงทำหน้าที่เป็น "บอดี้การ์ด" ให้เจ้าสาวอีกประการหนึ่ง

ปัจจุบัน เพื่อนเจ้าสาวมีหน้าที่ต่างๆ เช่น เป็นที่ปรึกษาในเรื่องต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น ชุดเจ้าสาว ของชำร่วย ดอกไม้และอื่นๆ อีกทั้งช่วยกระจายข่าวบอกเพื่อนๆ เมื่อถึงวันงานเพื่อนเจ้าสาวจะช่วยเจ้าสาวแต่งตัวเพราะชุดเจ้าสาวใส่ค่อน ข้างยาก ต้องระมัดระวังในการสวมใส่มาก เวลาอยู่หน้างาน ก็จะช่วยแจกของชำร่วย พาแขกเหรื่อไปนั่งพร้อมทั้งสร้างบรรยากาศเป็นกันเองกับแขกเหรื่อ โดยถามว่าอาหารอร่อยไหม เป็นต้น รวมทั้งตรวจสอบว่าทุกอย่างในงานเรียบ ร้อยหรือไม่ เช่น นักดนตรีมาหรือยัง ช่อดอกไม้เตรียมไว้เรียบร้อยไหม

เชื่อ กันว่าหญิงสาวผู้ทำหน้าที่เป็นเพื่อนเจ้าสาวนั้นจะนำทั้งลางดีและลางร้ายมา สู่ตนเอง เช่น ถ้าเธอสะดุดล้มระหว่างทางเดินไปยังแท่นพิธี เธอจะหมดโอกาสแต่งงานโดยสิ้นเชิง และถ้าหญิงสาวคนใดทำหน้าที่เป็นเพื่อนเจ้าสาวครบสามครั้งจะต้องอยู่เป็นโสด ไปตลอดชีวิต

เว้นแต่ว่าเธอจะทำหน้าที่เพื่อนเจ้าสาวอีกสี่ครั้งรวม เป็นเจ็ดครั้ง เพราะเลขเจ็ดเป็นจำนวนวันของสัปดาห์ถือเป็นเลขนำโชค เกี่ยวเนื่องกับการเปลี่ยนแปลงของระยะต่างๆ ของดวงจันทร์



ขอ ตอบคำถามคุณ "กลด บุญศรี" ที่ถามถึงเรื่องปฏิทินทางจันทรคติและปีอธิกมาส ปีอธิกวาร ว่ากำหนดอย่างไร น้าชาติตอบไปแล้วเมื่อวันที่ 26 ก.พ.2553 คลิกหาอ่านย้อนหลังได้จากเว็บไซต์ข่าวสด www.khaosod.co.th คอลัมน์ "รู้ไปโม้ด"

ส่วนที่ถามว่า พ.ศ.2520-2545 ปีใดที่มีอธิกมาส ปีใดที่มีอธิกวาร ขอตอบว่า ปีอธิกมาส ได้แก่ 2520, 2523, 2526, 2528, 2531, 2534, 2536, 2539, 2542 และ 2545 ส่วนปี อธิกวาร ได้แก่ 2522, 2530, 2533, 2540 และ 2543

ตำนานหัวล้านไทย

คอลัมน์ รู้ไปโม้ด
น้าชาติ ประชาชื่น nachart@yahoo.com


ถึง น้าชาติ ผมสังเกตเห็นว่าศีรษะล้านของแต่ละคนมีลักษณะไม่เหมือนกัน ทราบว่ามีชื่อเรียกแต่ละประ เภทด้วย น้าชาติช่วยไขความกระจ่างด้วยครับ

จาก แกละ

ตอบ แกละ

หนังสือ "ตำนานหัวล้านไทย" จัดพิมพ์เนื่องในงานครบรอบ 5 ปี พิพิธภัณฑ์หุ่นขี้ผึ้งไทย มีข้อมูลและภาพประกอบ บอกถึงลักษณะหัวล้านแบบไทยๆ ซึ่งมีชื่อเรียกคล้องจองกัน ว่า "ทุ่งหมาหลง ดงช้างข้าม ง่ามเทโพ ชะโดตีแปลง แร้งกระพือปีก ฉีกหาง (ขวาน) ฟาด ราชคลึงเครา" บางตำราบอกว่าหัวล้านมี 9 ประเภท เพิ่มครึ่งซีกพระจันทร์ และ สุริยันหมดเมฆ ไปอีก 2 ประเภท

ทุ่งหมาหลง คือ พวกที่หัวล้านมาก ล้านตกขอบ มีผมไว้พอให้เดาว่าเป็นหัว เฉพาะตรงตีนผมเท่านั้น เปรียบเทียบว่า ถ้าเป็นทุ่งก็มองเห็นแต่ฟ้ากับฟ้า เอาหมาไปปล่อยก็หลง หาทิศหาทางไม่เจอ ซ้ายขวาหน้าหลังมีแต่ความเวิ้งว้าง แม้แต่หมาก็กลับไม่ถูก

ดงช้าง ข้าม คือ หัวล้านเป็นทางจากหน้าผากไปถึงท้ายทอย ดูคล้ายๆ แม่น้ำ โดยมีปากน้ำอยู่เหนือหน้าผากก็ได้ แต่ถ้าจะเปรียบเป็นดง รอยหัวล้านเขาว่าเหมือนทางเดินของช้าง อาจจะกว้างมากหรือกว้างน้อย แต่จะไม่ตกขอบ คือช้างยังพอจะเห็นแนวป่าอยู่ทั้งสองฟากฝั่งได้ ถ้าป่าเตียนหมดจะไปเข้าลักษณะทุ่งหมาหลงแทน

ง่ามเทโพ คือล้านเถิกขึ้นไปสองข้างขมับ มีผมไว้ตรงกลาง หรือกระหม่อมไปจนถึงด้านหลัง

ชะโด ตีแปลง คือ ล้านเป็นวงกลางกบาล มีผมรอบๆ ทั้งซ้ายขวาหน้าหลัง เหมือนปลาชะโดตีแปลงจนน้ำ กระเซ็นออกไปรอบทิศ ถ้าน้ำน้อยจนเกือบเป็นโคลนตม แล้วชะโดตีแปลงก็จะมีส่วนที่น้ำขังเป็นวงกลม ล้านแบบนี้ต้องมองมุมสูง คือมองจากด้านบนจะเห็นชัด

แร้งกระพือปีก คือ ล้านเถิกไปทั้งสองข้างขมับ ลึกโอบกระหม่อม ไปต่อกันด้านหลัง เหลือกระจุกผมอยู่เพียงด้านหน้าเหมือนโดนปีก (แร้ง) กระพือมารวมไว้

ฉีก หางฟาด หรือฉีกขวานฟาด คือ ยังมีผมบางๆ อยู่ เหมือนกับฉีกหาง (ปลาหรือวัว) ฟาดลงไป จะเห็นเป็นเส้นเป็นแนวอยู่ ส่วนที่เป็นเวิ้งผมบางๆ อาจมีขอบรูปหางไปจนจรดท้ายทอยก็ได้

ราชคลึงเครา มีนัยถึงพระราชาลูบเครา คือ เหมือนกับหัวล้านแบบต่างๆ ก่อนหน้านี้ แต่เพิ่มหนวดเคราที่ดกเกินธรรมดาเข้าไป คนหัวล้านชนิดนี้จะมีขนอกด้วย

ครึ่งซีกพระจันทร์ คือ ล้านด้านหน้าตรงหน้าผากเว้าขึ้นไปด้านบนเป็นรูปครึ่งวงกลม เหมือนพระจันทร์ครึ่งซีก

สุริยันหมดเมฆ คือ ล้านเกลี้ยงทั้งหัว เห็นหัวแดงเหมือนดวงอาทิตย์

คน ไทยมีความเชื่อเรื่องคนหัวล้านว่ามีคุณและโทษต่างกัน 4 แบบ คือ 1.ล้านเฉลิมรอยควาย คือ ล้านเว้าหน้า เชื่อว่าเป็นคนใจนักเลง ใจกว้างกับเพื่อนฝูง เพื่อนฝูงรักใคร่ ส่วนมากจะเป็นผู้นำคน 2.ล้านชะโดตีแปลง หรือล้านกำแหง คือ ล้านตรงกลางหัว เชื่อว่าเป็นนักเลง คนดุ 3.ล้านเศรษฐี คือ ล้านเลี่ยนเตียนโล่ง เหลือผมหลีกหวีหรือเหลือผมเฉพาะเหนือใบหูข้างละนิด เชื่อว่าเป็นคนร่ำรวยมีเงิน และ 4.ล้านจัญไร คือ ล้านเป็นหย่อมๆ ล้านไม่สม่ำเสมอ ล้านแบบนี้เชื่อว่าทำอะไรก็มีแต่จะล่มจมเสียหาย

นายฮ้อย

รู้ไปโม้ด
nachart@yahoo.com


ขอ ถามเรื่องนายฮ้อยต้อนควายขาย มีประวัติเป็นมาอย่างไร ใช่ไหมว่าจริงๆ แล้วคือนายร้อย แต่พื้นเมืองอีสานออกเสียงนายฮ้อย ขอบคุณนะคะน้าชาติ

แมงมุม

ตอบ แมงมุม


เว็บไซต์ ว่าด้วยศาสนา ศิลปะ วัฒนธรรมและภูมิปัญญาไทย ของสำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษา อธิบายว่า "นายฮ้อย" เป็นภาษาท้องถิ่นอีสานที่เรียกกลุ่มบุคคลที่มีบทบาทในการค้าขายซึ่งเรียกตาม ชื่อประเภทสินค้า ดังนั้น คนที่ค้าขายวัวควาย จึงถูกเรียกขานว่า นายฮ้อยวัวควาย และนายฮ้อยวัวควายนี่เองที่มีบทบาทสัมพันธ์ใกล้ชิดกับวิถีชีวิตอีสานมากกว่า กลุ่มพ่อค้าสินค้าอื่น จากสภาพความเป็นอยู่ของชาวบ้านที่เลี้ยงวัวควายเป็นอาชีพควบคู่กับทำนาทำไร่ วัวควายจึงมีความสำคัญทั้งในสถานะปัจจัยการผลิต คือแรงงานไถนา ผลิตปุ๋ยคอก เป็นพาหนะคมนาคมขนส่ง เป็นสิ่งแสดงถึงสถานะทางสังคม และเป็นสินค้าที่สามารถขายสร้างรายได้ให้กับครอบครัว

ตลาดวัวควายของ ยุคนั้นอยู่ในถิ่นภาคกลาง ต้องใช้เวลารอนแรมหลายเดือน การจะนำวัวควายไปขายจึงต้องอาศัยการรวมตัวกันไปเพื่อความปลอดภัย และการเดินทางนี้เองได้บ่มเพาะประสบการณ์ กลายเป็นตำนานนายฮ้อยในเวลาต่อมา ความยากลำบากของการเดินทาง และเพื่อให้แต่ละครั้งสามารถขายวัวควายได้เงินกลับบ้าน นายฮ้อยจึงต้องเป็นผู้มีความรู้สารพัดเรื่องสัตว์ รวมทั้งการประเมินราคาต่อรองค้าขาย ด้วยบทบาทดังกล่าวชุมชนจึงให้ความเชื่อถือ เป็นภูมิปัญญาของชุมชนตลอดมา

ยัง มีข้อมูลจากซองคำถาม นิตยสารสารคดี ซึ่งได้จากเว็บไซต์ของการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ว่า ทุกปีราวเดือนสองเดือนสาม (มกราคม-กุมภาพันธ์) หลังเก็บเกี่ยวข้าว นายฮ้อยจาก "เมืองบน" หรือดินแดนที่ราบสูงโคราช แถบขอนแก่น โคราช ชัยภูมิ จะเริ่มออกหาซื้อวัวควายจากหมู่บ้านต่างๆ และเมื่อรวบรวมได้ 400-500 ตัว หรือบางคราวอาจถึง 1,000 ตัว ก็จะเริ่มเดินทางพร้อมกองคาราวานเกวียน บรรทุกสัมภาระ ข้าวปลาอาหาร และลูกน้องไม่น้อยกว่า 10 คน ถ้าเป็นฝูงใหญ่อาจต้องใช้คนนับร้อยไล่ต้อนลงมาขายที่ "เมืองล่าง" หรือดินแดนที่ราบลุ่มภาคกลางแถบลพบุรี สระบุรี อยุธยา มาถึงราวเดือนสี่เดือนห้า (มีนาคม-เมษายน) เริ่มฤดูกาลไถหว่านทำนาพอดี

ระหว่าง การเดินทางรอนแรมกลางป่าเปลี่ยวเสี่ยงอันตราย เผชิญอุปสรรคนานัปการ นายฮ้อยต้องรับผิดชอบดูแลทุกชีวิตทั้งคนและฝูงวัวควายที่เสี่ยงต่อการถูก ปล้นสะดมระหว่างทาง ต้องปกครองคนได้ เป็นผู้นำที่ได้รับการยอมรับนับถือจากทุกคน กล้าหาญ เข้มแข็ง เด็ดเดี่ยว สามารถจัดการฝูงวัวควายนับร้อยนับพันตัวได้ โดยจะแบ่งออกเป็นฝูงย่อย ฝูงละ 80-100 ตัว มีคนคุมต้อน 9-12 คน มีหัวหน้าหนึ่งคน แต่ละกลุ่มย่อยเรียกว่า "หนึ่งพาข้าว"

เส้นทางไล่ต้อนเริ่มต้นจากขอนแก่น นครราชสีมา ผ่านช่องเขาต่างๆ ในแนวเทือกเขาพังเหย จ.ชัยภูมิ เช่น ช่องสำราญ ช่องตานุด ช่องลำพญากลาง หรือช่องตะพานหิน เป็นต้น ผ่านเข้าสู่ประตูภาคกลางที่ อ.ลำสนธิ จ.ลพบุรี หยุดแวะขายที่บ้านโคกสลุง อ.พัฒนา นิคม ลพบุรี เป็นแห่งแรก โดยนายฮ้อยจะเข้าไปแจ้งข่าวให้คนในหมู่บ้านแวะมาดูมาซื้อวัวควาย จากนั้นจะตระเวนขายไปจนสิ้นสุดเส้นทางที่ อ.แก่งคอย จ.สระบุรี กว่าจะหมดบางครั้งใช้เวลาร่วมเดือนหรือ 2 เดือน

รวมเวลาเดิน ทางกลับแล้วกว่าครึ่งปีที่พวกเขาต้องจากบ้านมาใช้ชีวิตรอนแรมห่างไกลจากครอบ ครัว ทว่าสิ่งที่พวกเขานำมาพามาด้วยพร้อมกับคาราวานวัวควาย คือวัฒนธรรมจากอีสาน โดยมีนายฮ้อยเป็นสื่อเชื่อมกับอารยธรรมในภาคกลาง ปรากฏร่องรอยให้เห็นผ่านขนบธรรมเนียม ประเพณี การแต่งกาย อาหารการกิน ภาษาพูด ของกลุ่มคนที่หลากหลายแถบลพบุรี สระบุรี แต่เกือบ 30 ปีแล้วที่ภาพกองคาราวานนายฮ้อยไล่ต้อนฝูงวัวควายหายไป ภายหลังที่มีเส้นทางรถยนต์เข้ามาแทนที่ ฝูงวัวควายที่ต้อนมาขายยังตลาดนัดวัวควายทุกวันนี้จึงมาพร้อมกับรถบรรทุก
ตึกสูงที่สุดในโลก

คอลัมน์ รู้ไปโม้ด
น้าชาติ ประชาชื่น nachart@yahoo.com


ถึง น้าชาติ 5 อยากรู้ว่าตึกไหนสูงที่สุดในโลกครับ มีตึกอะไรบ้างและตึกใบหยก 2 ของไทยติดอันดับด้วยหรือเปล่าครับ

จาก โอม

ตอบ โอม

สถิติ ตึกระฟ้าที่สูงที่สุดในโลกขณะนี้ ยังเป็นของ "เบิร์จ คาลิฟา" ในนครดูไบ ประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ เดิมชื่อ เบิร์จ ดูไบ แต่เปลี่ยนชื่อเพื่อเป็นเกียรติแก่ ชีก คาลิฟาร์ บิน ซาเอ็ด อัล-นาห์ยัน ประธานาธิบดีซาอุดีอาระเบีย ผู้ครองนครรัฐอาบู ดาบี

อาคารนี้สูง 828 เมตร มี 162 ชั้น ทำพิธีเปิดอย่างเป็นทางการวันที่ 4 ม.ค.2553 ออกแบบโดย เอเดรียน สมิธ สถาปนิกชาวชิคาโก ซึ่ง เคยออกแบบ วิลลิสทาวเวอร์ อาคารที่สูงที่สุดในสหรัฐ อเมริกา

อย่างไรก็ตาม อีกไม่นานเกินรอ ตึกเบิร์จ คาลิฟา จะเสียแชมป์ให้กับตึก "มูบารัก ทาวเวอร์" ในมูบารักซิตี้ ประเทศคูเวต ที่มีความสูงกว่า 1.1 กิโลเมตร อยู่ในช่วงการก่อสร้างและเตรียมเปิดดำเนินการภายในปี 2559

แต่ตึกมู บารักก็จะต้องพ่ายให้กับตึกที่สูงกว่าในอนาคต นั่นคือ ตึก "ไมล์ ทาวเวอร์" เพราะมีความสูงถึง 1 ไมล์หรือ 1.6 กิโลเมตร และ มีอีกชื่อหนึ่ง คือ "คิงดอม ทาวเวอร์" ในเมืองเจดดาห์ ประเทศซาอุดีอาระเบีย ด้วยเงินลงทุนสร้างถึง 9 แสนล้านบาท ออกแบบโดยสถาปนิกเจ้าเก่าที่ออกแบบตึก เบิร์จ คาลิฟา นั่นเอง ตึกแห่งนี้เพิ่งได้รับการอนุมัติจากรัฐบาลซาอุดีอาระเบียให้ก่อสร้างในเดือน นี้เอง

สำหรับแชมป์อันดับ 2 รองจากเบิร์จ คาลิฟา ได้แก่ "ไทเป 101" ในไต้หวัน ที่สูง 509 เมตร มี 101 ชั้น ออกแบบโดย ซี.วาย. ลี สถาปนิกชาวไต้หวัน เปิดอาคารเมื่อ 31 ธ.ค.2547 ตัวตึกผสมผสานความเชื่อของชาวจีนโดยมีรูปหัวมังกรที่มุมอาคารทั้ง 4 ด้านเพื่อขับไล่ภูตผีปีศาจ

อันดับ 3 "เซี่ยงไฮ้ เวิลด์ ไฟแนนเชียลเซ็นเตอร์" ที่นคร เซี่ยงไฮ้ ประเทศจีน สูง 492 เมตร มี 101 ชั้น และชั้นใต้ดินอีก 3 ชั้น เป็นอาคารที่สูงที่สุดในประเทศจีน แซงหน้าอาคารจินเหมาซึ่งตั้งอยู่ใกล้เคียง

อันดับ 4 "อินเตอร์เนชันแนลคอมเมิร์ซเซ็นเตอร์" บนเกาลูนตะวันตก ในฮ่องกง สูง 484 เมตร มี 118 ชั้น

ส่วน อันดับ 5 และ 6 มาคู่กัน "ตึกแฝดเปโตรนาส" ที่กรุงกัวลา ลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย สูง 452 เมตร มี 88 ชั้น ออกแบบโดย เซซาร์ เปลลี ซึ่งได้รับแรงบันดาลใจจากเสาหินทั้ง 5 ของศาสนาอิสลาม มีสะพานเชื่อมลอยฟ้าในบริเวณชั้นที่ 41 และ 42

อันดับ 7 "หนานจิงกรีนแลนด์ไฟแนนเชียลเซ็นเตอร์" ใน ประเทศจีน สูง 450 เมตร มี 89 ชั้น โดยสถาปนิกคนเดียวกับผู้สร้าง เบิร์จ คาลิฟา

อันดับ 8 "วิลลิสทาวเวอร์" หรือชื่อเดิม "เซียร์ทาวเวอร์" นคร ชิคาโก รัฐอิลลินอยส์ ประเทศสหรัฐอเมริกา สูง 442 เมตร มี 108 ชั้น เคยครองตำแหน่งอาคารสูงที่สุดของโลกตั้งแต่ก่อตั้งเมื่อปีพ.ศ. 2518 จนถึงปีพ.ศ.2548 ก่อนจะเสียตำแหน่งให้กับตึกแฝดเปโตรนาสของมาเลเซีย

อันดับ 9 "กวางโจวเวสต์ทาวเวอร์" เมืองกวางโจว ประเทศจีน สูง 440.2 เมตร มี 103 ชั้น เปิดตัวในปีพ.ศ.2552

อันดับ 10 "จินเหมาทาวเวอร์" ในนครเซี่ยงไฮ้ ประเทศจีน สูง 421 เมตร มี 88 ชั้น

ส่วนตึกใบหยก 2 ของไทย วิกิพีเดียจัดอันดับไว้ที่ 59 ของโลก สูง 304 เมตร มี 85 ชั้น
หอศิลปวัฒนธรรม แห่งกรุงเทพมหานคร

คอลัมน์ รู้ไปโม้ด
น้าชาติ ประชาชื่น nachart@yahoo.com


หอศิลปะกรุงเทพฯ ตั้งอยู่ไหนครับ ประวัติการสร้าง อยากรู้และเวลาเปิดปิดด้วย

อัมพร

ตอบ อัมพร

หอศิลป วัฒน ธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร (Bangkok Art and Culture Centre) หรือ หอศิลป์กรุงเทพฯ ก่อร่างสร้างรูปเป็นโครงการหอศิลปวัฒน ธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร เมื่อปีพ.ศ.2537 โดยกลุ่มศิลปินร่วม สมัยแห่งประเทศไทยจำนวนนับพันคน ได้จัดแสดงผลงานที่ศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ หวังให้สังคมเห็นว่า มีศิลปินมากพอที่ควรจะมีหอศิลป์มาเป็นพื้นที่รองรับการแสดงออกผลงาน และเก็บรักษาผลงาน ในอดีตและประวัติ ศาสตร์ เป็นที่รวมกลุ่มศิลปิน เพื่อพบปะ แลกเปลี่ยนความคิด แนวการทำงาน อันจะตามด้วยการผลักดันให้เกิดการพัฒนาของวงการศิลปะในบ้านเมือง

ถึง สมัย นายพิจิตต รัตตกุล เป็นผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร (พ.ศ.2539-2543) การรณรงค์เรียกร้องให้มีหอศิลป์กรุงเทพฯ ดำเนินมาต่อเนื่อง กระทั่งกทม.มีนโยบายจะสร้างหอศิลป์ขึ้น กำหนดพื้นที่ตั้งบริเวณสี่แยกปทุมวัน และจัดประกวดแบบ ซึ่งผู้ชนะได้แก่บริษัท Robert G. Boughey & Associates (RGB Architects)

อย่างไรก็ตาม แม้จะดำเนินการได้ระดับหนึ่ง แต่โครงการหอศิลป์กรุงเทพฯ ได้ถูกรื้อถอนความคืบหน้าเดิมทิ้งทั้งหมดเมื่อสิ้นสมัยนายพิจิตต โดยเปลี่ยนเป็นพื้นที่การค้าตามรูปแบบการใช้พื้นที่แถบนั้น และมีส่วนแสดงศิลปะไว้เล็กน้อย ส่งผลบรรดาศิลปิน คนทำงานศิลปะและเครือข่ายประชาชนต้องเคลื่อนไหวอีกครั้ง

กระทั่งสมัย นายอภิรักษ์ โกษะโยธิน เป็นผู้ว่าฯ กทม. สภาแห่งกรุงเทพมหานครได้อนุมัติงบประมาณดำเนินการก่อสร้างหอศิลปวัฒนธรรม แห่งกรุงเทพมหานคร เป็นจำนวนเงิน 509 ล้านบาท เพื่อผลักดันให้กรุงเทพฯ เป็นเมืองแห่งศิลปวัฒนธรรม หอศิลป์กรุงเทพฯ จึงได้เริ่มก่อสร้างบริเวณสี่แยกปทุมวัน โดยเปิดโครงการอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 19 สิงหาคม 2548 ทั้งนี้ กำหนดการเดิมหอศิลปวัฒน ธรรมแห่งกรุงเทพมหานครจะสร้างเสร็จช่วงปลายปี 2549 แต่การก่อสร้างได้ล่าช้าออกไปจากเดิม มาแล้วเสร็จเปิดใช้งานเมื่อ พ.ศ.2551

หอ ศิลป์กรุงเทพฯ ลักษณะตัวอาคารสูง 9 ชั้น (และ 2 ชั้นใต้ดิน) ตัวอาคารเป็นทรงกระบอก เชื่อมต่อระหว่างอาคารด้วยทางเดินวน เป็นแนวเอียงขึ้น เพื่อให้คนที่เข้ามาชมผลงานชมได้ต่อเนื่องในแต่ละชั้น และตัวอาคารยังออกแบบให้รับแสงสว่างจากภายนอกในระดับ ที่แสงไม่แรงขนาดทำลายผลงานศิลปะที่แสดงอยู่ข้างในได้

ตัวอาคารมี พื้นที่ต่างๆ แบ่งดังนี้ ห้องสมุดศิลปะ ชั้น L รวมหนังสือและแหล่งความรู้ด้านศิลปะมากกว่า 6,000 รายการ พร้อมบริการอินเตอร์เน็ตและมุมศิลปะ, ห้องอเนกประสงค์ ชั้น 1 มีทางเดินเชื่อม ต่อกับโถงใหญ่ ไว้สำหรับงานจัดเลี้ยง แถลงข่าว การประชุม การบรรยาย, โซนร้านค้า 34 คูหา ชั้น 1-4 รวมสินค้าด้านศิลปะ, สตูดิโอ ชั้น 4 เป็นพื้นที่อิสระสำหรับกิจกรรมจัดงานดนตรี ละคร หรือกิจกรรมแนวทดลองทางศิลปะ ศิลปะการแสดงสด ฯลฯ

ห้องออดิทอเรียม ชั้น 5 เป็นห้องขนาด 222 ที่นั่ง ใช้สำหรับการประชุมสัมมนา แสดงละคร ดนตรี ฉายภาพยนตร์ และมีบริการโต๊ะเก้าอี้ไว้ให้มานั่งทำการบ้าน อ่านหนังสือ ห้องประชุมชั้น 4-5 รวม 4 ห้อง มีไว้สัมมนา ประชุม บรรยาย เวิร์กช็อป และพื้นที่แสดงศิลปะ จัดแสดงทัศนศิลป์ ชั้น 7-9 แสดงนิทรรศการงานศิลปะ

หอศิลป วัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร ตั้งอยู่บริเวณสี่แยกปทุมวัน มุมถนนพระราม 1 และถนนพญาไท เวลาทำการ 10.00-21.00 น. หยุดทุกวันจันทร์ เว็บไซต์ www.bacc.or.th
กรมการข้าว

รู้ไปโม้ด
nachart@yahoo.com


ต้องการทราบประวัติกรมการข้าว เกิดขึ้นได้อย่างไร และสำนักงานกรมตั้งอยู่ที่ไหน

nirut

ตอบ nirut


กรมการข้าวเป็นหน่วยงานระดับกรมในสังกัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ มีหน้าที่ศึกษา วิจัย พัฒนาข้าวในประเทศไทย มีหน่วยงานส่วนภูมิภาคคือ ศูนย์เมล็ดพันธุ์ข้าว 23 แห่ง และสำนักวิจัยและพัฒนาข้าว มีศูนย์วิจัยข้าวอีก 27 แห่ง รวมแล้วมีศูนย์ส่วนภูมิภาคตามจังหวัดต่างๆ จำนวน 50 ศูนย์

ย้อนไปรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว มีพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ตั้งกระทรวงเกษตราธิการขึ้นในปีพ.ศ.2542 และในปีพ.ศ.2444 ได้มีการจัดตั้งกรมช่างไหมขึ้น ตามด้วยการประกวดพันธุ์ข้าวเป็นครั้งแรกในประเทศไทยที่เมืองธัญบุรีในปี 2450 ก่อนเปลี่ยนชื่อกรมช่างไหมเป็นกรมเพาะปลูก มีหน้าที่ค้นคว้าทดลองเกี่ยวกับพันธุ์พืช การเพาะเลี้ยงไหม ปศุสัตว์ และการเพาะปลูก จวบจนมีการจัดตั้งสถานีทดลองคลองรังสิตขึ้น นับเป็นสถานีทดลองข้าวแห่งแรกของไทย ที่ตำบลคลองหก อำเภอธัญบุรี จังหวัดปทุมธานี

พ.ศ.2478 จัดตั้งแผนกข้าวขึ้นในสังกัดกองขยายการกสิกรรม กรมเกษตรและการประมง (หรือกรมการกสิกรรมในเวลาต่อมา) และปี 2481 ได้ยกฐานะแผนกข้าวขึ้นเป็นกองการข้าว ที่สุดสถาปนา "กรมการข้าว" ในวันที่ 16 กันยายน พ.ศ.2496 อย่างไรก็ตาม ในปี 2515 ได้ยุบรวมกรมการข้าวเข้ากับกรมกสิกรรมอีกครั้ง ทำให้กรมการข้าวมีฐานะเป็นกองการข้าว สังกัดกรมวิชาการเกษตร และเปลี่ยนชื่อเป็นสถาบันวิจัยข้าวในพ.ศ. 2525 กระทั่งพ.ศ. 2547 มีการจัดตั้งหน่วยงานที่ทำหน้าที่กำกับดูแลข้าวไทยขึ้นคือ สำนักงานข้าวแห่งชาติ มีฐานะเทียบเท่ากรม และวันที่ 15 มีนาคม 2549 พระราชบัญญัติปรับปรุงกระทรวง ทบวง กรม ให้จัดตั้งกรมการข้าวได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษา เป็นผลให้เกิดกรมการข้าวปัจจุบัน

โดยการจัดตั้งกรมการข้าวในครั้งนี้มีหลักการและเหตุผลระบุในท้ายพระราช บัญญัติ ความว่า "เนื่องจากข้าวเป็นพืชที่มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อเศรษฐกิจไทย แต่ปัจจุบันหน่วยงานที่รับผิดชอบเกี่ยวกับเรื่องข้าวมีอยู่หลายหน่วยงานและ กระจัดกระจายอยู่ตามส่วนราชการต่างๆ ในกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ จึงสมควรให้มีการจัดตั้งกรมการข้าวขึ้น มีฐานะเป็นส่วนราชการระดับกรม เพื่อทำหน้าที่รับผิดชอบดูแลเรื่องข้าวโดยเฉพาะ ให้ครอบคลุมถึงการปรับปรุงพัฒนาการปลูกข้าวให้มีผลผลิตต่อพื้นที่และคุณภาพ สูงขึ้น การพัฒนาพันธุ์ การอนุรักษ์และคุ้มครองพันธุ์ การผลิตเมล็ดพันธุ์ การตรวจสอบรับรองมาตรฐาน การส่งเสริมและเผยแพร่เพื่อพัฒนาชาวนา การแปรรูปและการจัดการอื่นๆ เพื่อเพิ่มมูลค่าข้าว รวมทั้งการตลาด และการส่งเสริมวัฒนธรรมและภูมิปัญญาท้องถิ่นเกี่ยวกับข้าว จึงจำเป็นต้องตราพระราชบัญญัตินี้"

หน่วยงานในสังกัดกรมการข้าว มีจำนวน 6 หน่วยงาน แบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม คือ กลุ่มที่มีสำนักงานตั้งอยู่ที่สำนักงานกรมการข้าว อาคารส่งเสริมการเกษตรเบญจสิริกิติ์(อาคารของกรมส่งเสริมการเกษตร) ได้แก่ สำนักบริหารกลาง สำนักนโยบายและยุทธศาสตร์ข้าว สำนักเมล็ดพันธุ์ข้าว และสำนักส่งเสริมการผลิตข้าว ส่วนที่มีสำนักงานอยู่ที่อาคารสถาบันวิจัยข้าว และกลุ่มที่มีสำนักงานตั้งอยู่ที่ อาคารสถาบันวิจัยข้าว มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ได้แก่ สำนักวิจัยและพัฒนาข้าว และสำนักพัฒนาผลิตภัณฑ์ข้าว (ตั้งอยู่บริเวณสถานีทดลองข้าวบางเขนเดิม) ทั้งหมดอยู่ภายในบริเวณมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ แขวงลาดยาว เขตจตุจักร กรุงเทพมหานคร มีรายละเอียดเกี่ยวกับกรมการข้าวอีกมากมายให้ศึกษา เข้าไปดูได้ที่ www.ricethailand.go.th


วันที่ 10 พฤษภาคม พ.ศ. 2554 ปีที่ 21 ฉบับที่ 7467 ข่าวสดรายวัน


รัฐสวัสดิการ


รู้ไปโม้ด
nachart@yahoo.com



อยากทราบข้อมูลของคำว่ารัฐสวัสดิการ มีที่มาอย่างไร

manas

ตอบ manas


ดร.จตุรงค์ บุณยรัตนสุนทร มหา วิทยาลัยหัวเฉียวเฉลิมพระเกียรติ อธิบายไว้ว่า รัฐสวัสดิการ (Welfare State) ในความหมายรวบยอดหมายถึง รัฐหรือประเทศที่มีการจัดระบบสวัสดิการสังคมอย่างทั่วด้านให้แก่ทุกคนใน สังคมอย่างถ้วนหน้า (Welfare for All) สวัสดิการต่างๆ ที่จัดขึ้นนั้นดำเนินงานโดยรัฐทั้งหมด โดยรัฐสวัสดิการมีลักษณะทั่วไป 3 ประการ คือ 1.รัฐประกันรายได้ขั้นต่ำของทุกคนในสังคม โดยไม่คำนึงว่าคนๆ นั้นจะเป็นใคร ทำงานอะไร มีทรัพย์สินมากน้อยแค่ไหน 2.สร้างความมั่นคงในชีวิตให้แก่ทุกคน ทุกครัวเรือน โดยให้มีหลักประกันทางรายได้และอยู่รอดปลอดภัยจากภาวะวิกฤตต่างๆ 3.ให้พลเมืองทุกคน โดยไม่เลือกกลุ่มคน ชนชั้นและสถานภาพ ได้รับบริการสังคม (social service) อย่างเสมอหน้ากัน ด้วยมาตรฐานที่ดีที่สุดเท่าเทียมกัน


รัฐ สวัสดิการถูกสร้างสรรค์ขึ้นในช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่สอง ในประเทศอังกฤษ สวีเดน นอร์เวย์ เดนมาร์ก เนเธอร์แลนด์ เยอรมนี ด้วยนโยบายสังคมของพรรคแรงงาน พรรคสังคมประชาธิปไตย และพรรคสังคมนิยมในยุโรป เนื่องจากว่าพรรคเหล่านี้เป็นตัว แทนของคนชั้นล่างที่เป็นมนุษย์ค่าจ้าง และคนชั้นกลาง ซึ่งเป็นคนส่วนใหญ่ของสังคมอุตสาหกรรม พรรคเหล่านี้จึงมีนโยบายเก็บภาษีก้าวหน้า เก็บภาษีทรัพย์สินและภาษีมรดก เพื่อให้รัฐบาลมีรายได้มากๆ แล้วนำรายได้นั้นมาจัดสรรเป็นสวัสดิการสังคมอย่างทั่วถึง แต่นโยบายภาษีดังกล่าวกระทบต่อความมั่นคงของคนชั้นสูงและชนชั้นนายทุน นโยบายสร้างรัฐสวัสดิการจึงไม่สามารถเกิดขึ้นได้ในยุคที่อำนาจรัฐอยู่ภายใต้ การยึดครองของพรรคนายทุนหรือพรรคของพวกขุนนาง

รัฐสวัสดิการไม่ได้ เกิดขึ้นง่ายๆ ยกตัวอย่างสวีเดน มีสวัสดิการสังคมประเภทช่วยเหลือเฉพาะคนยากจน ตั้งแต่ ค.ศ.1847 กระแสสังคมนิยมกับการเกิดพรรคสังคมประชาธิปไตย ในปี 1889 ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในระบบสวัสดิการสังคมให้ครอบคลุมประชาชนมากขึ้น กระทั่ง ค.ศ.1930 มีการปฏิรูประบบสวัสดิการสังคมครั้งใหญ่ โดยมีการถกเถียงกันใน 2 เรื่อง คือ 1.จะเป็นสวัสดิการแบบถ้วนหน้า (จนหรือรวยได้รับสวัสดิการเหมือนกัน) หรือแบบให้เฉพาะคนจน (ต้องพิสูจน์ว่าจนถึงจะได้) และ 2.รัฐจะหาเงินจากไหนมาใช้จ่ายสวัสดิการสังคม จากรายได้ภาษีอากร หรือจากการสมทบเงินของผู้ได้ประโยชน์ (เช่นระบบประกันสังคมของไทยในปัจจุบัน)

ในที่สุดปี ค.ศ.1945 ได้มีการสำรวจประชามติ ซึ่งพบว่าคนส่วน ใหญ่ต้องการสวัสดิการสังคมแบบถ้วนหน้า และปีต่อมาก็เป็นจุดเปลี่ยนประเทศเข้าสู่รัฐสวัสดิการ แบบที่คนได้รับสวัสดิการสังคมถ้วนหน้า อย่างดีเท่าเทียมกัน โดยไม่ต้องสมทบเงิน เพราะรัฐใช้รายได้จากภาษีอากร (เก็บในอัตราที่สูง) พรรคสังคมประชาธิปไตยได้ครองความเป็นรัฐบาลตั้งแต่ปี ค.ศ.1936 ถึง 1976 โดยไม่มีพรรคอื่นมาคั่นกลาง

ส่วนอังกฤษ หลังจากเปลี่ยนไปเปลี่ยนมาระหว่างแบบถ้วนหน้าไม่สมทบเงิน กับแบบสมทบเงิน ช่วงก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2 ในที่สุดก็สรุปว่า รัฐและประชาชนต้องร่วมกันรับผิดชอบสวัสดิการสังคม โดยรัฐช่วยจัดการให้มีสวัสดิการขั้นต่ำอัตราเดียว ประชาชนร่วมกันลงขันแบบอัตราเดียว ถ้าใครต้องการมีกินมีใช้มากกว่าขั้นต่ำก็ต้องช่วยตัวเอง แต่ถ้าเป็นคนจนรัฐก็ช่วยเหลือเพิ่มเติมแบบให้เปล่า อย่างไรก็ตาม รัฐบาลซึ่งมาจากพรรคอนุรักษนิยมกลับประกาศว่าจะยังไม่ดำเนินการตามแนวทางนี้ จนกระทั่งการเลือกตั้ง ค.ศ.1945 พรรคแรงงานชนะการเลือกตั้ง จึงได้ออกกฎหมายเกี่ยวกับสวัสดิการสังคมทั้งหมด 8 ฉบับ ให้สวัสดิการประชาชนตั้งแต่เกิดจนตาย


วันที่ 09 พฤษภาคม พ.ศ. 2554 ปีที่ 21 ฉบับที่ 7466 ข่าวสดรายวัน


เครื่องเคลือบดินเผาแห่งจิ่งเต๋อเจิ้น


รู้ไปโม้ด
nachart@yahoo.com



ขอความรู้เรื่องประวัติการทำถ้วยชามที่ใช้ดินเกาลินทำในจีน ไม่ทราบเมืองไหน มีประวัติไหม อย่างใด

พจน์

ตอบ พจน์


ข้อ มูลจากเว็บไซต์ของ China Radio International (CRI) มีรายละเอียดเกี่ยวกับเครื่องเคลือบดินเผา หรือกังไสแห่งแผ่นดินจีน สรุปความได้ว่า เมืองจิ่งเต๋อเจิ้นเป็นแหล่งผลิตเครื่องเคลือบดินเผามาแต่ดั้งเดิมของจีน ผลิตกันมาตั้งแต่สมัยราชวงศ์ถัง (พ.ศ. 1161-1450) และที่สุดเฟื่องฟูยิ่งในสมัยราชวงศ์ซ่ง หรือราชวงศ์ซ้อง (พ.ศ.1503-1822) โดยเครื่องถ้วยชามที่ใช้กันในพระราชสำนักต้องสั่งซื้อจากจิ่งเต๋อเจิ้นเท่า นั้น ซึ่งมีผู้เปรียบเทียบว่าเครื่องเคลือบของจิ่งเต๋อเจิ้นนั้น "ขาวราวหยก ใสดังกระจก บางเหมือนกระดาษ เสียงดุจเคาะหิน"

ในอดีต จิ่งเต๋อเจิ้นเป็นตำบลเล็กๆ มีชื่อเรียก "ชางหนาน" กระทั่งพ.ศ.1547 จักรพรรดิเจินจงแห่งราชวงศ์ซ้องเหนือสั่งให้เปิดศูนย์การค้าผลิตภัณฑ์ เครื่องเคลือบดินเผาขึ้นที่ตำบลนี้ ได้ทรงลายลักษณ์อักษรคําว่า "ผลิตในปีรัชสมัยจิ่งเต๋อ" ซึ่งเป็นนามรัชสมัยของพระองค์ไว้ใต้เครื่องเคลือบดังกล่าว และพระราชทานคําว่า จิ่งเต๋อ ให้เป็นชื่อเมืองด้วย นับจากนั้นมาเมืองนี้ก็ได้เปลี่ยนชื่อเป็น จิ่งเต๋อเจิ้น (เจิ้น แปลว่า ตำบล)

ทั้งนี้ เพราะเนื้อดินในเขต จิ่งเต๋อเจิ้นเป็นดินคุณภาพดี เหมาะสำหรับทำเป็นเครื่องเคลือบ เมื่อพ.ศ.2412 ริชโธเฟน นักธรณีวิทยาชาวเยอรมันไปสำรวจ ที่จิ่งเต๋อเจิ้น เขาระบุว่า ดินเกาลิน (kaolin) มาจากเนินเขากาวหลิ่งบริเวณเมืองจิ่งเต๋อเจิ้น เป็นดินผสมดินข้าวเจ้ากับดินข้าวเหนียว ซึ่งเป็นวัตถุดิบที่สำคัญที่สุดในการทำเครื่องเคลือบดินเผา

ดินเกาลิน เป็นชื่อดินทางวิชาการตามมาตรฐานสากล (หรือ China Clay หรือ ดินขาว เกิดจากการแปรสภาพของหินแกรนิตเป็นหินฟันม้า มีความบริสุทธิ์สูง เนื้อดินหยาบ สีขาวหม่น มีความเหนียวน้อย หดตัวน้อย ทนความร้อนได้สูง) ซึ่งตั้งแต่สมัยราชวงศ์ซ้องเหนือดังกล่าวที่เครื่องเคลือบดินเผาของจิ่งเต๋อ เจิ้นส่งออกไปยังญี่ปุ่น เกาหลี เวียดนาม เอเชียอาคเนย์ ตะวันออกกลาง และผ่านกลุ่มประเทศอาหรับไปยังยุโรป เครื่องเคลือบแต่ละชิ้นมีลายพิมพ์สถานที่ผลิตว่า ชางหนาน ภาษาอังกฤษเขียน China ภาษาฝรั่งเศสเขียน Chine แต่ออกเสียงเป็น China เหมือนกัน และนั่นคือที่มาของชื่อประเทศจีนที่ภาษาฝรั่งเรียก ไชน่า อันหมายถึงเครื่องถ้วยชามที่มาจากเมืองจีน

และนับแต่นั้น จิ่งเต๋อเจิ้นก็กลายเป็นศูนย์กลางการผลิตและจำหน่ายเครื่องเคลือบดินเผาที่ มีชื่อเสียงที่สุดในจีนและในโลกจิ่งเต๋อเจิ้นตั้งอยู่ทางตะวันออกเฉียงเหนือ ของมณฑลเจียงซี ภาคกลางของจีน ซึ่งทุกวันนี้ชาวพื้นเมืองส่วนใหญ่ยังสืบทอดหัตถกรรมเครื่องเคลือบจาก บรรพบุรุษอย่างเหนียวแน่น และยังดำรงชื่อเสียงมาจนปัจจุบัน

เครื่อง เคลือบดินเผาที่มีลายครามสวย งามของเมืองจิ่งเต๋อ เจิ้นมีอายุยาวนานกว่าพันปี เป็นผลงานอันชาวเมืองและชาวจีนภาคภูมิใจยิ่ง โดยสะท้อนผ่านการตกแต่งเมืองด้วยเครื่องเคลือบดินเผาในแทบทุกจุดของเมือง ไม่ว่าจะเป็นถนนหนทาง กำแพง สองข้างทาง โคมไฟ รูปปั้น ประติมากรรม และจิตรกรรมฝาผนัง ดูสวยงามไปทั้งเมือง โดยเฉพาะมังกรขนาดยักษ์ทำด้วยเครื่องเคลือบดินเผาสีสันสวยงาม แวววาว ตระหง่านอยู่ที่ใจกลางเมือง

ที่สำคัญยังมีพิพิธภัณฑ์เครื่อง เคลือบดินเผา สถานที่ให้ความรู้เกี่ยวกับประวัติความเป็นมาของเครื่องเคลือบดินเผาและขั้น ตอนการผลิต ตั้งแต่การนวดดิน วิธีปั้น การออกแบบแม่พิมพ์ ฝีมือลงสีลวดลาย การควบคุมความร้อนของไฟ ซึ่งแต่ละขั้นตอนต้องมีเทคนิคและเคล็ดลับในการทำถ้วย โถ โอ ชาม จาน ช้อน ไห ตั้งแต่สมัยโบราณจวบจนปัจจุบัน เหนืออื่นใด ในพิพิธภัณฑ์ยังมีการแสดงดนตรีคลาสสิคที่บรรเลงด้วยเครื่องดนตรีซึ่งทุกชิ้น ทำจากเครื่องเคลือบดินเผาแห่งจิ่งเต๋อเจิ้น

วันที่ 05 พฤษภาคม พ.ศ. 2554 ปีที่ 21 ฉบับที่ 7462 ข่าวสดรายวัน


เค้กแต่งงาน


คอลัมน์ รู้ไปโม้ด
น้าชาติ ประชาชื่น nachart@yahoo.com



ถึง น้าชาติ

งานเสกสมรสระหว่างเจ้าชายวิลเลียมกับ น.ส.เคต มิดเดิลตัน มีการตัดเค้กแต่งงานด้วย อยากรู้ว่าเค้กแต่งงานมีมาตั้งแต่เมื่อไหร่คะ

จาก มินนี่

ตอบ มินนี่

"เค้ก แต่งงาน" เริ่มขึ้นในคริสต์ศตวรรษที่ 12-15 ในสมัยโรมัน ในยุคนั้นไม่มีการทำเค้กอลังการตามแบบที่เห็นกันในปัจจุบัน ผู้ร่วมงานจะบิขนม ปังออกเหนือศีรษะ ตามความเชื่อที่ว่าจะนำโชคมาให้คู่บ่าวสาวใหม่ บางครั้งก็จะโปรยบนศีรษะของเจ้าสาวด้วย แต่โดยปกติแล้วจะทำบนศีรษะของเจ้าบ่าวเป็นส่วนใหญ่ โดยเค้กจะวางบนพื้น แทนความโชคดีและอุดมสมบูรณ์ บางครั้งก็หมายถึงความโชคดีของแขกที่มาในงานแต่งงาน

ในยุคกลาง เค้กแต่งงานค่อนข้างเรียบง่าย มีเพียงบิสกิตกับ ขนมสโคน แขกที่มางานจะนำเค้กก้อนเล็กๆ มามอบให้คู่บ่าวสาว และเมื่อมากเข้าก็นำมาวางเรียงสูงขึ้นๆ โดยที่คู่บ่าวสาวจะต้องจูบกันเหนือกองตั้งเค้กกองนั้น ตามความเชื่อที่ว่าจะนำความโชคดีให้กับชีวิตสมรสใหม่ของทั้งคู่

ต่อ มาในคริสต�ศตวรรษที่ 17 เป็นจุดเริ่มต้นของเค้กแต่งงาน รูปแบบใหม่ที่หน้าตาคล้ายกับเค้กแต่งงานในปัจจุบัน เนื่องจากช่างทำขนมปังชาวฝรั่งเศสอบขนมปังเป็นก้อนโรยด้วยน้ำตาลไอซิ่ง และยังนิยมวางเค้กเป็นชั้นๆ ตกแต่งหน้าเค้กด้วยน้ำตาล

เค้กแต่งงาน ส่วนใหญ่มีขนาดใหญ่ เรียงเป็นชั้นๆ ตกแต่งอย่างสวยสดงดงามด้วยครีมและน้ำตาลแต่งหน้าเค้ก ส่วนยอดของขนมเค้กนั้นมักประดับด้วยตุ๊กตาแทนตัวบ่าวสาว หรืออาจใช้เป็นรูปนก รูปแหวนทอง หรือรูปเกือกม้า สิ่งต่างๆ เหล่านี้เป็นสัญลักษณ์ของความโชคดีและความเจริญรุ่งเรืองสำหรับคู่บ่าวสาว

เนื้อ เค้กแต่งงานที่ดีจะต้องมีเนื้อแน่นเพื่อรองรับน้ำหนักของชั้นเค้กที่ตกแต่ง อย่างสวยงาม ที่สำคัญยังต้องรับประทานได้และอร่อยด้วย ซึ่งต้องอาศัยทักษะและประสบการณ์ของพ่อครัวเป็นสำคัญ

การตัดเค้กมี ขั้นตอน เจ้าสาวจะตัดเค้กสองชิ้นแรกโดยเจ้าบ่าววางมือของเขาบนมือเจ้าสาว จากนั้นเจ้าบ่าวจะป้อนเค้กชิ้นแรกให้เจ้าสาว และเจ้าสาวจะป้อนเค้กชิ้นที่สองให้เจ้าบ่าว เป็นการสื่อว่าทั้งคู่จะเกื้อกูลซึ่งกันและกัน

หลังตัดเค้กแต่งงาน เป็น ชิ้นๆแล้ว ฝ่ายบ่าวสาวจะแบ่งเค้กเหล่านั้นให้ผู้ที่มาร่วมพิธีได้รับประทานกัน ซึ่งอาจจะรับประทานเลยหรือนำกลับบ้านไปฝากบุคคลที่ไม่ได้มาร่วมงานก็ได้

ใน ประเพณีโบราณ เชื่อว่าหากเพื่อนเจ้าสาวคนไหนอยากฝันเห็นเนื้อคู่ของตนในอนาคต ให้นำเค้กแต่งงานไปไว้ใต้หมอนหรือข้างหมอนแล้วนอนหลับ สาวคนนั้นจะฝันเห็นคู่ชีวิตของตน

เค้กแต่งงานบางส่วนจะเก็บรักษาไว้ รับประทานในวันฉลองครบรอบแต่งงานในปีถัดๆ ไป บางส่วนใช้ฉลองในวันที่คลอดลูกคนแรก แต่โดยส่วนใหญ่จะใช้ในพิธีตั้งชื่อบุตรตามหลักคริสต์ศาสนา ส่วนใหญ่จะเก็บชั้นบนสุดของเค้กที่มักจะตกแต่งด้วย ผลไม้ซึ่งสามารถเก็บรักษาเอาไว้ได้เป็นระยะเวลานานด้วยการแช่แข็ง

มาชูปิกชู อินคา

คอลัมน์ รู้ไปโม้ด
น้าชาติ ประชาชื่น nachart@yahoo.com


ถึง น้าชาติ

เคยได้ยินชื่อมาชูปิกชูมานานแล้ว เห็นรูปแล้วอยากไปมากและอยากรู้ประวัติด้วยค่ะ

จาก น้องแป้ง

ตอบ น้องแป้ง

มา ชูปิกชู (Machu Picchu) หรือเมืองสาบสูญแห่งอินคา เป็นซากอารยธรรมโบราณของชาวอินคา ตั้งอยู่บนยอดของทิวเขามาชูปิกชู ในประเทศเปรู ที่ความสูง 2,350 เมตรเหนือระดับน้ำทะเล องค์การการศึกษา วิทยาศาสตร์ และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ หรือยูเนสโก ขึ้นทะเบียนมาชูปิกชูให้เป็นมรดกโลกในปี 2526 โดยยกย่องให้เป็น "สถาปัตยกรรมชั้นยอดหนึ่งเดียวของชาวอินคา"

ต่อมาในปี 2550 มาชูปิกชูได้รับเลือกให้เป็น 1 ใน 7 สิ่งมหัศจรรย์ของโลกยุคใหม่จากการลงคะแนนทั่วโลกทั้งทางอินเตอร์เน็ตและ โทรศัพท์มือถือ

มาชูปิกชูน่าจะสร้างขึ้นเมื่อคริสต์ศตวรรษที่ 15 โดยจักรพรรดิปาชากูตีของชาวอินคาในสมัยที่จักรวรรดิอินคารุ่งเรือง ครอบคลุมพื้นที่ 326 ตารางกิโลเมตร แต่ไม่มีใครรู้ถึงสาเหตุแท้จริงที่ทำให้ชาวอินคาละทิ้งมาชูปิกชูจนกลายเป็น เมืองร้าง นอกจากข้อสันนิษฐานว่าอาจเกิดโรคระบาดร้ายแรง เช่น ฝีดาษ จนต้องปิดเมืองถาวร แต่ไม่ได้มาจากการที่สเปนรุกรานอย่างแน่นอน เพราะมาชูปิกชูเป็นเมืองร้างก่อนหน้าที่ชาวสเปนจะรุกรานเปรูนับร้อยปี

ภาย หลังจักรวรรดิของชาวอินคาล่มสลายไปแล้ว 400 ปี นายฮิแรม บิงแฮม นักโบราณคดีชาวอเมริกันจากมหาวิทยาลัยเยล ค้นพบมาชูปิกชูโดยบังเอิญในปี 2454 เพราะชาวนาคนหนึ่งเล่าให้ฟังว่ามีซากเมืองโบราณอยู่บนภูเขาที่เรียกว่ามาชู ปิกชู (แปลว่ายอดเขาเก่า) เมื่อบุกป่ารกไปถึงยอดเขาก็เห็นที่ราบโล่งเตียนยาวหลายร้อยเมตร สุดทางมีกำแพงหินแกรนิตสีขาว มีวัชพืชขึ้นคลุมมิดและพบสิ่งก่อสร้างด้วยหินสวยงามประณีตมาก ทำให้คณะสำรวจแปลกใจมาก เพราะในยุคนั้นมนุษย์ยังไม่รู้จักเครื่องมือที่ทำด้วยเหล็ก แรง งานสัตว์ชักลากหรือแม้ แต่ล้อทุ่นแรง

สิ่งก่อสร้างรูปจัตุรัสซ้อน กันหลายชั้น มีทั้งโรงอาบน้ำ ลานกว้าง ท่อส่งน้ำ บ้านเรือน วัง และหมู่วิหาร อาคารต่างๆ สร้างขึ้นด้วยหินแกรนิตก้อนมหึมาโดยไม่ได้โบกปูน แต่ก้อนหินเหล่านี้ต่อเข้ากันได้พอดี แม้แต่ใบมีดก็แทรกผ่านเข้าไปไม่ได้ แต่ไม่พังลงมาแม้มาชูปิกชูตั้งอยู่บนเทือกเขาแอนดิสที่เสี่ยงต่อการเกิดแผ่น ดินไหวก็ตาม

ปี 2550 ดร.จอห์น เรนฮาร์ด นักโบราณคดีชาวอเมริกันสันนิษ ฐานว่าชาวอินคาคงสร้างมาชูปิกชูเพื่อเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ มีทำเลเหมาะกับการเป็นศาสนสถาน เพราะมีภูเขาล้อมรอบและมีแม่น้ำอารูบัมบาไหลผ่าน อีกทั้งตั้งอยู่บนหน้าผาที่ดิ่งชันสูงถึง 600 เมตรจากฐานที่เป็นแม่น้ำอารูบัมบา นับเป็นยุทธศาสตร์ทางทหารที่ดีเยี่ยม เพราะหน้าผาสูงชันเป็นปราการป้องกันตามธรรมชาติได้อย่างดี

มาชูปิกชู แบ่งออกเป็น 2 ส่วนใหญ่ คือ ส่วนเมืองและส่วนเกษตรกรรม คาดว่ามีประชากรอาศัยประมาณ 1 พันคน มีโครงสร้างชนชั้นทางสังคม มีทั้งนักบวช ขุนนาง และกรรมกร ที่พักและที่ทำ งานของพวกขุนนางจะอยู่บนพื้นที่ที่สูงกว่าส่วนบ้านเรือนของชาวบ้าน

ด้าน ทิศตะวันตกของเมืองเป็นที่ตั้งของอินติอัวตานา หมายถึงเสาพันธนาการพระอาทิตย์ เป็นยกพื้นเตี้ยสร้างขึ้นง่ายๆ โดยมีเสาหินตั้งอยู่ มีวิหารสองหลังอยู่เบื้องหน้าอินติอัวตานา คือ วิหารตรีบัญชร และวิหารใหญ่ ที่สร้างขึ้นแบบง่ายๆ และไม่มีหลังคาคลุมเพื่อให้นักบวชเฝ้ามองสวรรค์ได้ตลอดเวลา


วันที่ 12 พฤษภาคม พ.ศ. 2554 ปีที่ 21 ฉบับที่ 7469 ข่าวสดรายวัน


เกอิชา


คอลัมน์ รู้ไปโม้ด
น้าชาติ ประชาชื่น nachart@yahoo.com



ถาม น้าชาติ

อยากรู้จัก "เกอิชา" ค่ะ ทราบมาว่ากว่าจะเป็นเกอิชาได้นั้นยากมาก น้าช่วยหาคำตอบให้หน่อยค่ะ

จาก มิ้งค์

ตอบ มิ้งค์

เกอิชา หญิงสาวผู้ทรงความงามอันเป็นเอกลักษณ์ของญี่ปุ่นนี้ คือผู้สืบทอดศิลปะโบราณของญี่ปุ่น เพื่อให้ความบันเทิงและสนทนาพูดคุยกับแขก

คำว่า เกอิชา แปลตรงตัวว่า ผู้มีศิลปะ มาจากคำว่า เกอิ ที่แปลว่า ศิลปะ ผสมกับคำว่า ชา ที่แปลว่า บุคคล หากออกเสียงให้เหมือนญี่ปุ่นต้องออกเสียงว่า เกฉะ

เนื่องจากเกอิชาต้องรู้ศิลปะทุกแขนง ทั้งการร่ายรำ การดนตรี ขนบประเพณีที่งดงาม เช่น พิธีชงชา การจัดดอกไม้

นอก จากนี้ยังต้องรู้จักมารยาท ต้องสำรวมกาย วาจา ใจ เพื่อให้รู้จักอดทนอดกลั้น เมื่อต้องรับแขกที่ไม่ดีก็จะสามารถรับมือได้อย่างมีสติ


สิ่ง สำคัญที่สุดของการเป็นเกอิชาและถือเป็นจรรยาบรรณ คือการเก็บความลับ เพราะเมื่อสนทนากับแขก แขกอาจพูดเรื่องส่วนตัว เรื่องการเมือง หรือธุรกิจ

กว่า จะเป็นเกอิชาได้ ต้องผ่านการฝึกฝนอย่างหนักตั้งแต่เด็ก โดยมากมักเป็นเด็กยากจนที่ถูกขายและต้องตัดขาดจากครอบครัว เมื่อเข้าสำนักเกอิชา จะมีสถานะเป็น ชิโคะมิ หรือคนรับใช้และเรียกเจ้าสำนักว่า โอคาซัง หรือคุณแม่ โดยต้องคอยทำงานบ้านและปรนนิบัติเกอิชารุ่นพี่ พร้อมกับแบ่งเวลาเรียนดนตรีและการร่ายรำ

ในช่วงวัยสาวรุ่น จะเรียกว่า ไมโกะ หรืออยู่ในฐานะเกอิชาฝึกหัด จะแต่งตัวด้วยกิโมโนแขนยาวสีสันสวยงาม เกล้าผมแบบลูกท้อผ่าครึ่ง มีพี่เลี้ยงคอยดูแลและแนะนำทุกเรื่อง

เมื่อข้ามพ้นการเป็นไมโกะ หรือเกอิชาฝึกหัด เมื่ออายุราว 21 ปี จะเปลี่ยนวิธีการแต่งตัวใหม่โดยดันคอเสื้อตัวในซึ่งเป็นสีขาวเข้าไปเพื่อเผย ให้เห็นส่วนสีแดงของเสื้อตัวในนิดหน่อย และสวมกิโมโนที่มีแขนสั้นขึ้นเพื่อแสดงถึงความเป็นผู้ใหญ่

ชุด กิโมโนของเกอิชาทำมาจากผ้าไหมชั้นดี แต่ละคนมีประมาณ 20 ตัว เพื่อให้เลือกใส่ได้ตามโอกาสและประเพณี เกอิชาไม่สวมชุดชั้นในเพื่อป้องกันไม่ให้ชุดชั้นในเกี่ยวรั้งกับผ้าไหม และคาดโอบิเป็นผ้าไหมเพื่อให้เดินหลังตรงและสง่า สวมรองเท้าเกี๊ยะไม้ส้นสูงและฝึกก้าวเดินสั้นๆ อย่างนุ่มนวล ปลายเท้าต้องหันเข้าหากันเป็นรูปเลข 8 ของญี่ปุ่น เพื่อให้ทรงตัวดีขึ้น

การ แต่งหน้าให้ดูหนาเตอะเหมือนสวมหน้ากากเพื่อให้ดูเร้นลับ รอการเปิดเผย ทาริมฝีปากเพียงครึ่งเดียวเพื่อให้ดูเชื้อเชิญ เผยให้เห็นไรผมเล็กน้อยเพื่อให้ดูเด่นน่าค้นหา

เวลารับแขกที่สำนัก เกอิชา เกอิชาต้องคอยปรนนิบัติ เช่น รินเหล้า ร่ายรำ ดีดซามิเซ็ง (เครื่องดีดคล้ายกีตาร์) แต่เกอิชาไม่ใช่โสเภณี สังเกตได้จากการแต่งตัว โสเภณีจะมีสายโอบิผูกชุดที่สามารถแกะได้จากข้างหน้าและสวมเครื่องประดับที่ หรูหรา ฟู่ฟ่า ส่วนเกอิชามีผ้าโอบิผูกจากข้างหลังเหมือนชุดกิโมโนทั่วไป สวมเครื่องประดับเรียบง่ายแต่สวยงาม

เกอิชาแต่งงานมีสามีได้ แต่ต้องออกจากอาชีพนี้ไปเลย แต่เกอิชาสามารถมีผู้อุปถัมภ์ เรียกว่า ดันนะ คอยช่วยเหลือด้านการเงิน เพราะเกอิชาต้องแต่งตัวให้งดงาม ทำให้มีค่าใช้จ่ายเยอะมาก ดันนะก็เป็นเหมือนสามีของเกอิชา เพียงแต่ทั้งคู่จะไม่เปิดเผยความสัมพันธ์นี้ให้คนนอกรู้ คนภายนอกมองแล้วก็เห็นว่าเป็นเพียงลูกค้าคนหนึ่งเท่านั้น


วันที่ 23 พฤษภาคม พ.ศ. 2554 ปีที่ 21 ฉบับที่ 7480 ข่าวสดรายวัน


ผ้าไทย


รู้ไปโม้ด
nachart@yahoo.com



ต้องการทราบประวัติศาสตร์ผ้าไทยในอดีต และผ้าไทยมีชนิดละเอียด อย่างไร

aim

ตอบ aim


สารานุกรมไทยสำหรับเยาวชนฯ เล่มที่ 15 กล่าวถึงผ้าไทย ว่า ผ้าที่คนไทยเราใช้เป็นเครื่องนุ่งห่มนั้น จะค้นคิดประดิษฐ์ได้สำเร็จตั้งแต่เมื่อไรไม่มีหลักฐานแน่นอนเด่นชัด ทราบ แต่ว่าคนไทยรู้จักนำเอาฝ้าย ปอและไหม มาทอเป็นผ้าได้นานแล้ว หลักฐานทางโบราณคดีและประวัติศาสตร์ศิลปะที่พบ แสดงให้เห็นว่าบนแผ่นดินไทยมีร่องรอยการใช้ผ้าและทอผ้าได้ตั้งแต่สมัยก่อน ประวัติศาสตร์ คือเมื่อราว 5,000 ปีมาแล้ว

ยังมีจดหมายเหตุจีนที่บันทึกเกี่ยวกับดินแดนของไทยเมื่อพุทธศตวรรษที่ 10-11 ปรากฏข้อความเกี่ยวกับผ้าอยู่ในภาพเขียน "คนไทย" ของ เซียะสุย (Hsich-Sui) จิตรกรแห่งราชสำนักจีน ใน ค.ศ. 1762 รัชกาลพระเจ้าเฉียนหลงแห่งราชวงศ์ซิง เป็นหลักฐานสำคัญถึงความเจริญรุ่งเรืองทางวัฒนธรรมของไทยที่มีมานานนับพันปี โดยเฉพาะ เรื่องผ้า

ความว่า "สยาม ตั้งอยู่บริเวณทิศตะวันตกเฉียงใต้ของแจ้นเฉิน ในสมัยราชวงศ์สุยและราช วงศ์ถังเรียกประเทศนี้ว่า ซื่อถู่กวั๋ว แปลว่าประเทศที่มีดินสีแดง ต่อมาซื่อถู่กวั๋วแบ่งออกเป็นสองรัฐ รัฐหนึ่งเรียกว่าหลัวฮู่ รัฐหนึ่งเรียกว่าฉ้วน (เสียนหรือเสียมในภาษาแต้จิ๋ว) ต่อมารัฐฉ้วนถูกรัฐหลัวฮู่เข้าตี และรวมกันได้ พระเจ้าหงอู่แห่งราชวงศ์หมิงจึงทรงเรียกประเทศใหม่ว่า ฉ้วนหลัว" และ "ตำแหน่งขุนนางมี 9 ชั้น 4 ชั้นแรก ปกติจะสวมหมวกทองที่มียอดสูงและประดับด้วยอัญมณีต่างๆ ชั้นต่ำลงมาใช้ผ้าโพกศีรษะ ซึ่งจีนเรียกว่าหลงต้วน ทำด้วยผ้าไหม กำมะหยี่ ผ้าเหล่านี้ปักอย่างสวยงามและทอด้วยเส้นทอง หรือมีผ้าสั้นที่มีลายพิเศษด้านนอก ผู้ชายมีผ้าคาดเอวทำด้วยผ้าปักไหม ผ้าคลุมชั้นนอกมี 5 สี ส่วนผ้าชั้นในมีสีสันสวยงามและทอผสมกับเส้นทอง ผ้านุ่งยาวมากกว่าตัวผู้นุ่ง 2-3 ชั้น"

ผ้าไทยมี "ผ้ากรองทอง" ผ้าถักด้วยแล่งเงินหรือแล่งทองเป็นลวด ลาย ส่วนมากนำมาทำเป็นผ้าสไบใช้ห่มทับลงบนผ้าแถบและผ้าสไบอีกชั้นหนึ่ง มักใช้แต่เฉพาะเจ้านายผู้หญิง "ผ้าขาวม้า" เดิมเรียกผ้ากำม้า ผ้าประจำตัวของผู้ชายใช้สารพัด เป็นผ้าฝ้ายผืนยาวทอเป็นลายตาตาราง "ผ้าเขียนทอง" ผ้าพิมพ์เน้นลวดลาย แล้วเขียนเส้นทองตามขอบลาย เกิดขึ้นสมัยรัชกาลที่ 1 ใช้เฉพาะกษัตริย์ลงมาถึงชั้นพระ องค์เจ้าโดยกำเนิดเท่านั้น "ผ้าตาโถง" ผ้าลายตาสี่เหลี่ยมหรือตาทแยง เป็นผ้านุ่งของผู้ชายคล้ายผ้าโสร่ง "ผ้าปักไทย" ใช้กันในบรรดาเจ้านายชั้นสูง ส่วนมากใช้ผ้าไหมพื้นเนื้อดีปักลวดลายด้วยไหมสีต่างๆ ทั้งผืน ถ้าใช้ไหมสีทองมากก็เรียกว่าผ้าปักไหมทอง

"ผ้าปูม" หรือมัดหมี่ เป็นผ้าส่วยของหลวงมาจากเมืองเขมรที่ใช้พระราชทานเป็นเครื่องยศขุนนาง เดิมไทยเรามีโรงไหมของหลวงทอผ้าสมปักปูมและสมปักเชิงกรวยพระราชทาน ทอด้วยไหมเพลาะ กลางผืนผ้าเป็นลายสีต่างๆ มีสมปักปูมเป็นชนิดสูงสุด สมปักริ้วเป็นชนิดต่ำสุด ดังนั้น ผ้าปูมคงหมายถึงเฉพาะผ้าสมปักปูม "ผ้าพิมพ์" ในสมัยอยุธยามีช่างเขียนลายบนผ้าอยู่แถววัดขุนพรหม และน่าจะมีสั่งทำจากอินเดียด้วย ส่วนสมัยรัตนโกสินทร์มีหลักฐานว่า สั่งทำผ้าพิมพ์หรือผ้าลายจากอินเดียตามแบบลายไทยที่สั่งไป เรียกว่าลายอย่าง ต่อมาอินเดียทำผ้าพิมพ์เองโดยเขียนเป็นลายแปลงของอินเดียผสมลายไทย เรียกลายนอกอย่าง

"ผ้าเปลือกไม้" ทอจากใยที่ทำจากเปลือกไม้ มีมาตั้งแต่สมัยก่อนประวัติศาสตร์และเข้าใจว่าคงจะทอใช้เรื่อยมาจนสมัย รัชกาลที่ 1 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ "ผ้ายก" คำว่ายกมาจากกระบวนการทอ เวลาทอเส้นด้ายหรือไหมที่เชิดขึ้นเรียกว่าเส้นยก ที่จมลงเรียกว่าเส้นข่ม แล้วพุ่งกระสวยไประหว่างกลาง และเมื่อเลือกยกเส้นข่มขึ้นบางเส้นก็จะเกิดลายยกขึ้น "ผ้าสมปัก" ผ้านุ่งพระราชทานให้ขุนนาง ทอด้วยไหมเพลาะ กลางผืนผ้าเป็นสีและลายต่างๆ "ผ้าสมรด" หรือสำรด ผ้าคาดทับเสื้อครุยในงานพระราชพิธีของขุนนางชั้นสูง หรือเรียกว่าผ้าแฝง ทำด้วยไหมทอง บางทีหมายถึงผ้าคาดเอวที่ทำด้วยผ้าตาดทองปักดิ้น ปักปีกแมลงทับ "ผ้าไหม" ผ้าทอด้วยเส้นไหม

ทำไมไม่มีแมวในนักษัตร

คอลัมน์ รู้ไปโม้ด
น้าชาติ ประชาชื่น nachart@yahoo.com


ถึง น้าชาติ ปีนักษัตรมีที่มาอย่างไรคะ แล้วทำไมไม่มีปีแมว

จาก น้องคิตตี้

ตอบ น้องคิตตี้

คำ ว่า "นักษัตร" หมายถึง ชื่อรอบเวลากำหนด 12 ปี เป็น 1 รอบ โดยกำหนดสัตว์ 12 ชนิด เป็นเครื่องหมายในแต่ละปี เริ่มจากปีชวด-หนู ฉลู-วัว ขาล-เสือ เถาะ-กระต่าย มะโรง-งูใหญ่ (จีนคือมังกร) มะเส็ง-งูเล็ก มะเมีย-ม้า มะแม-แพะ วอก-ลิง ระกา-ไก่ จอ-สุนัข และ กุน-หมู

ส่วนประวัติตำนานการใช้สัตว์เป็นชื่อปีเป็นเรื่องที่หาหลักฐานได้ยาก แล้วแต่ความเชื่อของแต่ละชนชาติ

ตำนาน ของชาวไทยลื้อเล่าว่า ครั้งหนึ่งพระพรหมถูกตัดเศียร ลูกสาวทั้ง 12 นางของพระพรหมซึ่งก็ คือนางสงกรานต์มีหน้าที่เชิญพานที่รองรับเศียรพระพรหมออกแห่ในวันสงกรานต์ ทุกปี โดยผลัดกันปีละนาง นางเหล่านี้มีพาหนะต่างกัน นางหนึ่งขี่หนู นางหนึ่งขี่วัว นางหนึ่งขี่เสือ ขี่กระต่าย ขี่พญา นาค ขี่งู ขี่ม้า ขี่แพะ ขี่ลิง ขี่ไก่ ขี่สุนัข ขี่หมู ไปตามลำดับ ตามตำนานกล่าวว่าชาวไทยลื้อได้เอาพาหนะที่นางทั้งสิบสองขี่นี่แหละมาใช้ เรียกชื่อปี

บางตำนานเล่าว่า ตำนานแห่งปีนักษัตรเริ่มต้นตั้งแต่สมัยพุทธกาล พระพุทธเจ้าทรงเชิญสัตว์ต่างๆ มาร่วมงานเลี้ยงก่อนที่พระองค์จะละสังขารไปจากโลกนี้ และหากสัตว์ใดมาถึงงานเลี้ยงได้ 12 ตัวแรก จะได้รับการแต่งตั้งให้เป็นสัญลักษณ์ของปีนักษัตรทั้ง 12 ปี

ปรากฏ ว่าสัตว์ทั้งหลายต่างเร่งฝีเท้ากันอย่างเต็มที่เพราะต้องการไปให้ถึงงาน เลี้ยงเป็นตัวแรก เพื่อจะได้รับเกียรติเป็นสัญลักษณ์ของปีเริ่มต้นของปีนักษัตร ในบรรดาสัตว์มากมายนั้นมีเจ้าหนูตัวกระจ้อยร่อยรวมอยู่ด้วย ถึงแม้มันจะเป็นเพียงสัตว์เล็กๆ แต่มันก็ใฝ่ฝันทะเยอทะยาน เจ้าหนูกระโดดเกาะหางวัวใหญ่ที่กำลังวิ่งอย่างเต็มฝีเท้าผ่านหน้ามันไป และแซงหน้าสัตว์อื่นๆ ไปอย่างรวดเร็ว

จนกระทั่งใกล้ถึงเส้นชัย เจ้าหนูน้อยกลับกระโดดแผล็ววิ่งไปบนหลังวัวหนุ่มและถีบตัวเองลอยละลิ่วเข้า สู่เส้นชัยเป็นตัวแรกได้สำเร็จ ท่ามกลางความงงงวยของสัตว์ทั้งหลายเป็นอย่างยิ่ง

หลายคนสงสัยว่าทำไม ปี นักษัตรถึงไม่มีแมว หลายตำนานพยายามอธิบายโดยรวมเอาเหตุการณ์ที่แมวเป็นศัตรูคู่อาฆาตกับหนูมา โยงเป็นเรื่องราว มักเริ่มต้นที่เทพเจ้าเรียกประชุมสัตว์เพื่อตั้งเป็นชื่อปี แล้วแมวจำวันที่ประชุมไม่ได้จึงไปถามหนู หนูหลอกแมวให้ไปช้ากว่ากำหนด แมวจึงไม่ได้รับการแต่งตั้งเป็น ชื่อปี

บางความเชื่อบอกว่า การเดินทางมาประ ชุมนั้นต้องว่ายน้ำไป แล้วแมวกับหนูเป็นสัตว์ที่ว่ายน้ำไม่เก่งทั้งคู่ จึงเกาะหลังวัวที่ว่ายน้ำเก่งไป เมื่อใกล้ถึงที่หมายหนูก็ผลักแมวตกน้ำ แมวถูกกระแสน้ำพัดไปจึงมาไม่ทันกำหนด นับแต่นั้นมาแมวจึงโกรธแค้นหนูมากและต้องวิ่งไล่ทุกครั้งที่เจอหนู

ฝ่าย นักวิชาการบางกลุ่มเชื่อว่า เป็นเพราะแมวเป็นสัตว์ในทะเลทราย ชาวจีนดั้งเดิมจึงไม่เคยเห็นและไม่รู้จักแมวมาก่อน จึงไม่ได้นำสัตว์ชนิดนี้มาตั้งเป็นชื่อปีอย่างสัตว์อื่นๆ

แต่ที่ประเทศเวียดนามใช้สัญลักษณ์รูปแมวเป็นปีเถาะ ไม่ใช่กระต่ายอย่างเรา

พวงมโหตร

คอลัมน์ รู้ไปโม้ด
น้าชาติ ประชาชื่น nachart@yahoo.com


ถึง น้าชาติ

ผมเห็นพวงกระดาษสีต่างๆ ห้อยแขวนตามงานบุญที่วัด ลุงบอกว่า ชื่อ พวงมโหตร แปลว่าอะไรและเป็นมาอย่างไรครับ

จาก ต้อม

ตอบ ต้อม

พจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน 2542 อธิบายว่า พวงมโหตร (อ่านว่า พวง-มะ-โหด) เป็นพวงอุบะ ซึ่งห้อยประดับอยู่ที่คันดาลฉัตร ทำด้วยผ้าตาดทอง ส่วนคันดาลฉัตร คือคันฉัตรที่มีรูปเป็นมุมฉาก 2 ทบอย่างลูกดาล เพื่อปักให้ฉัตรอยู่ตรงเศียรพระ พุทธรูป

ชาวอำเภอศรีนคร จังหวัดสุโขทัย มีประเพณีการสร้างพวงมโหตรกันมากว่า 50 ปี พวงมโหตรของที่นี่มีลักษณะเป็นดอกไม้ที่ปักกันเป็นชั้นๆ แต่ละชั้นจะห่างกันประมาณ 50-70 เซนติเมตรจำนวน 7-9 ชั้น มีอุบะดอกไม้แห้งหรืออุบะนก ปลา ฯลฯ หรือกระดาษสายรุ้งสีต่างๆ ห้อยไว้ที่ปลายก้านของดอกไม้แต่ละดอกเพื่อให้ชั้นของดอกไม้ต่อเนื่องกันลงมา เป็นพวง และที่โคนของก้านดอกไม้แต่ละดอกจะผูกของกินของใช้ เช่น ขนมแห้ง ปากกา สมุด ดินสอ

ชาวบ้านจะเริ่มสร้างพวงมโหตรในวันขึ้น 14 ค่ำ ก่อนออกพรรษา 2 วัน และจะถวายพวงมโหตรในวันออกพรรษา ซึ่งเชื่อกันว่าการสร้างพวงมโหตรนี้ได้บุญกุศลมหาศาล เพราะนอกจากจะได้ร่วมฉลองเทศน์มหาชาติถึง 13 กัณฑ์แล้ว ชาวบ้านยังช่วยกันหาข้าวของเครื่องใช้ที่จำเป็นถวายให้แก่วัด เป็นการสร้างความสามัคคีแก่คนในหมู่บ้านเดียวกันและหมู่บ้านใกล้เคียงอีก ด้วย

ส่วนชาวเพชร บุรีมีการสร้างพวงมโหตรอีกแบบหนึ่งซึ่งเห็นกันคุ้นตาตามงานบุญที่วัด

อ.จำลอง บัวสุวรรณ์ ที่ปรึกษากลุ่มลูกหว้า โรง เรียนเบญจมเทพอุทิศ จังหวัดเพชร บุรี อธิบายว่า พวงมโหตรมีมาตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่ปรากฏหลักฐานแน่ชัด แต่สันนิษฐานว่าแพร่หลายอยู่ในภูมิภาคเอเชียอาคเนย์มานาน

ในประเทศไทยมีชื่อเรียกหลายอย่างตามแต่ละพื้นที่ เช่น แพร่ น่าน เชียงใหม่ เรียกตุงไส้หมู นครสวรรค์ ระยอง เรียกพวงเต่ารั้ง เลย อุดร เรียกพวงมาลัย แต่ที่เพชรบุรี เรียกกันว่าพวงมโหตร

พวงมโหตรมักจะติดอยู่ตาม "ธงราว" ซึ่งเป็นธงทำจากกระดาษว่าว ตอกลายเป็นรูปนักษัตร ใช้ตกแต่งสถานที่ในงานรื่นเริงหรืองานบุญ เพราะชาวเพชรมีความเชื่อกันมาตั้งแต่บรรพบุรุษว่า สัตว์ 12 ชนิดที่เป็นสัญลักษณ์ปีนักษัตรนี้ ในอดีตเคยไปเฝ้าพระ พุทธเจ้าตอนปรินิพพาน สัตว์เหล่านี้จึงขอร้องว่าหากมีการเทศนาที่ไหนขอให้บอกด้วย อาจเป็นข้อคิดแก่ผู้คนว่าแม้สิงสาราสัตว์ยังรู้จักฟังเทศน์ฟังธรรม

การทำพวงมโหตรใช้กระดาษว่าวเช่นกัน ถ้าจะให้สวยต้องใช้กระดาษหลายๆ สี พับกระดาษสี่เหลี่ยมจัตุรัสให้เป็นรูปสามเหลี่ยม แล้วพับครึ่งสามเหลี่ยมนั้นต่ออีก 2 ครั้ง หมุนยอดสามเหลี่ยมเอาด้านสัน (ด้านที่เปิดไม่ได้) ไปไว้ทางขวามือ พับสันทับเข้าไปจนดูคล้ายสามเหลี่ยม 2 รูปซ้อนทับกันอยู่

จากนั้น ใช้กรรไกรตัดกระดาษสามเหลี่ยมแบบสลับฟันปลา โดยตัดจากยอดบนลงล่างจนเกือบถึงชายด้านล่างให้มีระยะห่างเท่าๆ กัน คลี่กระดาษออกและใช้กรรไกรเจาะรูตรงกลางกระดาษทั้ง 3 แผ่นเพื่อสอดกระดาษแข็งรูปวงกลมซึ่งร้อยด้ายผูกกับไม้ไว้เรียบร้อยแล้ว สำหรับทำเป็นไม้แขวน ใช้มือจับแต่งกระดาษที่ซ้อนกันอยู่นั้นให้เป็นทรงจอมแห


วันที่ 25 พฤษภาคม พ.ศ. 2554 ปีที่ 21 ฉบับที่ 7482 ข่าวสดรายวัน


เจไอ-เจมาห์ อิสลามิยาห์


คอลัมน์ รู้ไปโม้ด
น้าชาติ ประชาชื่น nachart@yahoo.com



องค์การ J.I. ในอินโดนีเซีย คือกลุ่มไหนสำคัญอย่างไร

Taw

ตอบ taw

ข้อมูลจากกรมข่าวทหารอากาศ เขียนโดย พ.อ.อ.พอภัทร สด สร้อย ระบุว่า J.I. หรือชื่อเต็ม เจมาห์ อิสลามิยาห์ (Jemaah Islamiyah) คือกลุ่มนักรบอิสลามที่เคลื่อนไหวอยู่ในหลายประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออก เฉียงใต้ มีวัตถุประสงค์จะก่อตั้งรัฐอิสลามขึ้นในภูมิภาค โดย เจมาห์ อิสลามิยาห์ เกิดขึ้นมาตั้งแต่ช่วงทศวรรษที่ 1970 แต่ผู้เชี่ยวชาญ (ด้านการก่อการร้าย) ก็ไม่สามารถให้ข้อสรุปได้ว่าคำดังกล่าวเป็นชื่ออย่างเป็นทางการหรือไม่เป็น ทางการของชาวมุสลิมกลุ่มที่มีแนวคิดรุนแรง หรือเป็นคำที่รัฐบาลประเทศมุสลิมใช้เป็นคำจำกัดความของกลุ่มชาวมุสลิมที่ไม่ พอใจรัฐบาล

ต้นกำเนิดของกลุ่มเกิดจากเหตุการณ์ที่รวมเรียกว่า ดารุล อิสลาม (Darul Islam) เหตุรุนแรงที่ผลักดันให้เปลี่ยนแปลงการปกครองประเทศอินโดนีเซียไปสู่การ ปกครองในระบบรัฐอิสลาม แม้ว่าอินโดนีเซียจะเป็นประเทศที่ประชาชนที่นับถือศาสนาอิสลามอาศัยอยู่มาก ที่สุดในโลก แต่ก็มีประชาชนส่วนหนึ่งนับถือศาสนาคริสต์ ศาสนาฮินดู และศาสนาอื่น โดยแนวความคิดเรื่องดารุล อิสลามถือกำเนิดขึ้นในช่วงที่อินโดนีเซียหลุดพ้นจากการตกเป็นอาณานิคมของเน เธอร์แลนด์ ในช่วงทศวรรษที่ 1940 และกลุ่มที่เชื่อมั่นในแนวความคิดนี้ก็ต่อต้านระบอบการปกครองแบบสาธารณรัฐ ที่เกิดขึ้นหลังจากได้รับเอกราชมาโดยตลอด ด้วยเห็นว่าระบอบสาธารณ รัฐเป็นแนวทางที่ขัดกับหลักทางศาสนา


กลุ่มเจไอถูกระบุว่าเป็นผู้ลงมือก่อการร้ายหลายคดีในหลายประเทศ รวมถึงเหตุระเบิดที่ไนต์คลับบนเกาะบาหลี ซึ่งทำให้มีผู้เสียชีวิต 202 คน เมื่อวันที่ 12 ตุลาคม ค.ศ. 2002 และเหตุรถยนต์บรรทุกระเบิด (Car Bomb) โจมตีโรงแรมเจ ดับบลิว แมริออท กลางกรุงจาการ์ตา ทำให้มีผู้เสียชีวิต 12 คน เมื่อวันที่ 5 สิงหาคม 2003 อย่างไรก็ตาม ก่อนเกิดเหตุลอบวางระเบิดที่เกาะบาหลี ท่าทีของรัฐบาลอินโดนีเซียในการดำเนินการสืบสวนเกี่ยวกับกลุ่มเจไอยังดูไม่ เต็มที่ แม้ประเทศสิงคโปร์ มาเลเซีย และฟิลิปปินส์จะลงมือกวาดล้างเครือข่ายของเจไอไปบ้างแล้วก็ตาม กระทั่งเกิดเหตุระเบิดที่เกาะบาหลี สหรัฐอเมริกา ซึ่งเชื่อว่าไจเอมีความสัมพันธ์กับกลุ่มก่อการร้ายอัล ไคด้า ของ นายโอซามา บิน ลาเดน ประกาศชื่อ เจมาห์ อิสลามิยาห์ ไว้ในบัญชีรายชื่อกลุ่มก่อการร้ายสากล

ก่อนหน้านี้ สหรัฐพยายามให้รัฐบาลอินโดนีเซียร่วมมือในการทำสงครามต่อสู้กับการก่อการ ร้าย โดยไม่ก่อให้เกิดความบาดหมางขึ้นระหว่างพรรคการเมืองที่สนับสนุนรัฐบาล หรือไม่เป็นการบ่อนทำลายสถานภาพของรัฐบาลสายกลางของ นางเมกาวาตี ซูการ์โน่ บุตรี ประธานาธิบดีอินโดนีเซีย และที่สุดเหตุลอบวางระเบิดที่เกาะบาหลีก็กระตุ้นให้รัฐบาลอินโดนีเซีย ตระหนักถึงขอบเขตของปัญหาที่เกิดจากกลุ่มก่อการร้าย เมื่อสหรัฐขึ้นบัญชีกลุ่มเจไอไว้ในรายชื่อกลุ่มก่อการร้ายสากล พร้อมกับสั่งอายัดทรัพย์สินของกลุ่ม รวมถึงห้ามไม่ให้สมาชิกเจไอเดินทางเข้าสหรัฐ

สำหรับพื้นที่ปฏิบัติการของเจไอแทรกซึมครอบคลุมทั่วภูมิภาคเอเชียตะวันออก เฉียงใต้ โดยเฉพาะพื้นที่ที่อำนาจของรัฐบาลเข้าไปไม่ถึง, พื้นที่ที่ขาดแคลนเจ้าหน้าที่บ้านเมือง หรือมีการทุจริตคอร์รัป ชั่นในหมู่เจ้าหน้าที่ และพื้นที่ติดทะเลที่มีเขตน่านน้ำที่เปิดกว้างของหลายประเทศ ทำให้กลุ่มเจไออาศัยข้อจำกัดเหล่านี้เป็นช่องทางในการปฏิบัติการได้ในหลาย ประเทศได้โดยสะดวก


วันที่ 25 พฤษภาคม พ.ศ. 2554 ปีที่ 21 ฉบับที่ 7482 ข่าวสดรายวัน


เจไอ-เจมาห์ อิสลามิยาห์


คอลัมน์ รู้ไปโม้ด
น้าชาติ ประชาชื่น nachart@yahoo.com



องค์การ J.I. ในอินโดนีเซีย คือกลุ่มไหนสำคัญอย่างไร

Taw

ตอบ taw

ข้อมูลจากกรมข่าวทหารอากาศ เขียนโดย พ.อ.อ.พอภัทร สด สร้อย ระบุว่า J.I. หรือชื่อเต็ม เจมาห์ อิสลามิยาห์ (Jemaah Islamiyah) คือกลุ่มนักรบอิสลามที่เคลื่อนไหวอยู่ในหลายประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออก เฉียงใต้ มีวัตถุประสงค์จะก่อตั้งรัฐอิสลามขึ้นในภูมิภาค โดย เจมาห์ อิสลามิยาห์ เกิดขึ้นมาตั้งแต่ช่วงทศวรรษที่ 1970 แต่ผู้เชี่ยวชาญ (ด้านการก่อการร้าย) ก็ไม่สามารถให้ข้อสรุปได้ว่าคำดังกล่าวเป็นชื่ออย่างเป็นทางการหรือไม่เป็น ทางการของชาวมุสลิมกลุ่มที่มีแนวคิดรุนแรง หรือเป็นคำที่รัฐบาลประเทศมุสลิมใช้เป็นคำจำกัดความของกลุ่มชาวมุสลิมที่ไม่ พอใจรัฐบาล

ต้นกำเนิดของกลุ่มเกิดจากเหตุการณ์ที่รวมเรียกว่า ดารุล อิสลาม (Darul Islam) เหตุรุนแรงที่ผลักดันให้เปลี่ยนแปลงการปกครองประเทศอินโดนีเซียไปสู่การ ปกครองในระบบรัฐอิสลาม แม้ว่าอินโดนีเซียจะเป็นประเทศที่ประชาชนที่นับถือศาสนาอิสลามอาศัยอยู่มาก ที่สุดในโลก แต่ก็มีประชาชนส่วนหนึ่งนับถือศาสนาคริสต์ ศาสนาฮินดู และศาสนาอื่น โดยแนวความคิดเรื่องดารุล อิสลามถือกำเนิดขึ้นในช่วงที่อินโดนีเซียหลุดพ้นจากการตกเป็นอาณานิคมของเน เธอร์แลนด์ ในช่วงทศวรรษที่ 1940 และกลุ่มที่เชื่อมั่นในแนวความคิดนี้ก็ต่อต้านระบอบการปกครองแบบสาธารณรัฐ ที่เกิดขึ้นหลังจากได้รับเอกราชมาโดยตลอด ด้วยเห็นว่าระบอบสาธารณ รัฐเป็นแนวทางที่ขัดกับหลักทางศาสนา


กลุ่มเจไอถูกระบุว่าเป็นผู้ลงมือก่อการร้ายหลายคดีในหลายประเทศ รวมถึงเหตุระเบิดที่ไนต์คลับบนเกาะบาหลี ซึ่งทำให้มีผู้เสียชีวิต 202 คน เมื่อวันที่ 12 ตุลาคม ค.ศ. 2002 และเหตุรถยนต์บรรทุกระเบิด (Car Bomb) โจมตีโรงแรมเจ ดับบลิว แมริออท กลางกรุงจาการ์ตา ทำให้มีผู้เสียชีวิต 12 คน เมื่อวันที่ 5 สิงหาคม 2003 อย่างไรก็ตาม ก่อนเกิดเหตุลอบวางระเบิดที่เกาะบาหลี ท่าทีของรัฐบาลอินโดนีเซียในการดำเนินการสืบสวนเกี่ยวกับกลุ่มเจไอยังดูไม่ เต็มที่ แม้ประเทศสิงคโปร์ มาเลเซีย และฟิลิปปินส์จะลงมือกวาดล้างเครือข่ายของเจไอไปบ้างแล้วก็ตาม กระทั่งเกิดเหตุระเบิดที่เกาะบาหลี สหรัฐอเมริกา ซึ่งเชื่อว่าไจเอมีความสัมพันธ์กับกลุ่มก่อการร้ายอัล ไคด้า ของ นายโอซามา บิน ลาเดน ประกาศชื่อ เจมาห์ อิสลามิยาห์ ไว้ในบัญชีรายชื่อกลุ่มก่อการร้ายสากล

ก่อนหน้านี้ สหรัฐพยายามให้รัฐบาลอินโดนีเซียร่วมมือในการทำสงครามต่อสู้กับการก่อการ ร้าย โดยไม่ก่อให้เกิดความบาดหมางขึ้นระหว่างพรรคการเมืองที่สนับสนุนรัฐบาล หรือไม่เป็นการบ่อนทำลายสถานภาพของรัฐบาลสายกลางของ นางเมกาวาตี ซูการ์โน่ บุตรี ประธานาธิบดีอินโดนีเซีย และที่สุดเหตุลอบวางระเบิดที่เกาะบาหลีก็กระตุ้นให้รัฐบาลอินโดนีเซีย ตระหนักถึงขอบเขตของปัญหาที่เกิดจากกลุ่มก่อการร้าย เมื่อสหรัฐขึ้นบัญชีกลุ่มเจไอไว้ในรายชื่อกลุ่มก่อการร้ายสากล พร้อมกับสั่งอายัดทรัพย์สินของกลุ่ม รวมถึงห้ามไม่ให้สมาชิกเจไอเดินทางเข้าสหรัฐ

สำหรับพื้นที่ปฏิบัติการของเจไอแทรกซึมครอบคลุมทั่วภูมิภาคเอเชียตะวันออก เฉียงใต้ โดยเฉพาะพื้นที่ที่อำนาจของรัฐบาลเข้าไปไม่ถึง, พื้นที่ที่ขาดแคลนเจ้าหน้าที่บ้านเมือง หรือมีการทุจริตคอร์รัป ชั่นในหมู่เจ้าหน้าที่ และพื้นที่ติดทะเลที่มีเขตน่านน้ำที่เปิดกว้างของหลายประเทศ ทำให้กลุ่มเจไออาศัยข้อจำกัดเหล่านี้เป็นช่องทางในการปฏิบัติการได้ในหลาย ประเทศได้โดยสะดวก


วันที่ 24 พฤษภาคม พ.ศ. 2554 ปีที่ 21 ฉบับที่ 7481 ข่าวสดรายวัน


บิ๊กไบค์


รู้ไปโม้ด
nachart@yahoo.com



รถบิ๊กไบค์ มีเคล็ดลับการซื้ออย่างไรบ้างครับ

พจน์

ตอบ พจน์


มี คำตอบเรื่องการเลือกซื้อมอเตอร์ ไซค์ บิ๊กไบค์-Big bike จากเว็บไซต์ www.118bikes. com ว่า รู้ว่าชอบรถแนวไหนแล้วหาข้อมูลราคา โดยรวมค่าอุปกรณ์ในการขับขี่ด้วย ต่อมาดูสถานที่ออกรถ ถ้าเป็นรถบ้าน เจ้าของประ กาศขายเอง ข้อดี 1.ราคาโดยส่วนมากถูกกว่ารถหน้าร้าน 2.ต่อรองราคาได้มาก คุยกับเจ้าของโดยตรง รู้ประวัติรถ 3.เห็นสภาพเดิม ข้อเสีย 1.ราคาถูก แต่อาจต้องทำเพิ่มมากกว่าที่คุยกันไว้ ไม่มีรับประกัน 2.ถ้าผู้ขายไม่บอกความจริง หากต้องซ่อมแซมมากๆ จะเรียกร้องอะไรไม่ได้ ส่วนรถที่ร้าน ข้อดี 1.รถเก็บงานมาแล้ว ปรับปรุงสภาพเครื่องยนต์ อุปกรณ์ ทำสีใหม่ 2.รับประกันตามแต่จะตกลง ข้อเสีย ไม่เห็นสภาพเดิม ถ้าย้อมแมว จะสังเกตยาก

ข้อสังเกตเบื้องต้น ดูเลขเครื่อง-เลขคอที่ระบุในเล่มทะเบียนให้ตรงกับรถ โดยเลขเครื่องและเลขคอไม่จำเป็นต้องเหมือนกัน เพราะประกอบจากอะไหล่เก่า ต้องขอรายละเอียดจากเจ้าของเดิมด้วยถึงข้อปลีกย่อยอื่นในภาวะปัจจุบัน คือทะเบียนสวม หรือทะเบียนแท้ แล้วดู


1.ชุด สี ให้สังเกตช่วงตัวยึดนอต ขายึดในจุดต่างๆ โดยเฉพาะด้านหน้า ว่ามีรอยเชื่อมมากรึเปล่า หลายจุดไหม อันนี้บอกได้ถึงการเกิด อุบัติเหตุว่าชนมาแล้วมากน้อยแค่ไหน เหล็กยึดโครงหน้ากากด้านหน้า ก็เช่นเดียวกัน

2.เฟรม สีอะลูมิเนียมเดิมๆ ไม่ทำสีจะดีที่สุด โดยมากถ้าไม่เคยเกิดอุบัติ เหตุรุนแรง การทำสีเฟรมมักเป็นทางเลือกสุดท้ายในการปกปิดร่องรอย

3.เครื่อง ไม่มีคราบเยิ้มน้ำมันตามรอยปะเก็น

4.สายไฟ น่าจะอยู่ในสภาพที่เก็บงานแล้ว จัดระเบียบมาได้เรียบร้อย

5.ปลายท่อ แห้ง เขม่าสีเทาๆ ถ้าสีออกดำแสดงว่ากรองอาจตันหรือหมดสภาพแล้ว (อันนี้เล็กน้อย รับได้)

6.ลองสตาร์ต เปิดไฟหน้า ไฟเลี้ยว ไฟเบรก ไฟหน้าปัดเรือนไมล์

7.ลอง คร่อม โยกรถ (กำเบรกหน้า) ลองเด้งหลังโดยใช้น้ำหนักตัวว่าโอเคมั้ย โช้กหน้า แกนต้องไม่เป็นรอยลึกๆ รอยหลุมตามดเล็กๆ ไม่มีคราบน้ำมัน โช้กหลังต้องไม่เด้งขึ้นแรงๆ ทันที ต้องมีความหนืดของโช้กด้วย ทำนองว่ากดลงแล้วค่อยๆ เด้งขึ้น

8.ลองเดินเบาสักพัก แล้วเบิ้ลรอบเครื่องยนต์แรงขึ้นอีกนิด ดูความราบเรียบของรอบเครื่องยนต์

9.เครื่อง เดินเบาราบเรียบ ไม่กระตุก หรือไม่นิ่ง โดยปกติถ้าสตาร์ตใหม่ๆ รอบเครื่องอาจจะแกว่งๆ แต่ถ้าปล่อยให้เครื่องยนต์ทำงานต่อไปอีกสักพัก รอบเดินเบาจะคงที่ขึ้น

10.ต้องไม่มีเสียงประหลาดๆ ก๊อกๆ แก๊กๆ หรือเสียงวี้ดตามรอบเครื่องยนต์ ยกเว้นรถ Suzuki ที่เอกลักษณ์เสียงเครื่องยนต์อาจดังมากกว่ายี่ห้ออื่น

11.ถ้าสตาร์ต แล้วมีควันขาว ให้เดินเบาสักครู่ ลองเบิ้ลรอบดู ถ้าปกติควันจะจางไป หรือไม่มี แต่ถ้าเบิ้ลรอบยังมีควันออกมาตลอด อาจเป็นปัญหาที่เครื่องยนต์ และในกรณีที่ไม่สามารถติดเครื่องได้ อย่างน้อยควรได้ฟังเสียงการทำงานของเครื่องยนต์จะดีที่สุด

12.ถ้าไม่ ให้ลองขี่อย่าซื้อ ควรลองรถแบบมีระยะทางมากหน่อย ใช้เกียร์หลายๆ เกียร์ ทดลองงัดขึ้น-ลง ถ้าปกติอาการเกียร์แข็งจะไม่มี ใช้ความเร็วมากขึ้นนิดหน่อย เครื่องถ้าร้อนแล้ว แม้จะไม่ได้ใช้งานมานานแต่ถ้าปกติควันจะน้อยลงมาก ในกรณีสตาร์ตไปสักพัก เอามือไปอังที่ปลายท่อแล้วมีความชื้นหรือละอองน้ำกระเด็นออกมา แสดงว่าเครื่องฟิตมาก จนควบแน่นกลายเป็นหยดน้ำ (ดีมาก)

13.ทดลองเบรกหน้า-หลัง ขี่วนๆ กลับรถ เดินหน้า-ถอยหลัง

14.โซ่ สเตอร์ ยาง ถ้าไม่อยู่ในสภาพใช้งานได้ อาจต่อรองราคาลงหน่อย แล้วไปเปลี่ยนเอาเอง แต่ต้องคำนวณราคาไว้แล้วจะได้รู้ยอดรวมโดยประมาณ เรื่องสีสันภายนอกเป็นประเด็นรอง ให้ดูเครื่อง เฟรม เป็นหลัก

อย่า ใจร้อน ให้ดูละเอียดหลายๆ คัน หลายๆ ที่ ศึกษารถที่สนใจ เช่น เลขเครื่อง เลขเฟรม อุปกรณ์ต่างๆ ปั๊มเบรก รู้มากๆ ไว้ก่อน โอกาสถูกหลอกจะได้น้อยลง


วันที่ 06 มิถุนายน พ.ศ. 2554 ปีที่ 21 ฉบับที่ 7494 ข่าวสดรายวัน


พิณเพียะ


รู้ไปโม้ด
nachart@yahoo.com



ตอนเด็กเคยเห็นพิณเปี๊ยะ ตอนนี้ไม่ได้เห็น อยากทราบข้อมูลด้วย

ตูน

ตอบ ตูน


มี ความรู้เรื่องพิณเพียะ หรือ พิณเปี๊ยะ รวบรวมและเรียบเรียงโดย นพดล คชศิลา บัณฑิตสาขาวิชาดุริยางคศาสตร์ไทย ภาควิชาศิลปกรรมศาสตร์ คณะมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร สรุปความได้ว่า พิณเพียะเป็น 1 ใน 3 เครื่องดนตรีประเภทเครื่องสายของล้านนาที่มีอยู่ในปัจจุบัน เครื่องสายทั้งสาม ได้ แก่ พิณเพียะ ซึง สะล้อ กล่าวสำหรับพิณเพียะ เครื่องดนตรีโบราณที่ทุกวันนี้มีผู้บรรเลงได้น้อยมาก นักดนตรีและผู้ศึกษาทางด้านดนตรีได้เปรียบเสียงของพิณเพียะไว้ว่า "ดังม่วนเหมือนเหมยตกใส่ต๋องกล้วยยามเดิ๋ก" แปลว่า เสียงเพียะไพเราะเหมือนเสียงหยดน้ำค้างหยดกระทบใบตองกล้วยยามค่ำคืน

พิณ เพียะมีสาย 1-7 สาย กล่องเสียงทำด้วยกะลามะพร้าวผ่าครึ่ง คันทวนทำด้วยไม้เนื้อแข็ง เช่น ไม้ชิงชัน ไม้มะเกลือ ส่วนหัวหล่อด้วยโลหะสำริด หรือทองเหลือง เป็นรูปนกหัสดิลิงค์ หัวช้าง หรือนกยูง และมีส่วนประกอบต่างๆ ดังนี้ 1.กล่องเสียง หรือ กะโหล้ง ทำด้วยกะลามะพร้าวผ่าครึ่งตามแนวขวาง ตรงกลางเจาะรูเพื่อร้อยเชือกกับเสาค้ำและคันทวย 2.เสาค้ำ ทำด้วยไม้เนื้อแข็ง เป็นส่วนต่อระหว่างกล่องเสียงกับคันเพียะ มีรูสำหรับเชือกรัดร้อยผ่านเพื่อผูกให้ยึดแน่นกับคันเพียะ 3.เชือกหรือหวายรัด เป็นเส้นเล็กๆ สำหรับรัดสายเพียะให้ติดกับคันเพียะ และรัดกะโหล้งให้ติดกับคันเพียะ มีเสาค้ำคั่นกลาง ด้านในของเสาค้ำมีรูให้ร้อยผ่านและมีไม้ขัดสำหรับผูกเชือก


4.คัน เพียะ ทำด้วยไม้เนื้อแข็ง ช่วงต้นใหญ่แล้วเรียวเล็กไปถึงช่วงปลายที่ใช้สำหรับสวมหัวเพียะ 5.ลูกบิด หรือหลักเพียะ ทำด้วยไม้เนื้อแข็ง สำหรับทำหน้าที่ขันสายเพียะเพื่อปรับระดับเสียง 6.สายเพียะ ทำด้วยเส้นโลหะ เช่นทองเหลือง ทองแดง 7.หน่อง คือการรั้งสายเพียะด้วยเชือกเส้นเล็กๆ ตามตำแหน่งเสียงที่ต้องการทำให้สายเพียะเส้นนั้นมี 2 เสียง การหน่องจะมีเฉพาะเพียะที่มีสายตั้งแต่ 3 สายขึ้นไปถึง 7 สาย 8.หัวเพียะ ทำด้วยสำริดหล่อเป็นรูปหัวสัตว์ต่างๆ และมีรูสำหรับสวมกับปลายคันเพียะ

พิณ เพียะมีวิธีการบรรเลงโดยถือด้วยมือซ้าย แนบกล่องเสียงที่ทำด้วยกะลามะพร้าวไว้กับหน้าอกหรือท้อง ดีดด้วยมือซ้ายและขวาพร้อมขยับเปิด-ปิดกล่องเสียงเพื่อให้เกิดความสั่น สะเทือน และใช้วิธีการ "ป๊อก" คือใช้ปลายนิ้วนางมือขวา หรือเล็บ สะกิดสาย แล้วใช้โคนนิ้วชี้มือขวานั้นประคบสายไว้ เทคนิคนี้จะทำให้เกิดเสียงฮาร์โมนิค หรือโอเวอร์โทน เป็นเสียงที่มีความถี่สูงกว่าเสียงธรรมดาประมาณ 1 ช่วงคู่เสียงขึ้นไป ทำให้เสียงกังวานไพเราะ แต่เบากว่าเสียงที่เกิดจากการสั่นสะเทือนโดยปกติ

ด้วย เอกลักษณ์ดังกล่าว การบรรเลงพิณเพียะจะต้องใช้การฝึกฝนเป็นอย่างมากเพื่อให้เกิดความเชี่ยวชาญ ทั้งการป๊อก การดีด การจ๊ก (ล้วงสาย) การไข (ขยับเปิดกล่องเสียง) การหับ (ขยับปิดกล่องเสียง) ซึ่งในการทำให้เกิดเสียงแต่ละครั้งอาจต้องใช้เทคนิคทั้งหมดโดยต่อเนื่องกัน จนการที่จะเล่นพิณเพียะได้นั้นมีความยากอยู่มาก ถึงขั้นที่นักดนตรีจาวเหนือมักพูดกันว่า "หัดเพียะสามปี๋ หัดปี่สามเดือน" ปี่คือปี่ซอ หรือปี่จุม ใช้บรรเลงประกอบการขับร้อง โดยผู้เป่าต้องใช้ไหวพริบที่จะเป่าให้สอดคล้องประสานกับเนื้อร้องและปี่เล่ม อื่นๆ ในกลุ่ม จึงต้องใช้ระยะเวลาในการฝึกฝนค่อนข้างนาน การนำมาเปรียบเทียบแสดงให้เห็นว่าการหัดดีดเพียะเป็นเรื่องยากมาก

ประกอบ กับหัวเพียะทำด้วยโลหะ ชาวบ้านทั่วไปไม่สามารถหล่อขึ้นเองได้ ผู้ที่มีหัวเพียะส่วนมากได้มาจากบรรพบุรุษ ด้วยเหตุต่างๆ เหล่านี้ และรายละเอียดปลีกย่อยอีกหลายประการทำให้จำนวนของพิณเพียะมีน้อย ผลที่ตามมาคือทุกวันนี้มีผู้สามารถบรรเลงพิณเพียะได้น้อยคน

เฟรชชี่และรุ่นพี่ในมหา"ลัย

คอลัมน์ รู้ไปโม้ด
น้าชาติ ประชาชื่น nachart@yahoo.com


ถึง น้าชาติ

ถึง ฤดูต้อนรับน้องใหม่แล้ว น้องปี 1 เรียกว่า เฟรชชี่ ส่วนนักศึกษาปี 2-4 เรียกว่าอะไร และคณะที่ต้องเรียนมากกว่า 4 ปี มี คำเรียกนักศึกษาแต่ละชั้นปีว่าอย่างไรคะ

จาก น้องใหม่

ตอบ น้องใหม่

หลัก สูตรส่วนใหญ่ในระดับอุดม ศึกษาของประเทศไทยมีระยะเวลาเรียน 4 ปี ส่วนคณะที่เรียน 5 ปี อาทิ คณะสถาปัตยกรรม ศาสตร์ คณะเภสัชศาสตร์ คณะครุศาสตร์ สำหรับสาขาด้านการแพทย์ที่ใช้เวลาเรียน 6 ปี เช่น คณะแพทยศาสตร์ คณะสัตวแพทย ศาสตร์ คณะทันตแพทยศาสตร์

รุ่นน้องและรุ่นพี่มีคำเรียกในแต่ละชั้นปีที่เรียกตามระบบการศึกษาของสหรัฐ

วิ กิพีเดีย ระบุระบบการศึกษาในสหรัฐว่า นักศึกษาปี 1 เรียกว่า เฟรชชี่ (freshie) หรือ เฟรช แมน (freshman) และมีศัพท์สแลงว่า ฟิช (ปลา), นิว-จี, ฟรอช, นิวบี, สนอตเตอร์, เฟรชมีต (เนื้อสด) แต่โดยรวมแล้วมักจะเรียกว่านักศึกษาปี 1

ส่วน นักศึกษาปีที่ 2 เรียกว่า ซอฟะ มอร์ (sophomore) หมายถึง ความโง่ที่เฉลียวฉลาด เพราะนักศึกษาปี 2 เริ่มจะมีความรู้ แต่ยังรู้ไม่ถ่องแท้

นัก นิรุกติศาสตร์บอก ที่มาของคำนี้ว่ามีรากศัพท์มาจากภาษากรีกสองคำ คือ sophos ที่แปลว่า ฉลาด และคำว่า moros แปลว่า โง่ นำมาสู่คำว่า sophisma ที่แปลว่า ต้องการทักษะหรือวิธีการในการนำมาสู่ความเฉลียวฉลาด

ใน อดีตคำๆ นี้ในภาษาอังกฤษ สะกดว่า Sophumer แปลว่า ฉลาด มีทักษะ ใช้เรียกครั้งแรกในศตวรรษที่ 7 กระทั่ง พ.ศ.2269 ชาวสหรัฐนำคำนี้ไปใช้ แต่สะกดว่า sophomore คำที่สะกดแบบนี้จึงใช้กันอย่างแพร่หลายต่อมา

นัก ศึกษาปีที่ 3 เรียกว่า จูเนียร์ (junior) และเรียก นักศึกษาปีที่ 4 หรือปีสุดท้ายว่า ซีเนียร์ (senior) ส่วน นักศึกษาที่ใช้เวลาเรียนเกิน 4 ปี เรียกว่า ซูเปอร์ซีเนียร์ (super senior)

ยังมีคำอื่นๆ ที่ใช้เรียก น้องปี 1 และ ปี 2 ว่า อันเดอร์คลาสแมน (underclassman) แทนคำว่าเฟรชแมนและซอฟะมอร์ และเรียก นักศึกษาปี 3 และ 4 ว่า อัพเพอร์คลาสแมน (upperclassman) แทนคำว่า จูเนียร์และซีเนียร์

มหาวิทยาลัย บางแห่ง และบางคณะที่ใช้เวลาเรียน 5 ปี จะเรียกนัก ศึกษาปี 3 ว่า มิดด์ เลอร์ (middler) และเรียกนักศึกษาปี 4 ว่า จูเนียร์ ส่วนนักศึกษาปี 5 เรียกว่า ซีเนียร์

สำหรับการเรียนแพทยศาสตร์ในประ เทศไทยใช้เวลาเรียน 6 ปี ปีแรกเรียนวิทยา ศาสตร์ทั่วไป เน้นเกี่ยว ข้องทางชีววิทยา ปีที่ 2-3 เรียนวิชาที่เกี่ยวข้องทางการแพทย์ เรียกระยะ นี้ว่า ปรีคลินิก ปีที่ 4-5 เรียนและฝึกงานผู้ป่วยจริงร่วมกับแพทย์รุ่นพี่และอาจารย์ เรียกว่า ชั้นคลินิก (Clinic) และปีสุดท้ายเน้นฝึกปฏิบัติกับผู้ป่วยจริงภายใต้การดูแลของแพทย์รุ่นพี่และ อาจารย์ เรียกระยะนี้ว่า เอ็กซ์เทิร์น (Extern) จากนั้น แพทย์จบใหม่จะต้องใช้ทุนของแพทย์เป็นเวลา 3 ปี โดยต้องทำงานให้รัฐบาลรัฐแห่งใหญ่ๆ ภายใต้การดูแลของแพทย์รุ่นพี่ที่มีประสบการณ์เป็นเวลา 1 ปี เรียกระยะนี้ว่า อินเทิร์น (Intern)

หลังจากนั้นสามารถสมัครเพื่ออบรมเป็น แพทย์ประจำบ้าน (Medical Resident) เมื่อจบหลักสูตรการอบรมและสามารถสอบใบรับรองจากราชวิทยาลัยแพทย์ต่างๆ ได้แล้ว จึงจะได้เป็นแพทย์ เฉพาะทางต่อไป

ส่วนนักศึกษาแพทย์ มหาวิทยาลัยมหิดล มีธรรมเนียมเรียกน้องปี 1 ว่า เซตัส (setus) หมายถึง ตัวอ่อนในครรภ์มารดา นักศึกษา ปี 2 เรียกว่า เฟรชชี่ นักศึกษาปี 3 เรียก เธิร์ด เยียร์ (third year) นักศึกษาปี 4 เรียกว่า ซอฟะมอร์ นักศึกษาปี 5 เรียกว่า จูเนียร์ และนักศึกษาปี 6 เรียกว่า ซีเนียร์

วันที่ 09 มิถุนายน พ.ศ. 2554 ปีที่ 21 ฉบับที่ 7497 ข่าวสดรายวัน


เสาตอม่อร้างกลางกรุง


คอลัมน์ รู้ไปโม้ด
น้าชาติ ประชาชื่น nachart@yahoo.com


ถึง น้าชาติ

โคนเสาตอ ม่อเลียบทางสถานีรถไฟสามเสนถึงสถานีรถไฟดอนเมือง และตอม่อ กลางเกาะถนนเกษตร-นวมินทร์ เป็นโครงการรถไฟฟ้าสายไหน ครับ

จาก เด็กต่างจังหวัด

ตอบ เด็กต่างจังหวัด

โคน เสาตอม่อเลียบสถานีรถไฟสามเสนไปจนถึงสถานีรถไฟดอน เมืองเป็นโครงการรถไฟฟ้าใน "โครงการโฮปเวลล์" หรือโครงการระบบการขนส่งทางรถไฟยกระดับในกทม. เป็นโครงการก่อสร้างถนน ทางรถไฟ และรถไฟฟ้ายกระดับ บนพื้นที่ของการรถไฟแห่งประเทศไทย ดำเนินการโดย บริษัท โฮปเวลล์ (ประเทศไทย) ในเครือโฮปเวลล์โฮลดิงส์ บริษัทสัญชาติฮ่องกง ของ นายกอร์ดอน วู

โครงการก่อสร้างประกอบด้วย โครงสร้างยกระดับทางรถไฟขึ้นไปเหนือผิวการจราจร เพื่อลดจุดตัดกับทางรถยนต์เพื่อลดปัญหาการให้รถยนต์ต้องหยุดรอรถไฟ ก่อสร้างคร่อมทางรถไฟที่มีอยู่ในปัจจุบัน ระยะทางทั้งสิ้น 60.1 ก.ม. ใช้เงินลงทุนกว่า 8 หมื่นล้านบาท โดยเปิดประมูลสัมปทานโครงการในสมัยพล.อ.ชาติชาย ชุณหะวัณ เป็นนายก รัฐมนตรี อายุของสัมปทาน 30 ปี กำหนดระยะเวลาก่อสร้างตั้งแต่วันที่ 6 ธ.ค.2534 - 5 ธ.ค.2542

การก่อสร้างโครงการโฮปเวลล์เป็นไปอย่างล่าช้า เนื่องจากปัญหาในการส่งมอบพื้นที่บริเวณริมทางรถไฟ เศรษฐกิจซบเซา อีกทั้งมีปัญหาเรื่องจุดตัดกับโครงการถนนยกระดับวิภาวดีรังสิต (ดอนเมืองโทลล์เวย์) และการก่อสร้างล่าช้า ก่อสร้างมานาน 7 ปี คืบหน้าเพียงร้อยละ 13.77 ขณะที่แผนงานกำหนดว่าควรจะคืบหน้าร้อยละ 89.75

ต่อ มา ในรัฐบาล พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ มีมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 23 ธ.ค.2540 ให้ความเห็นชอบบอกเลิกสัญญากับโฮปเวลล์ หลังจากบริษัทโฮปเวลล์หยุดการก่อสร้างอย่างสิ้นเชิง ตั้งแต่เดือน ส.ค.2540 ต่อมาในสมัยรัฐบาล นายชวน หลีกภัย สมัยที่ 2 หลังดำเนินการ กระทรวงคมนาคมได้บอกเลิกสัญญาสัมปทานอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 20 ม.ค.2541

หลังจากบอกเลิกสัญญา การรถไฟแห่งประเทศไทยถือว่าโครง สร้างทุกอย่างตกเป็นกรรมสิทธิ์ของการรถไฟ และพยายามนำโครงสร้างที่สร้างเสร็จแล้วบางส่วนมาใช้ประโยชน์ในรถไฟฟ้าชาน เมืองสายสีแดงเข้ม ช่วงบางซื่อ-รังสิต

ส่วนตอม่อกลางเกาะถนน เกษตร-นวมินทร์ มีประมาณ 280 กว่าต้นนั้น พ.ท.ทวีสิน รักกตัญญู ผู้ว่าการการทางพิเศษแห่งประเทศไทย (กทพ.) ระบุว่าเสาตอม่อดังกล่าวสร้างขึ้นเพื่อฐานรากสำหรับโครงการก่อสร้างระบบทาง ด่วนขั้นที่ 3 โดยเป็นทางยกระดับขนาด 6 ช่องจราจร ตอน N2 มีเส้นทางซ้อนทับบนเกาะกลางถนนตัดใหม่เกษตร-นวมินทร์ของกรมทางหลวง เริ่มต้นจากสี่แยกเกษตรศาสตร์ถึงถนนนวมินทร์ ระยะทาง 9.2 ก.ม. ขณะนี้กทพ.อยู่ระหว่างกำหนดร่างขอบเขตงานหรือทีโออาร์เพื่อว่าจ้างบริษัทที่ ปรึกษาวงเงิน 84 ล้านบาท ศึกษาทบทวนแบบก่อสร้าง หลังจากศึกษามานานหลายปีแล้วแต่ยังไม่ดำเนินการก่อสร้าง เพราะได้รับเสียงคัดค้านจากประชาชนที่กลัวเรื่องการเวนคืนที่ดินในจุดขึ้นลง ทางด่วน ทำให้โครงการหยุดชะงักไปตั้งแต่ปี 2543

สาเหตุที่ต้องสร้าง เสาตอม่อถนนเกษตร-นวมินทร์ไว้ล่วงหน้าเป็นเวลานาน เนื่องจากในช่วงนั้นกรมทางหลวงเตรียมตัดถนนเส้นใหม่ตั้งแต่สี่แยก เกษตรศาสตร์ ถนนพหลโยธิน ไปถึงถนนนวมินทร์ ขณะเดียวกันกทพ.มีโครงการก่อสร้างระบบทางด่วนขั้นที่ 3 เชื่อมต่อถนนดังกล่าว จึงทำเสาตอม่อทางด่วนลงเกาะกลางถนนรอไว้ก่อนที่กรมทางหลวงจะสร้างถนนตัดใหม่ เพื่อประหยัดงบประมาณ หากสร้างถนนก่อนแล้วค่อยทำทางด่วนจะทำให้ถนนเสียหายและสูญเสียค่าใช้จ่าย