Showing posts with label อื่นๆ จิปาถะ. Show all posts
Showing posts with label อื่นๆ จิปาถะ. Show all posts
สถานเสาวภา

คอลัมน์ รู้ไปโม้ด
น้าชาติ ประชาชื่น nachart@yahoo.com


ถึงน้าชาติอยากทราบประวัติสถาน เสาวภาค่ะ

น้องโดนัท

ตอบ น้องโดนัท

หนังสือ "สถานเสาวภา ประวัติและภารกิจ" บอกเล่าที่มาว่า พระบาทสมเด็จพระมงกุฎ เกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงปรารถนาที่จะสร้างสิ่งที่เป็นสาธารณประโยชน์ขึ้นในประเทศไทย เนื่องในพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพ สมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง เมื่อวันที่ 24 พ.ค. 2463 เพื่อเป็นการคำนึงถึงพระคุณูปการ และเชิดชูพระเกียรติยศสมเด็จพระบรม ราชชนนี เคียงคู่กับโรงพยาบาลจุฬาภรณ์ สถานที่สร้างขึ้นเพื่อเฉลิมพระเกียรติยศสมเด็จพระบรมชนกาธิราชที่สร้างอยู่ ก่อนแล้ว

พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว จึงทรงอุทิศที่ดินบริเวณมุมถนนสนามม้าตัดกับถนนพระราม 4 จำนวนเนื้อที่ 46 ไร่ 3 งาน 71 ตารางวา พร้อมพระราชทานพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์อีกจำนวน 258,000 บาท ให้สภากาชาดไทยนำไปใช้อำนวยในการสร้างอาคารใหญ่ขึ้นหลังหนึ่งบนที่ดินนั้น เพื่อใช้เป็นที่ทำการแห่งใหม่ของสถานปาสเตอร์ อาคารนี้เป็นอาคารทรงยุโรปที่ได้ดัดแปลงสำหรับเมืองร้อน เป็นอาคารที่งดงามและมีคุณค่าทางสถาปัตย กรรม และเป็นอาคารอนุรักษ์ โดยมติของสมาคมสถาปนิกสยาม ในพระบรมราชูปถัมภ์

นอกจากนี้ สมเด็จพระศรีสวรินทิราบรมราชเทวี องค์สภานายิกาสภากาชาดไทยทรงบริจาคเงินเพื่อสร้างตึกขึ้นหลังหนึ่งทางทิศ ตะวันออกเฉียงเหนือของตึกใหญ่ขนานนามว่า "ตึกสภายิกา" (อาคารผลิตเซรุ่มและห้องปฏิบัติการอื่นๆ) เพื่อใช้เป็นที่ทำพันธุ์หนองฝีและเลี้ยงสัตว์ สภากาชาดไทยจึงได้ลงทุนสร้างตึกอีกหลังหนึ่งนามว่า "ตึกราชูทิศ" (อาคารผลิตน้ำยาฉีด) เป็นตึกในลักษณะเดียวกันทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ เพื่อให้ดูสง่างาม

กิจการทั้งหมดของกองวิทยาศาสตร์ที่สถานปาสเตอร์ จึงได้ย้ายมาดำเนินการอย่างถาวรยังสถาบันใหม่แห่งนี้ พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานนามสถานที่แห่งใหม่นี้ว่า "สถานเสาวภา" และเสด็จพระราช ดำเนินทรงประกอบพิธีเปิด เมื่อวันที่ 7 ธ.ค. 2465

สำหรับสถานปาส เตอร์ มีต้นกำเนิดขึ้นจากโศกนาฏกรรมในปี 2454 เมื่อหม่อมเจ้าหญิงบันลุศิริสาร ดิศกุล พระธิดาในสมเด็จพระเจ้าวรวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพได้ถูกสุนัขบ้ากัด และต่อมามีอาการโรคพิษสุนัขบ้ากำเริบ จนถึงแก่ชีพิตักษัยด้วยโรคพิษสุนัขบ้า ในขณะนั้นการรักษาโรคพิษสุนัขบ้าด้วยวิธีการแพทย์แผนใหม่ยังไม่มีในประเทศ สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ จึงกราบบังคมทูลขอพระบรมราชานุญาต แล้วประกาศบอกบุญเรี่ยไรเงินทุนที่จะจัดตั้ง "สถานปาสเตอร์" ขึ้นในกรุงเทพฯ ซึ่งพระบาทสมเด็จพระมงกุฎ เกล้าเจ้าอยู่หัวได้เสด็จฯ ไปทรงทำพิธีเปิดเมื่อวันที่ 26 เม.ย. 2456 ผลิตวัคซีนและให้บริการฉีดวัคซีนป้องกันโรคพิษสุนัขบ้า

ภารกิจแรกของ สถานเสาวภาจึงเริ่มจากโรคพิษสุนัขบ้า ต่อมา ขยายภารกิจครอบคลุมการผลิตเซรุ่มแก้พิษงูและวัคซีนป้องกันโรคต่างๆ ไม่ได้เจาะจงวัคซีนป้องกันโรคพิษสุนัขบ้าแต่อย่างเดียว และมีการวิจัยค้นคว้าในเรื่องสัตว์พิษและพืชพิษ รวมทั้งให้คำแนะนำ ในเรื่องสัตว์มีพิษกัดและโรคเมืองร้อน, ฉีดวัคซีนให้แก่ประชาชน

ปัจจุบัน สถานเสาวภาเป็นสถานที่ท่องเที่ยวพักผ่อนกับครอบครัวที่ให้ทั้งความรู้และ ความสนุกสนาน มีบอร์ดให้ความรู้เกี่ยวกับงู การแสดงการจับงู การรีดพิษงู เปิดให้เข้าชมทุกวันจันทร์ถึงศุกร์เวลา 08.30-16.30 น. วันเสาร์ถึงอาทิตย์และวันหยุดราชการจะเปิดให้ เข้าชมเวลา 08.30-12.00 น. ชาวไทยผู้ใหญ่ 40 บาท เด็ก 20 บาท ชาวต่างชาติผู้ใหญ่ 200 บาท เด็ก 100 บาท
สะพานราชวงศ์-ท่าดินแดง

รู้ไปโม้ด
nachart@yahoo.com


อยากทราบข้อ มูล เหตุผลการ สร้างสะพานข้ามแม่น้ำเจ้าพระยาตรงเยาวราชด้วยครับ

ภิญโญ

ตอบ ภิญโญ


โครงการ ก่อสร้างสะพานข้ามแม่น้ำเจ้าพระยาบริเวณถนนราชวงศ์- ถนนท่าดินแดง กรุงเทพมหานคร ซึ่งขณะนี้อยู่ในขั้นตอนศึกษาความ เป็นไปได้ของโครงการ โดยมีเสียงท้วงติงคัดค้านจากภาคประชาชนหลายส่วน โดยเฉพาะชุมชนบริเวณถนนราชวงศ์-ถนนท่าดินแดง เป็น 1 ในโครง การก่อสร้างสะพานข้ามแม่น้ำเจ้าพระยา จำนวน 4 แห่ง ที่มีมูลค่าการก่อสร้างรวมกับกรรมสิทธิ์ที่ดินประมาณ 1.1 หมื่นล้านบาท ประกอบด้วย 1.สะพานข้ามแม่น้ำเจ้าพระยาบริเวณเกียกกาย 2.สะพานข้ามแม่น้ำเจ้าพระยาบริเวณถนนราชวงศ์-ถนน ท่าดินแดง 3.สะพานข้ามแม่น้ำเจ้าพระยาบริเวณถนนลาดหญ้า-ถนนมหาพฤฒาราม และ 4.สะพานข้ามแม่น้ำเจ้าพระยาบริเวณถนนจันทน์-ถนนเจริญนคร

ทั้งนี้ มีคำตอบจากสำนักการโยธา กรุงเทพมหานคร ถึงหลักการและเหตุผลว่า จากการศึกษาสภาพพื้นที่โครงการ ทั้งฝั่งราชวงศ์และฝั่งท่าดินแดง พบว่าโครงข่ายถนนจะแบ่งออกเป็น 3 ส่วนคือ 1.โครง ข่ายถนนบริเวณย่านเยาวราช หรือ ฝั่งราชวงศ์ 2.โครงข่ายถนนฝั่งท่าดินแดง และ 3.โครงข่ายถนน (สะพาน) เชื่อมระหว่าง 2 ฝั่งแม่น้ำ เจ้าพระยา โดยโครงข่ายถนนบริเวณฝั่งราชวงศ์ ย่านเยาวราช มีถนนสำคัญหลายสาย ได้แก่ ถนนราชวงศ์ ถนนเยาวราช ถนนเจริญกรุง ถนนเสือป่า ถนนวรจักร ถนนจักรวรรดิ ถนนจักรเพชร ถนนมหาไชย ถนนหลวง ถนนบำรุงเมือง เป็นต้น

ถนนต่างๆ นี้ มีการจราจรหนาแน่นทุกสาย รถยนต์ส่วนใหญ่จะมาติดต่อซื้อขายสินค้าเป็นหลัก และในพื้นที่ยังมีข้อจำกัดในด้านที่จอดรถจึงทำให้ปัญหาจราจรยิ่งทวีคูณ โดยรถยนต์เกือบทั้งหมดจากฝั่งท่าดินแดงที่จะมายังย่านเยาวราช ใช้สะพานพระพุทธยอดฟ้ากับสะพานพระปกเกล้าในการข้ามแม่น้ำเจ้าพระยา ทำให้การจราจรบนสะพานทั้งสองแห่งหนาแน่นมาก โดยเฉพาะสะพานพระปกเกล้าที่การจราจรจากสะพาน และจากย่านพาหุรัดและย่านเยาวราชตัดกระแสการจราจรกัน นอกจากนี้ พบว่าพื้นที่นี้เป็นพื้นที่ที่มีอยู่อย่างจำกัด ถูกนำมาใช้ประโยชน์อย่างสูงสุดด้านการค้าขาย ทั้งพบว่ายังคงขาดพื้นที่สาธารณะที่จะนำมาใช้เป็นพื้นที่นันทนาการหรือที่ จัดกิจกรรมของชุมชน

ดังนั้น แนวคิดในการออกแบบสะพานข้ามแม่น้ำเจ้าพระยาบริเวณถนนราชวงศ์-ถนนท่าดินแดง จึงควรออกแบบให้ตอบสนองกับคุณภาพชีวิตของประชาชนในพื้นที่เป็นหลัก รวมทั้งการพัฒนาพื้นที่เพื่อให้เป็นแหล่งท่องเที่ยว และแหล่งเพื่อการค้าขายแห่งใหม่ทั้งริมสองฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา และกลางแม่น้ำเจ้าพระยาในอนาคต

ส่วนการออกแบบช่องทางกลับรถใต้สะพาน ในปัจจุบันปลายถนนราชวงศ์บริเวณท่าเรือราชวงศ์ และปลายถนนท่าดินแดงบริเวณท่าเรือท่าดินแดง มีสภาพการใช้งานเป็นจุดกลับรถยนต์และรถประจำทาง ในการศึกษาจะออกแบบช่องทางกลับรถใต้สะพานที่มีการขับขี่ได้สะดวกและปลอดภัย และจากที่ปัจจุบันจุดจอดรถประจำทางมีต้นสายอยู่ที่ท่าเรือราชวงศ์และท่าเรือ ท่าดินแดง การศึกษาจะออกแบบพื้นที่จอดรถประจำทางที่สะดวกหรือประสานงานเพื่อจัดเส้น ทางเดินรถใหม่ รวมถึงการออกแบบช่องลอดใต้สะพานข้ามแม่น้ำเจ้าพระยาซึ่งเป็นพื้นที่เรือ สัญจรตามกฎหมายและมาตรฐานสากล

โดยสรุป สะพานบริเวณท่าน้ำราชวงศ์-ท่าดินแดงจะมีขนาด 4 ช่อง จราจร ยาว 450 เมตร มูลค่าโครงการ 1,000 ล้านบาท ค่าเวนคืนที่ดิน 100 ล้านบาท ค่าก่อสร้าง 900 ล้านบาท มีจุดเริ่มต้นที่ถนน ราชวงศ์ บริเวณบรรจบกับถนนทรงวาด จากนั้นข้ามแม่น้ำเจ้าพระยา ไปตามแนวถนนท่าดินแดง โดยสำนักการโยธาเห็นว่าโครงการนี้จะช่วยแบ่งเบาการจราจรบริเวณสะพานพระพุทธฯ และสะพานพระปกเกล้าให้เกิดความคล่องตัวขึ้น
ฮกเกี้ยน

คอลัมน์ รู้ไปโม้ด
น้าชาติ ประชาชื่น nachart@yahoo.com


ขอความรู้เรื่องมณฑลฮก เกี้ยน และชาวจีนฮกเกี้ยนด้วยครับ และขอศาลเจ้าชาวฮกเกี้ยนด้วยครับ

Wirat

ตอบ Wirat

มณฑล ฮก เกี้ยนที่คนไทยเรียกกัน มีชื่อเป็นทาง การว่า มณฑลฝูเจี้ยน เป็นมณฑลชายฝั่งทะเลที่อยู่ทางภาคตะวันตกเฉียงใต้ของจีน โดยชื่อ "ฝู เจี้ยน" มาจากอักษรนำหน้า ชื่อเมืองสองเมืองรวมกันคือ "ฝูโจว" และ "เจี้ยนโอว" ชื่อนี้ตั้งมาตั้งแต่สมัยราชวงศ์ถัง เมืองสำคัญนอกจากเมืองหลวงคือเมืองฝูโจว ซึ่งตั้งอยู่บนฝั่งแม่น้ำหมินเจียง ยังมีเมืองเซี่ย เหมิน เป็นเมืองใหญ่ที่สุด ถูกยกระดับเป็นเมืองใหญ่ตั้งแต่ พ.ศ.1930

ด้วยเป็นส่วนหนึ่งของ สาธารณรัฐประชาชนจีน ภาษาราชการของฝูเจี้ยนจึงเป็นภาษาจีนกลาง แต่ฝูเจี้ยนก็มีภาษาถิ่นมากมาย เป็นภาษาในกลุ่มหมิ่นทั้งหมด

ประกอบ ด้วย 7 ภาษาท้องถิ่น คือ ภาษาหมิ่นเบ่ย หมิ่นตง หมิ่นจง หมิ่นหนาน ผู่เสี้ยน ส่าวเจี้ยง และภาษาฉุงเหวิน 6 ภาษาแรกใช้ในฝูเจี้ยน ส่วนภาษาฉุงเหวินใช้ในมณฑล ไห่หนาน

ทั้งนี้คนไทยมักจะเรียกภาษา หมิ่นหนานว่าภาษาจีนฮกเกี้ยน หรือภาษาแต้จิ๋ว ซึ่งเป็นภาษาชนิดเดียวกันแต่ต่างสำเนียง ส่วนภาษาฉุง เหวินนั้นมักจะเรียกว่าภาษาไหหลำ



ปัจจุบัน เศรษฐกิจของมณฑลมีรายได้จากผลผลิตในภาคอุตสาห กรรมเบา เช่น กลุ่มอุปกรณ์ อิเล็กทรอนิกส์ อุตสาหกรรมอาหารแปรรูป และอุตสาหกรรมเทคโนโลยีชั้นสูง ทั้งเป็นศูนย์กลางการค้าเพื่อการส่งออกที่สำคัญ

สินค้านอกจากเครื่อง คอมพิวเตอร์และอุปกรณ์ เครื่องจักรไฟฟ้าและชิ้นส่วน ยังมีเครื่องแต่งกายและรองเท้า ส่วนผลผลิตทางการเกษตรที่มีชื่อเสียง เช่น ส้มของฝูโจว ลำไยจากเมืองผู่เถียน ลิ้นจี่เมืองจางโจว ส้มโอเมืองเซี่ยเหมิน และพื้นที่แนวชายฝั่งของมณฑลยังเอื้อต่อการประมงและเลี้ยงสัตว์น้ำ

สมัย การอพยพครั้งใหญ่ในอดีต ชาวฮกเกี้ยนเป็นหนึ่งในกลุ่ม "ชาวจีนโพ้นทะเล" ล่องเรือจากแผ่นดินใหญ่สู่ประเทศต่างๆ ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มาถึงทุกวันนี้ เป็นประชากรส่วนใหญ่ของจังหวัดภูเก็ต รวมถึงจังหวัดตรัง และปัตตานี และที่ปีนัง สิงคโปร์ กับมีสัดส่วนสูงในมาเลเซีย อินโดนีเซีย และฟิลิปปินส์

ในกลุ่มชาวฮกเกี้ยนยังแบ่งเป็น 2 กลุ่มย่อย ตามถิ่นฐานเดิมและสำเนียงพูด ได้แก่

1.ชาว ฮกโล่ คือกลุ่มที่อพยพจากทางตอนใต้ของมณฑล เมืองเอกคือเอ้หมึง (เซี่ยเหมิน) พื้นที่ของเขตชาวฮกโล่คือตั้งแต่เมืองเอ้หมึงลงมาจนถึงเขตมณฑลกวางตุ้ง เป็นกลุ่มชาวจีนฮกเกี้ยนที่มีมากที่สุดในบรรดา 2 กลุ่ม สำเนียงพูดเป็นสำเนียงฮกเกี้ยนใต้ หรือหมิ่นหนาน (ฮกโล่ ยังเป็นคำที่ชาวไต้หวันเรียกแทนตัวเองด้วย)

2.ชาวฮกจิว หรือชาวฝูโจว คือกลุ่มที่อพยพมาจากทางตอนเหนือของมณฑล เมืองเอกคือเมืองฮกจิว (ฝูโจว) พื้นที่เขตของชาวฮกจิวคือตั้งแต่ตอนเหนือของมณฑลลงมาจนสิ้นสุดรอยต่อระหว่าง เมืองเอ้หมึง สำเนียงการพูดเป็นสำเนียงฮกเกี้ยนเหนือ ซึ่งไม่ เหมือนกับฮกเกี้ยนใต้เลย

ชาวฮกเกี้ยน เป็นกลุ่มชาวฮั่นกลุ่มแรกๆ ที่อพยพออกมาจากพื้นแผ่นดินใหญ่ไปตามประเทศต่างๆ เนื่องจากเป็นมณฑลที่อยู่ติดทะเลจึงออกจากประเทศได้ง่าย

สำหรับ ประเทศไทย คาดว่าน่าจะเป็นกลุ่มแรกๆ ที่เข้ามาในสมัยกรุงศรีอยุธยา เป็นผู้มีฐานะมาทำการค้า แต่ช่วงสมัยกรุงรัตน โกสินทร์ มาแบบเสื่อผืนหมอนใบ ส่วนใหญ่ใช้แรงงานแลกค่าจ้าง ซึ่งสมัยนั้นเรียกว่า กุลี

ฮกเกี้ยน หนักเอาเบาสู้ตามคติต้องสู้ถึงจะชนะ ที่ปลูกฝังกันมายาวนาน การลงหลักปักฐานที่ภูเก็ตของชาวฮกเกี้ยน ก็เริ่มจากเป็นกุลีเหมืองแร่ และเพราะสู้จึงชนะ สร้างเนื้อสร้างตัวจนเป็นคหบดี นอกจากนั้นชาวฮกเกี้ยนยังมีอาชีพประมงและเดินเรือ ด้วยความรู้ทางทะเลเชี่ยวชำนาญจากถิ่นเดิมริมทะเลจีนใต้

ศาสนสถาน สำคัญของชาวฮกเกี้ยนในประเทศไทย อาทิ ศาลเจ้าโจ้วสู่กง-ตลาดน้อย กรุงเทพมหานคร ศาลเจ้าเที้ยนอันเก้ง-ธนบุรี กทม. ศาลเจ้าเซียงกง-กทม. ศาลเจ้าปุดจ้อ-ภูเก็ต ศาลเจ้าเต่งก้องต๋อง-ภูเก็ต ศาลเจ้าซัมเที้ยนเฮ๋วกึ่ง-ภูเก็ต ศาลเจ้าทีก้งตั๋ว-ภูเก็ต ศาลเจ้าเส่งเต็กเบ๋ว-ภูเก็ต ศาลเจ้าไล๋ทู่เต้าโบ้เก้ง-ภูเก็ต ศาลเจ้าลิ้มกอเหนี่ยว-ปัตตานี

รถเข็นช็อปปิ้ง

คอลัมน์ รู้ไปโม้ด
น้าชาติ ประชาชื่น nachart@yahoo.com


ถึงน้าชาติ เวลาซื้อของที่ซูเปอร์มาร์เก็ตทีไร ใช้รถเข็นทุกครั้งเพราะสะดวกดี จึงสงสัยถึงที่มา น้าช่วยตอบหน่อยนะคะ

จาก Shopaholic Lady

ตอบ Shopaholic Lady

คนทั่วโลกใช้รถเข็นช็อปปิ้งเป็นส่วนหนึ่งในการจับจ่ายซื้อของไปแล้ว แม้แต่เจ้าหญิงเคต ดัชเชสแห่งเคมบริดจ์ หลังจากเสกสมรสกับเจ้าชายวิลเลียม ก็ทรงใช้รถเข็นช็อปปิ้งใส่สิ่งของที่พระองค์ซื้อและทรงเข็นรถเข็นด้วย พระองค์เองเหมือนสมัยยังเป็นสามัญชน

เว็บไซต์ www.designboom. com บอกที่มาของรถเข็นช็อปปิ้งว่าถือกำเนิดในดินแดนสหรัฐอเมริกา โดย นายซิลแวน โกลด์แมน เจ้าของร้านค้าของชำชื่อ "พิกกี้-วิกลี่" ในรัฐโอกลาโฮมา คิดหาทางออกว่าจะทำอย่างไรให้คนที่มาซื้อของสามารถหอบข้าวของได้มากกว่าเดิม เพราะทันทีที่ลูกค้าหยิบของใส่จนเต็มตะกร้าแล้วก็ตรงดิ่งไปจ่ายเงิน จึงปิ๊งไอเดียจากเก้าอี้พับได้ เพียงใส่ตะกร้าไปตรงที่นั่งและมีมือจับแทนพนักเก้าอี้ ก็ได้นวัตกรรมนี้ขึ้นมา

โกลด์แมนยังต่อเติมล้อให้เคลื่อนที่ได้ด้วย ถือเป็นรถเข็นช็อปปิ้งแบบแรกของโลก จากนั้นโกลด์แมนจึงตั้ง บริษัท โฟลดิ้ง บาสเก็ต แคร์ริเออร์ จำกัด ในปี 2490 เพื่อผลิตและขายรถเข็นดังกล่าว

แต่ปรากฏว่ารถเข็นของโกลด์แมนไม่โดนใจนักช็อปเลย พวกผู้ชายเห็นว่าเขามีกล้ามเป็นมัดๆ ที่จะหิ้วของได้ ส่วนผู้หญิงก็เบื่อกับการเข็นรถเข็นเด็กมาทั้งวัน โกลด์แมนจึงผ่าทางตันด้วยการทำโปสเตอร์โฆษณาขึ้นมา เป็นภาพผู้หญิงคนหนึ่งที่เหนื่อยล้าจากการถือของพะรุงพะรังในแขนข้างหนึ่ง ส่วนแขนอีกข้างถือกระเป๋าเงิน พร้อมข้อความว่า "ไม่ต้องทำแบบนี้อีกแล้วที่ร้านค้าที่ได้มาตรฐาน" โดยไม่มีรูปภาพรถเข็นในโปสเตอร์เลย แต่โกลด์แมนมีกลยุทธ์เด็ดโดยว่าจ้างนายแบบและนางแบบเข็นรถเข็นช็อปปิ้งเป็น ตัวอย่างให้นักช็อปเห็นถึงศักยภาพของรถเข็น ปรากฏว่าคราวนี้คนที่มาซื้อของลองใช้นวัตกรรมนี้กันยกใหญ่ ส่งผลให้นายโกลด์แมนกลายเป็นมหาเศรษฐี

ในปีเดียวกับที่รถเข็นช็อป ปิ้งถือกำเนิดนั้น ออร์ลา อี. วัตสัน อยู่ที่รัฐมิซซูรี พัฒนารถเข็นแบบดั้งเดิมให้เป็นรถเข็นที่มีตะกร้าสองชั้นเพื่อเพิ่มความจุใน การใส่สินค้า และออกแบบให้รถเข็นสามารถเสียบซ้อนคันกันได้ เนื่องจากแผ่นด้านหลังของตะกร้าทั้งสองใบจะพับและยกขึ้นได้เมื่อมีรถเข็นอีก คันมาเสียบด้านหลัง

รถเข็นช็อปปิ้งได้รับการพัฒนาอย่างต่อเนื่องจนมีหน้าตาเหมือนรถเข็นในห้าง ที่ใช้กันอยู่ในปัจจุบัน ได้รับการออกแบบในช่วง "เบบี้ บูม" หลังสงครามโลกครั้งที่สองซึ่งประชากรในสหรัฐเพิ่มจำนวนสูงมาก รถเข็นช็อปปิ้งจึงเพิ่มที่นั่งสำหรับเด็กไว้ด้วย พร้อมเพิ่มสีสันมือจับรถเข็นให้สวยงามน่าใช้

ต่อมา เมื่อประมาณ 50 ปีก่อน รถเข็นพัฒนาไปอีกขั้นโดยใช้ล้อที่ทำด้วยยางชนิดใหม่ซึ่งไม่ทำให้เกิดรอยเวลา เคลื่อนที่เหมือนรถเข็นรุ่นเก่า ขณะเดียวกันประตูบานเลื่อนอัตโนมัติก็เกิดขึ้นเป็นครั้งแรก

วันที่ 22 มิถุนายน พ.ศ. 2554 ปีที่ 21 ฉบับที่ 7510 ข่าวสดรายวัน


ตรวจสอบอัญมณี


คอลัมน์ รู้ไปโม้ด
น้าชาติ ประชาชื่น nachart@yahoo.com



น้าชาติ ขอทราบหลักเกณฑ์ หรือเทคนิคตรวจสอบเพชรพลอย หรืออัญมณีต่างๆ ว่ามีวิธีการอย่างไรบ้าง

Ming

ตอบ Ming

เอกสารของสถาบันพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม อธิบายถึงเทคนิควิธีการตรวจสอบอัญมณี ว่า ในปัจจุบันอัญมณีมีทั้งที่เป็นของแท้จากธรรมชาติและทำเทียมเลียนแบบธรรมชาติ ซึ่งการทำเทียมนั้นสามารถทำได้เหมือนของธรรมชาติเป็นอย่างมาก ดังนั้น หากเป็นผู้ที่ไม่เคยศึกษาและมีประสบการณ์ด้านอัญมณีมาโดยตรงอาจไม่สามารถดู รู้ได้เลยว่าอัญมณีชิ้นนั้นเป็นของแท้หรือของเทียม อย่างไรก็ตาม การตรวจสอบอัญมณีว่าเป็นของแท้หรือของเทียมก็สามารถตรวจสอบได้ แต่จำเป็นต้องอาศัยเครื่องมือในการช่วยตรวจสอบ ยิ่งเมื่อบวกกับประสบการณ์ด้านอัญมณีก็จะยิ่งมั่นใจได้ว่าการตรวจสอบนั้นได้ ผลถูกต้องและชัดเจน

การตรวจสอบอัญมณีทำได้ดังนี้ 1.การตรวจสอบด้วยตาเปล่า แว่นขยาย หรือกล้องจุลทรรศน์กำลังขยายต่ำ 10-30 เท่า ดูจากลักษณะของสี ความโปร่งแสง การเจียระไน ความวาว รอยตำหนิ การแตกและการประกบอัญมณี 2.การตรวจสอบด้วยกล้องจุล ทรรศน์ที่มีกำลังขยายสูง 30-200 เท่า เป็นการตรวจสอบวิเคราะห์จำแนกลักษณะชนิดมลทินภายในต่างๆ ของอัญมณี เช่น เป็นอัญมณีสังเคราะห์ อัญมณีเทียม อัญมณีเลียนแบบ อัญมณีธรรมชาติ หรืออัญมณีที่ยังไม่ได้มีการปรับคุณภาพ เป็นต้น

3.การ ตรวจสอบโดยการหาค่าดัชนีหักเหของแสง โดยใช้เครื่องรีแฟรกโตมิเตอร์ ที่ตรวจสอบได้ทั้งอัญมณีที่มีผิวมันราบเรียบและผิวโค้ง โดยจะสามารถหาค่าดัชนีหักเหของแสงในอัญมณีชนิดต่างๆ ค่าที่ได้อาจจะเป็นหนึ่งค่า หรือสองค่า หรือสามค่า หรือเป็นอัญมณีแท้ 4.การตรวจสอบโดยหาลักษณะทางเดินของแสงในผลึก โดยการใช้เครื่องโพลาไรสโคป ซึ่งสามารถหาลักษณะทางเดินของแสงในอัญมณีชนิดนั้นๆ ได้ ผลที่ได้ออกมาจะได้ค่าของสีแฝดที่มีอยู่ในอัญมณี

ยังมีการตรวจสอบ เพิ่มเติมอื่นๆ คือ การตรวจด้วยเครื่องสเปก โตรสโคป เป็นการตรวจสอบการดูดกลืนแสงหรือการเปล่งแสงในช่วงความยาวคลื่นแสงที่สามารถ รับได้ด้วยตาเปล่า เพื่อให้ทราบถึงธาตุที่ทำให้เกิดสีในอัญมณี หรือการย้อมสี, การใช้เครื่องชั่ง หรือการใช้น้ำยาละลายหนัก เพื่อหาค่าความถ่วงจำเพาะของอัญมณีชนิดนั้นๆ, การใช้แสงอัลตราไวโอเลต ตรวจสอบได้จากดูการเรืองแสงของอัญมณีชนิดนั้นๆ เช่น เป็นการเรืองแสงตามธรรมชาติ หรือเป็นการเรืองแสงเพราะการย้อมสี, การตรวจโดยใช้แว่นกรองแสง ช่วยตรวจสอบว่าเป็นอัญมณีสังเคราะห์ หรือเป็นอัญมณีที่ผ่านการย้อมสี และการใช้เครื่องวัดการนำความร้อนเพื่อตรวจและแยกเพชรว่าเป็นเพชรแท้หรือ เพชรเทียม

ปัจจุบันมีการใช้มาตรฐานด้านต่างๆ มาเป็นเครื่องวัดคุณภาพอัญมณี ไม่ว่าจะเป็นเพชร โลหะทองคำ เป็นต้น แต่สำหรับพลอยยังไม่มีมาตรฐานที่เป็นข้อกำหนดบังคับใช้ที่แน่นอน แต่ผู้ซื้อก็มีวิธีที่อาจใช้เป็นมาตรฐานในการตรวจสอบคุณภาพได้ เช่น ลักษณะการกำเนิดของพลอยตามธรรมชาติ ประวัติการปรับปรุงคุณภาพ เป็นต้น

กรณี ที่ผู้ซื้อต้องการซื้อพลอยร่วง (พลอยเม็ดที่ยังมิได้ประกอบเข้าตัวเรือน) หรือพลอยที่ประกอบตัวเรือนแล้ว ถ้าเป็นการซื้อกับผู้ขายที่ไม่เคยรู้จักกันมาก่อน ผู้ซื้อควรนำพลอยเม็ดนั้นไปให้ผู้เชี่ยวชาญตรวจสอบดูเสียก่อน โดยเฉพาะพลอยเม็ดใหญ่ๆ หรือที่มีราคาสูง หลังจากตรวจสอบและได้ผลสรุปเป็นที่ชัดเจนแล้วว่าเป็นพลอยแท้ ผู้ตรวจสอบจะให้หลักฐานเป็นหนังสือใบรับรองการตรวจสอบ (Certificate) หากเป็นการซื้อจากผู้ขายอัญมณีโดยตรง ผู้ซื้อควรให้ทางร้านออกใบรับรองให้ว่าพลอยที่ซื้อนั้นเป็นพลอยแท้ชนิดใด น้ำหนักเท่าใด รวมทั้งรายละเอียดอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง เพื่อเวลาที่มีปัญหาจะได้มีหลักฐานยืนยันและนำกลับไปคืนที่ร้านได้

วันที่ 21 มิถุนายน พ.ศ. 2554 ปีที่ 21 ฉบับที่ 7509 ข่าวสดรายวัน


รถไฟสายทรานส์ไซบีเรีย


รู้ไปโม้ด
nachart@yahoo.com


อยากรู้เรื่อง รถไฟสายทรานส์ไซบีเรียครับน้า ขอประวัติด้วย

มาลีฮวนน่า

ตอบ มาลีฯ


เจ้า ของสถิติทางรถไฟสายยาวที่สุดในโลก ด้วยระยะทาง 9,288 กิโลเมตร ทรานส์ไซบีเรีย (Trans-Siberian) หรือเรียกกันว่า ทรานส์ซิบ (Transsib) เป็นเครือข่ายรถไฟที่เชื่อมโยงกรุงมอสโก กับดินแดนตะวันออกอันห่างไกลของรัสเซีย รวมถึงมองโกเลีย จีน และทะเลญี่ปุ่น เข้าด้วยกัน สรุปคือเชื่อมรัสเซียฝั่งตะวันตกกับฝั่งตะวันออกนั่นเอง

ย้อน ไปช่วงศตวรรษ 19 สมัยที่ไซบีเรีย ดินแดนตะวันออก ของรัสเซียยังเป็นพื้นที่ไกลลิบที่ไม่ได้รับการสำรวจ และไม่มีการอยู่อาศัยของประชาชนสักเท่าไรนัก ก่อนที่ความหนาวเย็นและสภาพกันดารทำให้มันถูกใช้เป็นคุกคุมขังนักโทษที่ รัฐบาลส่งมาจากฝั่งตะวันตก โดยเฉพาะนักโทษการเมือง กระทั่งช่วงปลายศตวรรษที่การค้าขายในย่านเอเชียตะวันออกเติบโตกว้างขวาง ถนนเศรษฐกิจจากยุโรปและอเมริกามุ่งตรงสู่ที่นี่ การเปลี่ยน แปลงครั้งสำคัญของไซบีเรียจึงเกิดขึ้น



ยาม นั้นเมืองหลวงของรัสเซียยังเป็นเซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก ที่อยู่ห่างจากไซบีเรียขนาดไม่ว่าจะควบม้าเร็ว นั่งเลื่อน หรือขี่ม้าตามถนนดิน ต้องใช้เวลา 1 ปีขึ้นไปหากจะเข้าเมืองหลวง นั่นทำให้ดินแดนนั้นเหมือนถูกตัดขาดจากโลกภายนอก พระเจ้าซาร์อเล็กซานเดอร์ที่ 3 จึงบัญชาให้สร้างทางรถไฟขึ้น เชื่อมเมืองท่าวลาดิวอสต�อก ริมฝั่งทะเลญี่ปุ่น กับนครมอสโก และกรุงเซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก ทรงให้ ซาเรวิช นิโคไล อเล็กซานโดรวิช (ต่อมาคือพระเจ้าซาร์นิโคลัสที่ 2) วางศิลาฤกษ์ที่วลาดิวอสต�อก เมื่อเวลา 10 นาฬิกา วันที่ 19 พฤษภา คม ค.ศ. 1891 บางเอกสารระบุว่า ทางรถไฟสายนี้สร้างตามแนวคิดริเริ่มของ เซอร์เกย์ วิตเต รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังขณะนั้น

เงินก่อสร้างกู้มาจากฝรั่งเศส ระดมนักโทษ ทหาร ชาวไร่ชาวนา คนงานรถไฟ มาเป็นแรงงาน ผลัดเปลี่ยนกันหลายชุด นับรวมๆ เป็นหลายแสนคน สร้างแล้วเสร็จในปี 1905 ความสำเร็จของเส้นทางสายนี้นับเป็นประวัติศาสตร์ยิ่งใหญ่ของรัสเซีย ด้วยเป็นการ เปิดเส้นทาง การพัฒนาและความก้าวหน้าสู่ไซบีเรีย อันเป็นเขตสหพันธ์อันห่างไกล

เส้นทางดั้งเดิมของทรานส์ไซบีเรียเริ่ม ต้นที่เมืองเชลยาบินสก์ วิ่งไปทางตะวันออกสู่เมืองออมส์, นอวอซิบิร์สก์ คราสนอยาสก์ อีร์คุตสก์และชีตา ข้ามไปแมนจูเรีย และวกกลับเข้ามารัสเซีย ก่อนสิ้นสุดที่ วลาดิวอสต�อก แต่ปัจจุบันจุดเริ่มต้นของทรานส์ไซ บีเรียอยู่ที่สถานียารอสลาฟสกีในมอสโก ส่วนสถานีสุดท้ายยังอยู่ที่วลาดิ วอสต�อก โดยแบ่งออกเป็น 4 เส้นทางดังนี้ 1.สายทรานส์ไซบีเรีย จากมอสโกถึงวลาดิวอสต�อก ผ่านทางใต้ของไซบีเรีย เส้นทางนี้สร้างขึ้นระหว่างปี 1891-1916 และเชื่อมโยงกับเส้นทางสายหลักอื่นๆ ในรัสเซียที่เชื่อมกับ 2 เมืองนี้ด้วย เส้นทางสายนี้มีระยะทาง 9,258 กิโลเมตร ผ่าน 8 เขตเวลาโลกที่แตกต่างกัน ใช้เวลาเดินทาง 7 วัน

2.สายทรานส์แมนจูเรีย (Trans-Manchurian) มาบรรจบกับสายทรานส์ไซบีเรียที่เมืองตาร์สกายา ซึ่งห่างจากทะเล สาบไบคาลไปทางตะวันออกประมาณ 1,000 กิโลเมตร จากตาร์สกายา ทรานส์แมนจูเรียนมุ่งหน้าไปทางตะวันออกเฉียงใต้สู่จีนแล้ววิ่งลงไปยังกรุง ปักกิ่ง ประเทศจีน 3.สายทรานส์มองโกเลีย (Trans-Mongolian) มาบรรจบ กับสายทรานส์ไซบีเรียนที่เมืองอูลันอูเด บนฝั่งตะวันออกของทะเล สาบไบคาล จากนั้นมุ่งลงไปทางใต้สู่เมืองอูลานบาตาร์ ก่อนวิ่งไปทางตะวันออกเฉียงใต้ของกรุงปักกิ่ง

และเส้นทางสายที่ 4 ซึ่งสร้างเสร็จสมบูรณ์ในค.ศ.1991 หลังจากการก่อสร้างแบบเป็นระยะต่อเนื่องนานถึง 5 ทศวรรษ เป็นเส้นทางวิ่งขึ้นต่อไปทางเหนือ รู้จักกันในชื่อ ไบคาล อามูร์ เมนไลน์ เป็นการขยายเส้นทางของเส้นทางทรานส์ไซบีเรียไปทางตะวันตกของทะเล สาบไบคาลอีกหลายร้อยไมล์ โดยผ่านทะเลสาบนี้ไปถึงขอบด้านเหนือสุดของทะเลสาบ และไปสู่แปซิฟิก ถึงทางเหนือของเมืองคอบา รอฟส�ก, ที่โซเวตสกายากาวาน เส้นทางนี้นำไปสู่พื้นที่ทางเหนืออันสวยงามของทะเลสาบไบคาล

100 ปีลูกเสือไทย

คอลัมน์ รู้ไปโม้ด
น้าชาติ ประชาชื่น nachart@yahoo.com


ถึง น้าชาติ

วัน ที่ 1 ก.ค.ที่ผ่านมาเป็น วันลูกเสือแห่งชาติ และทราบว่าปีนี้ครบรอบ 100 ปีลูกเสือไทย จึงอยากรู้ที่มาของลูกเสือโลกและลูกเสือไทยครับ

จาก สิงห์น้อย

ตอบ สิงห์น้อย

เว็บไซต์ สำนักงานลูกเสือแห่งชาติ บอกที่มาของลูกเสือสากลว่า พล.ท. โรเบิร์ต เบเดน โพเอลล์ (Robert Baden-Powell) ตั้งกองลูกเสือขึ้นมาครั้งแรกเมื่อพ.ศ.2451 หลังจากไปรับราชการทหารที่เมืองแมฟิคิงซึ่ง เป็นเมืองขึ้นของอังกฤษในสหภาพแอฟริกาใต้ ขณะนั้นเกิดสงครามขึ้นกับพวกบัวร์ ในการทำศึกครั้งนั้น พล.ท.โพเอลล์ ฝึกเด็กจำนวนหนึ่งเพื่อช่วยราชการสงคราม เช่น เป็นผู้สื่อข่าว สอดแนม รักษาความสงบเรียบร้อยภายใน รับใช้ในการงานต่างๆ เช่น ทำครัว ปรากฏว่าได้ผลดีมาก เพราะเด็กที่ได้รับการฝึกเหล่านั้นปฏิบัติหน้าที่ที่รับมอบหมายได้อย่างเข้ม แข็งว่องไว ได้ผลดีไม่แพ้ผู้ใหญ่ และบางอย่างกลับทำได้ดีกว่าผู้ใหญ่เสียอีก

เมื่อ กลับจากราช การสงครามเมืองแมฟิคิงแล้ว พล.ท.โพเอลล์ได้ร่างโครงการอบรมเด็กขึ้น มีหลักการคล้าย ลูกเสือในปัจจุบัน ต่อมาในปี พ.ศ.2450 จึงทดลองตั้ง Boy Scout (ลูกเสือ) ขึ้นเป็นกองแรกที่เกาะบราวน์ซี โดยเกลี้ยกล่อมเด็กที่เที่ยวเตร่อยู่ในที่ต่างๆ มาอบรมแล้วคอยคุมการฝึกตามโครงการด้วยตนเอง

กระทั่งพ.ศ.2455 รัฐบาลอังกฤษประกาศรับรองฐานะของลูกเสืออังกฤษเป็นทางการพร้อมออกกฎหมายคุ้มครองให้ด้วย

ต่อ มา พ.ศ.2472 พระเจ้าจอร์จ ที่ 5 พระราชทานบรรดาศักดิ์ "บารอน" ให้ พล.ท.โพเอลล์ ทำให้ได้เป็นสมาชิกสภาขุนนาง ตามประเพณีของอังกฤษผู้ที่ได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์ตั้งแต่บารอนขึ้นไป จะต้องมีชื่อสถานที่ต่อท้าย ซึ่ง พล.ท.โพเอลล์ เลือกเอา กิลเวลล์ (Gil Well Park) ชื่อของศูนย์ฝึกอบรมผู้บังคับบัญชาลูกเสือนานาชาติ ทำให้เขาได้ชื่อตามบรรดาศักดิ์ว่า "บารอน เบเดน โพเอลล์ แห่ง กิลเวลล์" แต่คนทั่วไปมักนิยมเรียก ลอร์ด เบเดน โพเอลล์ ในการชุมนุมลูกเสือครั้งแรกของโลกในปีพ.ศ.2463 ที่ประชุมผู้แทนลูกเสือจากประเทศต่างๆ ประกาศให้ ลอร์ด เบเดน โพเอลล์ เป็นประมุขของลูกเสือ และเรียกท่านลอร์ดอย่างย่อๆ ว่า บีพี

คติพจน์ที่ท่านลอร์ด บาเดน โพเอลล์ ให้ไว้แก่ลูกเสือก็คือ BE PREPARED (จงเตรียมพร้อม)

สำหรับ ลูกเสือไทย ถือกำเนิดโดยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ขณะมีพระชนมายุได้ 13 พรรษา เสด็จไปทรงศึกษาที่ประเทศอังกฤษ และทรงทราบเรื่อง ลอร์ด เบเดน โพเอลล์ ตั้งกองลูกเสือขึ้นเป็นครั้งแรกของโลก เมื่อพระองค์เสด็จนิวัติสู่ประเทศไทย จึงทรงจัดตั้งกองเสือป่า (Wild Tiger Corps) ขึ้นเมื่อวันที่ 6 พ.ค.2454 เพื่อฝึกหัดให้ข้าราชการและพลเรือนเรียนรู้วิชาทหาร รู้จักระเบียบวินัย มีความจงรักภักดีต่อสถาบันชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ จากนั้นอีก 2 เดือน พระราชทานกำเนิดลูกเสือไทยขึ้นเมื่อวันที่ 1 ก.ค.2454 ซึ่งปีนี้ครบรอบ 100 ปี ลูกเสือไทย เมื่อ 1 ก.ค.ที่ผ่านมา

พระองค์ ทรงตั้งกองลูกเสือกองแรกขึ้นที่โรงเรียนมหาดเล็กหลวง (โรงเรียนวชิราวุธราชวิทยาลัย ในปัจจุบัน) และจัดตั้งกองลูกเสือตามโรงเรียนต่างๆ รวมทั้งพระราชทานคำขวัญให้ลูกเสือว่า "เสียชีพ อย่าเสียสัตย์"

ทั่วโลกแบ่งประเภทลูกเสือเป็นแบบอังกฤษและ แบบอเมริกันซึ่งแตกต่างจากแบบอังกฤษเล็กน้อย ไทยยึดถือตามแบบอังกฤษ คือ ลูกเสือสำรอง ลูกเสือสามัญ ลูกเสือสามัญรุ่นใหญ่ และลูกเสือวิสามัญ ในการกล่าวถึงลูกเสือนี้ให้รวมถึงเนตรนารีไว้ด้วย และในปัจจุบัน โรงเรียนอนุบาลหลายแห่งมีหลักสูตร "ลูกเสือบีเวอร์" สำหรับนักเรียนชั้นอนุบาล 3 เพื่อฝึกให้เด็กรู้จักระเบียบวินัย
เมืองหนังสือโลก

คอลัมน์ รู้ไปโม้ด
น้าชาติ ประชาชื่น nachart@yahoo.com


ถึง น้าชาติ

ไทยได้เป็นเจ้าภาพเมืองหนังสือโลกปี 2556 สงสัยว่าเป็นเจ้าภาพได้อย่างไรทั้งที่คนไทยอ่านหนังสือน้อย

จาก หนอนหนังสือ

ตอบ หนอนหนังสือ

องค์การ ศึกษา วิทยาศาสตร์ และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ หรือยูเนสโก เพิ่งประกาศให้กรุงเทพมหานครเป็น "เมืองหนังสือโลก" ครั้งที่ 13 ประจำปี 2556 ในการประชุมที่สำนักงานใหญ่ ยูเนสโก กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส เมื่อวันที่ 27 มิ.ย.ที่ผ่านมา ซึ่งกรุงเทพฯ ชนะเมืองใหญ่ที่ส่งชื่อเข้าชิงชัยอีก 2 เมือง ได้แก่ กรุงลอนดอน สหราชอาณาจักร และกรุงกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย

เมืองหนังสือโลก เริ่มเมื่อปี 2544 โดยยูเนสโกมอบรางวัลแห่งเกียรติยศ "เมืองหนังสือโลก" หรือ "World Book Capital" แก่เมืองที่ได้รับการคัดเลือกเป็นเอกฉันท์จากคณะกรรมการเพียงปีละหนึ่งเมือง ในฐานะที่เป็นเมืองแห่งการเรียนรู้และส่งเสริมการอ่าน และเพื่อให้สอดคล้องกับการเฉลิมฉลองให้วันที่ 23 เม.ย.ของทุกปีเป็น "วันหนังสือและลิขสิทธิ์โลก" (World Book and Copyright Day) เนื่องจากเห็นว่าหนังสือ คือสิ่งที่มีพลังอำนาจสูงสุดและมีประสิทธิ ภาพมากที่สุดในการกระจายความรู้และรักษาไว้ซึ่งความรู้นั้นๆ เพื่อมนุษยชาติ

เมืองที่จะได้รับเลือกเป็นเมืองหนังสือโลกจะต้องมีคุณสมบัติ ดังนี้

1. มีความร่วมมือระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในประเทศจนถึงระดับนานาชาติ

2. จัดกิจกรรมส่งเสริมการอ่านอย่างมีคุณภาพและต่อเนื่อง โดยได้รับความร่วมมือจากหลายหน่วยงานวิชาชีพทั้งในประเทศและจากต่างประเทศ อาทิ สมาคมนักเขียน สมาคมผู้จัดพิมพ์ สมาคมห้องสมุด สมาคมร้านขายหนังสือ เป็นต้น

3. มีโครงการสนับสนุนการพัฒนาหนังสือและการอ่าน

4. ส่งเสริมสนับสนุนในเรื่องเสรีภาพการแสดงออกทางความคิด ผู้คนในสังคมจัดพิมพ์และแจกจ่ายข้อมูลข่าวสารได้โดยอิสระ

5. เสนอโครงการและกิจกรรมเพื่อเตรียมความพร้อมในการเป็นเมืองหนังสือโลกในปีที่จะประกวด

ไทย เคยเสนอชื่อเข้าไปคัดเลือกเพื่อให้เป็นเมืองหนังสือโลกในปี 2551 โดยทำเรื่องเสนอปี 2549 ครั้งหนึ่งแล้วแต่ยังไม่สำเร็จ และยังมีความพยายามอย่างต่อเนื่อง อีกทั้งกระทรวงวัฒนธรรมมีแนวคิดว่าต้องการให้ประเทศไทยเป็น "นครแห่งการอ่าน" (City of Reading หรือ City of Book) ซึ่งแนวคิดดังกล่าวสอดคล้องกับยูเนสโก ทั้งหมดนี้จึงส่งผลให้ไทยได้เป็นเจ้าภาพในที่สุด

อย่างไรก็ตาม พฤติกรรมการอ่านของคนไทยถือว่าอ่านหนังสือน้อยมาก สำนักงานสถิติแห่งชาติสำรวจเมื่อปี 2549 พบว่าคนไทยใช้เวลาอ่านหนังสือเฉลี่ยวันละ 1.59 ชั่วโมง เปรียบเทียบแล้วคนไทยอ่านหนังสือเฉลี่ยคนละ 5 เล่มต่อปี และสถิติล่าสุด นายเจตน์ โศภิษฐ์พงศธร โฆษกกรุงเทพมหานคร ระบุว่าคนไทยอ่านหนังสือเพียง 39 นาทีต่อวันซึ่งถือว่าต่ำมาก

สำหรับเมืองที่เคยเป็นเจ้าภาพเมือง หนังสือโลก ได้แก่ 2544 กรุงมาดริด ประเทศสเปน, 2545 เมืองอเล็กซานเดรีย ประเทศอียิปต์, 2546 กรุงนิวเดลี ประเทศอินเดีย, 2547 เมืองอันต�เวิร์ป ประเทศเบลเยียม, 2548 เมืองมอนทรีออล ประเทศแคนาดา, 2549 เมืองตูริน ประเทศอิตาลี, 2550 กรุงโบโกตา ประเทศโคลัมเบีย, 2551 กรุงอัมสเตอร์ดัม ประเทศเนเธอร์แลนด์, 2552 กรุงเบรุต ประเทศเลบานอน, 2553 กรุงลุบลิยานา ประเทศสโลวีเนีย, 2554 กรุงบูเอโนส ไอเรส ประเทศอาร์เจนตินา และ 2555 กรุงเยเรวาน ประเทศอาร์เมเนีย

มหัศจรรย์"ลาเวนเดอร์"

คอลัมน์ รู้ไปโม้ด
น้าชาติ ประชาชื่น nachart@yahoo.com


ถึง น้าชาติ

ดิฉันชอบดมกลิ่นลาเวน เดอร์มากเลยค่ะ สดชื่นดี คลายเครียด อยากรู้ว่าลาเวนเดอร์ปลูกมากที่ไหนคะ และมีประโยชน์อะไรบ้าง

จาก สุคนธวา

ตอบ สุคนธวา

ลา เวนเดอร์ เป็นต้นไม้ที่อยู่คู่โลกมานานแล้ว ต้นกำเนิดของสายพันธุ์ลาเวนเดอร์มาจากมาคาโรนีเซีย บริเวณแหลมแวร์เดและเกาะคานารี แถบแอฟริกา และกระจายไปยังแถบเมดิ เตอร์เรเนียน เอเชียใต้จนถึงเอเชียตะวันตก

คำว่า "ลาเวนเดอร์" มาจากภาษาละติน "lavare" หมายถึง "ชำระล้าง" เพราะในสมัยก่อน ชาวเปอร์เซีย กรีก และโรมันนำกิ่งดอกลาเวนเดอร์มาเผาเพื่อป้องกันการติดต่อของโรคระบาด ส่วนที่ฝรั่งเศส หญิงรับจ้างซักผ้านำดอกลาเวนเดอร์มาแช่ในอ่างอาบน้ำ ในตะกร้าซักผ้าและในตู้ต่างๆ เพื่อให้ผ้าลินินมีกลิ่นหอมและป้องกันแมลง

ลา เวนเดอร์มีหลายสายพันธุ์ แต่พันธุ์ที่นิยมมาก ได้แก่ โอลด์ อิงลิช ลาเวนเดอร์ ซึ่งนำกลิ่นมาทำผลิตภัณฑ์เกี่ยวกับอโรมา ปลูกกันมากในอังกฤษ ตอนใต้ของฝรั่งเศส ส่วนพันธุ� สไปก์ ลาเวนเดอร์ นิยมปลูกในแถบเมดิเตอร์เรเนียน และใช้เป็นกลิ่นสำหรับสุภาพบุรุษ พันธุ์ เฟรนช์ ลาเวนเดอร์ ปลูกมากในฝรั่งเศส โปรตุเกส สเปน นำไปทำน้ำหอม สบู่และใช้ในการแพทย์ อีกพันธุ์หนึ่ง คือ บัสทาร์ด ลาเวนเดอร์ ปลูกในแคว้นโพรวองซ์ของฝรั่งเศส ซึ่งสกัดมาผลิตเป็นกลิ่นสบู่และน้ำหอม

ดอก ลาเวนเดอร์คุณภาพสูงจะเก็บเกี่ยวได้ในช่วงกลางเดือน ก.ค.ถึงปลายเดือนส.ค. เพราะเป็นช่วงที่ดอกลาเวนเดอร์ผลิตน้ำมันหอมระเหยหรือเอสเซนเชี่ยลออยล์ได้ มากที่สุด ช่วงเวลาเก็บเกี่ยวดอกลาเวนเดอร์ในแต่ละที่แตกต่างกันออกไปตามระดับความสูง และความชื้นของสภาพอากาศ โดยระดับความสูงจะเป็นปัจจัยหลักในกระบวนการผลิตน้ำมันหอมระเหย ยิ่งสูงมากเท่าไหร่ก็ยิ่งเพิ่มปริมาณน้ำมันหอมระเหยได้มากเท่านั้น

ดอก ลาเวนเดอร์จะบานสะพรั่งในช่วงฤดูร้อนของยุโรป หากจะไปเที่ยวชมดมดอกลาเวนเดอร์ที่ตอนใต้ของฝรั่งเศส โดยเฉพาะที่แคว้นโพรวองซ์ ควรไปตั้งแต่เดือนก.ค.ถึงกลางต.ค และมีเทศกาลลาเวนเดอร์ด้วย เทศกาลลาเวนเดอร์ใหญ่ๆ จะจัดในเดือนส.ค. ในหลายๆ แห่งของฝรั่งเศส

ที่ญี่ปุ่น มีทุ่งลาเวนเดอร์ที่มีชื่อเสียงไม่แพ้กัน ที่เกาะฮอกไกโด ช่วงนี้เข้าหน้าร้อนแล้ว ดอกลาเวนเดอร์จะส่งกลิ่นหอมไปทั่วในช่วงเดือนมิ.ย.-ส.ค. แหล่งที่นักท่องเที่ยวนิยมไปชมดอกลาเวนเดอร์ที่ฮอกไกโดอยู่ในละแวกเมืองอาซา ฮิกาว่าเป็นส่วนใหญ่ เช่น ที่ฟุราโน่ และบิเอะ

ประโยชน์ของลาเวน เดอร์มีมากมาย น้ำมันหอมระเหยกลิ่นลาเวนเดอร์ช่วยผ่อนคลายและระงับประสาท ระงับความตึงเครียดและทำให้หลับสบาย อีกทั้งมีสรรพคุณการฆ่าเชื้อ รักษาบาดแผลผิวหนังที่ระคายเคือง พุพอง เพราะมีฤทธิ์ต้านการอักเสบ ลดอาการเจ็บคอและหลอดลมได้เมื่อสูดดม

นอกจากนี้ ยังนิยมหยดน้ำมันหอมระเหยกลิ่นลาเวนเดอร์เพื่ออาบน้ำสัก 2-3 หยดโดยต้องผสมกับนม เพราะลาเวนเดอร์ออยล์ไม่ละลายในน้ำซึ่งจะช่วยผ่อนคลายได้เป็นอย่างดี

วันที่ 23 มิถุนายน พ.ศ. 2554 ปีที่ 21 ฉบับที่ 7511 ข่าวสดรายวัน


นางกวัก


คอลัมน์ รู้ไปโม้ด
น้าชาติ ประชาชื่น nachart@yahoo.com



ถึง น้าชาติ

วันก่อนอ่านข่าวมีคนขโมยนางกวักจากร้านขายข้าวที่ขายดี เลยอยากรู้ประวัติของนางกวักและทำไมบูชานางกวักแล้วค้าขายดีคะ

จาก แม่ค้าหน้านวล

ตอบ แม่ค้าหน้านวล

ตาม ตำนานที่กล่าวขานกันมามี 2 ที่มา ในวิกิพีเดียบอกเล่าตำนานแรกว่า นางกวัก มีชื่อว่า สุภาวดี บิดาชื่อ สุจิตพราหมณ์ มารดาชื่อ สุมณฑา เกิดที่เมืองมัจฉิกาสัณฑ์ (อยู่ไม่ไกลจากเมืองสาวัตถี) ประเทศอินเดีย ครอบครัวทำมาค้าขาย ต่อมาพ่อซื้อเกวียนมา 1 เล่ม เพื่อนำสินค้าไปเร่ขายในต่างถิ่น ซึ่งนางสุภาวดีขอติดตามไปด้วยเป็นบางครั้ง เพื่อเที่ยวชมสถานที่ต่างๆ ระหว่างการค้าขาย

สุภาวดีมีโอกาสฟังธรรม เทศนาจากพระกัสสปเถระเจ้า หลังจากสุภาวดีฟังธรรมเทศนาแล้ว พระกัสสปเถระเจ้าได้กำหนดจิตเป็นอำนาจจิตพระอรหันต์ ประสิทธิ์ประสาทพรให้สุภาวดีและครอบครัว โดยได้ตั้งกุศลจิตประสาทพรเช่นนี้ทุกครั้งที่สุภาวดีมีโอกาสไปฟังจนจบ อำลากลับ

ต่อมา สุภาวดีมีโอกาสฟังธรรมพระอริยสงฆ์อีกท่านหนึ่ง คือพระสิวลีเถระเจ้า ซึ่งสุภาวดีฟังธรรมอย่างตั้งใจเช่นกัน ทุกครั้งที่สุภาวดีได้ฟังธรรมและลากลับ พระสิวลีเถระเจ้าได้กำหนดกุศลจิต ประสาทพรให้สุภาวดีและครอบครัวเช่นเดียวกัน จิตของสุภาวดีจึงได้รับประสาทพรจากพระอรหันต์ถึงสององค์ ส่งผลให้บิดาทำการค้าได้กำไรไม่เคยขาดทุน

พรที่นางสุภาวดีได้รับ คือ "ขอให้เจริญรุ่งเรืองไพบูลย์ด้วยทรัพย์สินเงินทอง จากการค้าขายสินค้าต่างๆ สมความปรารถนาเถิด"

สุจิต พราหมณ์ทราบดีว่าสุภาวดีคือผู้ที่เป็นสิริมงคลที่แท้จริง นำโชคลาภมาให้ครอบครัว ทำให้ฐานะร่ำรวยเป็นมหาเศรษฐี มีเงินทองและกองเกวียนสินค้ามากมาย เทียบได้กับธนัญชัยเศรษฐี บิดาของวิสาขาแห่งแคว้นโกศล เมื่อนางสุภาวดีเสียชีวิตแล้ว ชาวบ้านจึงปั้นรูปแม่นางสุภาวดีไว้บูชา ขอให้การค้ารุ่งเรือง ความเชื่อดังกล่าวนี้แพร่หลายเข้ามายังสุวรรณภูมิ จากการเผยแพร่ของพราหมณ์ และยังคงเป็นความเชื่อสืบมาจนถึงทุกวันนี้

อีกตำนานหนึ่ง บอกว่านางกวักเป็นลูกสาวคนเดียวของปู่เจ้าเขาเขียวหรือท้าวพนัสบดี ซึ่งเป็นเจ้าชั้นจาตุมหาราชิกา มีตำแหน่งเป็นพระพนัสบดีคือ เจ้าแห่งป่าเขาลำเนาไพรทั้งปวง ครั้งนั้น อสูรหนึ่งซึ่งเป็นเพื่อนกับปู่เจ้าเขาเขียว ชื่อ ท้าวอุณาราช ถูกพระรามเอาศรต้นกกแผลงศรไปถูกทรวงอกแล้วตรึงร่างไปติดกับเขาพระสุเมรุ คำสาปจะสูญสิ้นก็ต่อเมื่อบุตรของท้าวอุณาราชทอใยบัวเป็นจีวรเพื่อถวายแด่พระ ศรีอาริยเมตไตรยที่จะเสด็จมาตรัสรู้

ท้าวอุณาราชจึงมีชื่อเรียกว่า ท้าวกกขนาก และนางนงประจันต์ บุตรสาวของท้าวกกขนากต้องอยู่คอยปรนนิบัติพระบิดาและพยายามทอจีวรด้วยใยบัว เพื่อให้เสร็จทันถวายพระศรีอาริยเมตไตรยที่จะเสด็จมาตรัสรู้ในภายหน้า เมื่อนางนงประจันต์มาคอยดูแลพระบิดาอยู่ที่เขาพระสุเมรุนั้น ฐานะความเป็นอยู่ของนางลำบากมาก ปู่เจ้าเขาเขียวสงสารนางนงประจันต์ จึงส่งนางกวักบุตรสาวมาอยู่เป็นเพื่อน

นางกวักจึงบันดาลให้พ่อค้าและ ผู้คนทั้งหลายเกิดความเมตตา นำทรัพย์สินเงินทองและเครื่องอุปโภคบริโภคมาให้นางนงประจันต์เป็นจำนวนมาก ทำให้ความเป็นอยู่สุขสบายขึ้น

ส่วนความเชื่อเกี่ยวกับรูปปั้น นางกวัก คือ หากรูปปั้นนางกวักยกมือขึ้นกวักระดับเสมอปาก แปลว่ากินไม่หมด แต่ถ้ากวักต่ำลงมากว่าปาก แปลว่ากินไม่พอ

ต้นไม้ที่ควรปลูกภายในบ้าน

ต้นไม้ที่ควรปลูกภายในบ้าน
ทิศตะวันออก
ปลูกต้นไผ่ มะพร้าว ป้องกันโจรภัยและให้โชคลาภ

ทิศตะวันออกเฉียงเหนือ
ปลูกทุเรียน มะกรูด เหมือนมีเทพศักดิ์สิทธิ์คอยคุ้มครอง

ทิศตะวันตก
ปลูกมะยม มะขามเพื่อกันถ้อยความและผีพลอย

ทิศตะวันตกเฉียงใต้
ปลูกสะเดา ขนุน พิกุล ราชพฤกษ์ เพื่อป้องกันโรคภัยทั้งปวง

ทิศใต้
ปลูกมะม่วง มะพลับ จะให้คุณแก่เจ้าของ

ทิศตะวันออกเฉียงใต้
ปลูกต้นสารภี ยอ เอาไว้ป้องกันเสนียดจัญไร

หากใครกระทำได้ดังนี้จะมีคนเกรงขาม ทรัพย์สินหลั่งไหลมาสู่เรือนตน



<<
ต้นไม้ที่ไม่ควรปลูกภายในบ้าน >>

ได้แก่

*
ต้นโพธิ์
*
ต้นไทร
*
ต้นมะกอก
*
ต้นระกำ
*
ต้นสลัดใด
*
ต้นตาล
*
ต้นสำโรง

หากมีขึ้นอยู่ก่อนแล้ว จะสร้างเรือนต้องแผ่วถางให้หมดสิ้นเพื่อให้พ้นราคิน



<<
ฆาตลบและฆาตบวก >>

-
ฆาตลบ หมายถึง ความอ่อนหล้า ไม่เคลื่อนไหว สงบนิ่ง ความเศร้าโศก ความหนาวเย็น และความมืดมิด
+
ฆาตบวก หมายถึง พลังงาน การเกิดการเคลื่อนไหวที่ไม่หยุดนิ่ง ไฟและแสงสว่าง

-
บ้านในลักษณะฆาตลบ -

*
บ้านที่มีต้นไม้ใหญ่ปกคลุมและรกชัฏไปด้วยเถาวัลย์
*
ศาลเจ้า วัด ป่าช้าที่อยู่ใกล้บริเวณบ้าน
*
ที่อยู่อาศัยที่ติดอยู่กับบ้านร้าง

+
บ้านในลักษณะฆาตบวก +

*
ผู้คนที่อาศัยอยู่ในที่สูง ๆ จะได้รับแรงกระทบจากสายลมแระแรงสั่นสะเทือน
*
บ้านที่ตั้งอยู่บนหน้าผาสูง
*
บ้านที่ตั้งอยู่ใกล้เสาไฟฟ้าแรงสูง
*
บ้านที่ตั้งอยู่บริเวณที่โล่งแจ้ง

<<
ฮวงจุ้ยที่เป็นศิริมงคลภายในบ้าน >>

ทางทิศตะวันออกของบ้าน ต้องมีหน้าต่างไว้รับแสงสว่างเพื่อรับโชคลาภยามรุ่งอรุณ เพราะแสงอาทิตย์มีความกระตือรือร้นที่แสวงหาความก้าวหน้าต่อไป

หน้าบ้านเป็นหน้าด่านสำคัญสำหรับบ้านเรือน เป็นทางผ่านของโชคลาภ ประตูหน้าบ้านต้องให้แข็งแรงทนทาน ควรรักษาซ่อมแซม วงกบประตูอย่าให้คดงอ เพราะหน้าบ้านสะอาด ประตูแข็งแรง ฮวงจุ้ยถือว่าเป็นศิริมงคล

การปลูกบ้านเพื่อให้ถูกหลักของฮวงจุ้ย ฐานรากของบ้านต้องสูงกว่าพื้นที่ของบริเวณบ้านประมาณสามขั้นบันได จะทำให้ตัวบ้านเด่นเป็นสง่า แม่รากฐานมั่นคง แข็งแรงแล้ว ทรัพย์สินก็ไหลมาเทมา ครอบครัวจะอยู่เย็นเป็นสุข

หน้าบ้านไม่ควรมีเศษขยะ เพราะจะทำให้เกิดโรคภัยไข้เจ็บครอบครัวอับโชคลาภ

หน้าบ้านมีต้นไม้ใหญ่ร่มครึ้มและเสาไฟฟ้า จะส่งผลต่อคนในบ้าน มีเหตุให้กระทบต่อสุขภาพจิตและร่างกายทำให้เจ็บไข้ได้ป่วย และอับโชค

ถ้าบริเวณบ้านมีที่เพียงพอ ให้ปลูกต้นไผ่ไว้ในบ้านทั้ง4ทิศ จะทำให้ผู้อยู่อาศัยร่ำรวยทรัพย์สิน เงินทองไหลมาเทมา จะอยู่เย็นเป็นสุข ธุรกิจการค้าเจริญรุ่งเรือง

ควรปลูกต้นสนไว้ทางทิศตะวันตกของบ้าน จะทำให้เจ้าของบ้านมีจิตใจแจ่มใส และมีความอุตสาหะวิริยะ ต่อสู้เพื่อความก้าวหน้า จะเป็นศิริมงคลอย่างยิ่ง

รูปทรงสามเหลี่ยม ถือเป็นลักษณะที่ร้ายมาก หลักของฮวงจุ้ยบอกว่า * อย่าปลูกบ้านในที่สามเหลี่ยมหรือสร้างกำแพงบ้านเป็นรูปสามเหลี่ยม * จะเป็นอัปมงคลคนในครอบครัวจะไม่มีความสุข เกิดโรคภัยไข้เจ็บอยู่เสมอ

ไม่ควรปลูกต้นไม้ใหญ่ไว้กลางลานบ้าน ถือว่าไม่เป็นประโยชน์ต่อคนในครอบครัว จะเป็นเหตุให้มีผลกระทบต่อคนในบ้าน เกี่ยวกับสุขภาพร่างกาย ทำให้เกิดอุบัติเหตุหรือบาดเจ็บได้

ถ้าประตูใหญ่ของบ้านหันหน้าตรงกับสะพานเล็กที่พุ่งเข้ามา คือ สะพานพุ่งชนประตูใหญ่ จะเป็นอัปมงคลควรย้ายสะพานออกจากประตูใหญ่ อย่าให้ตรงกัน

บ้านที่ถูกสะพานลอยพุ่งเข้าชน ถือว่าเป็นอัปมงคล เพราะโดนแรงกระทบและถูกกดข่มอยู่ตลอดเวลา การค้าขายไม่เจริญเท่าที่ควร ได้ทรัพย์มาก็จะจ่ายไป มีการเจ็บไข้ และเกิดอุปสรรคอยู่เสมอ

ถ้ารอบ ๆบ้านมีต้นไม้มีเถาวัลย์รัดรุงรัง จะเป็นอัปมงคล หน้าที่การงานมีอุปสรรค การทำมาหากินไม่เจริญก้าวหน้า จะมีการทะเลาะวิวาทในครอบครัว จงรีบขจัดทิ้ง

บ้านที่อยู่สุดถนนโดยหันหน้าบ้านรับกับซอยที่สุดสายพอดี ที่พักอาศัยลักษณะนี้ไม่เป็นมงคล จิตใจจะร้อนรนไม่เป็นสุข จะมีเรื่องทะเลาะวิวาทกันในครอบครัวเสมอ

ห้องรับแขกอยู่กลางพื้นที่ทั้งหมด ซึ่งเป็นศูนย์กลางของบ้านจะดูปลอดโปร่ง การเคลื่อนไหวสะดวกเพราะเป็นเนื้อที่ของบ้าน การจัดลักษณะนี้เป็นศิรฺมงคลแก่เจ้าของบ้าน

ภายในตัวบ้านด้านบนของทางเดินไม่ควรตกแต่งให้เป็นรูปโค้ง ไม่เหมาะสำหรับที่พักอาศัย ฮวงจุ้ยชี้ว่า ไม่เหมาะสมกับบ้านธรรมดา ควรจะเน้นรูปทรงอื่น ๆดีกว่า

ควรจัดห้องครัวให้อยู่หลังบ้าน ไม่ควรจัดห้องครัวให้อยู่ด้านหน้าของบ้าน เพราะทำให้ไม่เหมาะสมและไม่สวยงาม

บริเวณตรงกลางบ้านเป็นตำแหน่งที่ดีที่สุด เจ้าของบ้านควรใช้ศูนย์กลางของบ้านให้เป็นประโยชน์ เพราะเป็นจุดเด่นที่สุดของบ้าน ไม่ควรให้ห้องนี้เป็นห้องเก็บของหรือปล่อยว่างเอาไว้

การใช้สีทาในห้อง อย่าใช้สีมืดสลัว หรือสีเข้มจนเกินไป สีของเพดานอย่าทาสีเข้ม ควรใช้สีอ่อนสดใส จะเป็นมงคล จะทำให้จิตใจแจ่มใส

ห้องนอนเหมาะที่จะเป็นรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัส ไม่ควรที่เป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า ถ้าตกแต่งห้องนอนเป็นรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัสแล้วจะเป็นศิริมงคล นำโชคมาสู่เจ้าของบ้าน

อย่าวางเตียงนอนให้ตรงกับประตูห้อง เพราะขณะนอนเท้าทั้งสองข้างจะหันไปทางประตู จะเกิดอัปมงคล จะทำให้นอนไม่หลับหรือฝันร้าย ควรจะวางเตียงหลบจากประตูห้อง จึงจะเป็นศิริมงคล

ในห้องโถงของตัวบ้านมีบันไดหมุนวน ถึงแม้จะมีเนื้อที่ อย่าจัดห้องรับแขกไว้ใต้บันไดหมุนวน จะไม่เป็นศิริมงคล ธุรกิจจะล้มเหลว การงานอืดอาดล่าช้า การเจรจาไม่ประสบผล การเงินฝืดเคือง

อย่าจัดเตียงนอนอยู่ใต้บันไดเป็นอันขาดเพราะจะโดนกดทับอับโชคอยู่ตลอดเวลา จะกระทบต่อสุขภาพจิตและร่างกาย ไม่เป็นมงคลอย่างยิ่ง

บางบ้านมีดาดฟ้า โดยเฉพาะเป็นบ้านตึกแถวหลายชั้น บนชั้นสูงสุดจะมีที่โล่ง อย่าตากเสื้อผ้า กางเกง ชุดชั้นในบนดาดฟ้า โชคลาภจะเสื่อมถอยเพราะไม่เป็นศิริมงคล

ห้องนอนเป็นบริเวณที่สงบเงียบ อบอุ่นและสะอาด ไม่หนาวหรือร้อนจนเกินไปอย่าให้แสงแดดในห้องนอนจ้าเกินไป ควรจัดหน้าต่างและมุมห้องให้รับแสงพอดี ด้วยการใช้ผ้าม่านสีเย็นตา

เมื่อมีเทวรูปตั้งไว้ในบ้าน ไม่ใช่มีไว้เพื่อประดับบ้านเท่านั้น การตั้งรูปเทวะแบบเฟอร์นิเจอร์ไม่กราบไหว้บูชา นั้นเป็นอัปมงคล ควรจุดธูปเทียนกราบไหว้จะเป็นศิริมงคลแก่บ้าน

ในบริเวณตัวบ้านหากฝาผนังในบ้านเกิดการแตกร้าว ต้องรีบซ่อมแซม อย่าปล่อยให้ฝาผนังมีรอยแตกร้าวหากขืนปล่อยไว้จะเป็นอัปมงคล

<<
รูปแบบบ้าน และบริเวณบ้านที่เป็นมงคล >>

ชัยภูมิของที่ตั้งสิ่งปลูกสร้างต้องเป็นทำเลที่ประกอบไปด้วยดินดี และเป็นที่ราบเหนือน้ำท่วมขัง ด้านหลังอาจมีเขาหรือเนินดินเป็นชัยภูมิมั่นคง ปีกสองข้างเป็นเนินดินเตี้ย มีลักษณะแผ่เป็นปีกโอบอุ้มไว้ทั้งสองข้าง เหมือนหนึ่งแนวรั้วป้องกันภัย ด้านห้าเป็นที่ราบปลอดโปร่ง แบบนี้เป็นลักษณะแผนภูมิที่จะอำนวยความรุ่งเรืองแก่ผู้อยู่อาศัย

<<
อุปกรณ์สำหรับแก้ฮวงจุ้ย >>

*
น้ำ
การใช้น้ำมีหลายรูปแบบ เช่น ใช้น้ำพุในการแก้ไขกับสถานที่ใหญ่ ๆ อาคารสำนักงาน ตึกสูงใหญ่ โรงแรม คฤหาสน์ ที่ตั้งอยู่ในแนวเป้าของกระแสกระแทกหรือใช้อ่างบรรจุน้ำที่มีรูปทรงสวยงาม มีกอบัวหรือพืชปริ่มน้ำหรือตู้ปลา ตั้งไว้ในตำแหน่งที่ต้องกระทบกับกระแสกาลี
*
แสงสว่าง
ในการแก้ฮวงจุ้ยโดยการใช้แสงสว่างนั้น ควรใช้กับสถานที่ที่เป็นฆาตลบ เช่นบริเวณบ้านที่มีต้นไม้ปกคลุม หรือบ้านหลังใหญ่ไร้ผู้คน ตลอดชัยภูมิที่เป็นสิ่งก่อสร้างที่มืดเกินไปแสงสว่างที่นำมาใช้ จะทำให้ความสมดุลเกิดขึ้นระหว่างความมืดกับความสว่างให้ลงตัวพอดี
*
เสียง
เสียงก่อให้เกิดการมีชีวิต หรือสภาพการเคลื่อนไหว เพราะเสียงเป็นตัวทำลายความเป็นฆาตลบจะทำให้เป็นฆาตบวก ทำให้ความเงียบเกิดการเคลื่อนไหว บ้านที่มีคนอาศัยอยู้น้อยควรเปิดเครื่องเสียง เช่น วิทยุ โทรทัศน์ เพื่อให้บรรยากาศรอบ ๆตื่นตัว มีชีวิตชีวา
*
ตู้ปลา
ตู้ปลาสามารถต้านแรงอัปมงคลมากระทบ เช่น แรงเหวี่ยง กระแสกระแทก โดยนำเอาตู้ปลา วางไว้ในตำแหน่งที่เป็นเป้ากระทบ หรือต้อนรับโชคลาภเข้าสู่บ้านเรือน ก็ใช้ตู้ปลาวางไว้ในตำแหน่งหน้าบ้าน เพราะตำแหน่งหน้าบ้านเป็นปากทางที่เงินทองไหลมา

*
รูปปั้น
รูปปั้นแต่ละชนิดมีความหมายต่างกัน เช่น

+
มังกร หมายถึง อำนาจบารมีที่ยิ่งใหญ่
+
สิงโต หมายถึง บกบอกถึงพลังที่กล้าแข็ง
+
เสือ บอกถึง ความกล้าหาญมีกำลัง
+
ม้า หมายถึง ความก้าวหน้าอย่างไม่มีวันถดถอย
+
ช้าง ชี้ชัดถึงความเป็นจ้าวพลังอันมหาศาล
+
หงส์ แสดงถึงความซื่อสัตย์น่าไว้วางใจและศักดิ์ศรีสูงส่ง
+
นกยูง ชี้ชัดถึงความสวยงามสูงส่งน่านิยม
+
นกกระเรียน บ่งบอกถึงความสุขความเจริญ
+
เต่า อายุยืนยาว ปราศจากโรคภัย
+
กิเลน เป็นเครื่องหมายแห่งความโชคดี
+
เป็ด บอกความเป็นมิตร และจงรักซื่อสัตย์
+
ไก่ฟ้า เน้นความหมายไปในทางโชคลาภนับอนันต์