Showing posts with label technology. Show all posts
Showing posts with label technology. Show all posts

12 วิธีการเพิ่มความเร็วให้ Windows 7 ติดจรวดเข้าไปอีก

สวัสดีครับทุกผู้อ่านทุกท่าน ทางทีมงานขอต้อนรับเดือนใหม่พร้อมกับเทคนิคเล็กๆ น้อยๆ สำหรับเร่งความเร็ว Microsoft Windows 7 ในเครื่องโน้ตบุ๊กตัวเก่งของท่าน ให้ทำงานได้เต็มประสิทธิภาพอยู่เสมอ ซื้อเครื่องคอมพิวเตอร์ดีๆ มาแล้วก็อย่าลืมว่าต้องดูแลโปรแกรมที่ติดตั้งลงไปด้วยนะครับ เครื่องของเราจะได้ทำงานอย่างดีที่สุดเต็มความสามารถ บางท่านปรับแต่งเก่งๆ อาจจะทำให้เร็วเกินร้อยเลยก็ได้ โม้มามากแล้ว ลองมาดู 12 วิธีการง่ายๆ กันดีกว่าครับ

1. ลบพวก Bloatware และโปรแกรมที่ไม่ใช้ออกจากเครื่อง
อย่างแรกต้องบอกกันก่อนว่า Bloatware คืออะไร Bloatware เป็นคำนามในภาษาอังกฤษครับ หมายถึง โปรแกรมที่เขียนออกมาใช้ทรัพยากรมากเกินไป หรือจงใจทำให้เครื่องทำงานหนักเกินเหตุ เครื่องของเราก็จะเกิดอาการหน่วงลงไปอย่างเห็นได้ชัด ดังนั้น เวลาที่เราติดตั้งโปรแกรมอะไรต่างๆ ควรจะระวังพวก Toolbar ที่ติดมาด้วย นอกจากนั้นโปรแกรมที่เราไม่ได้ใช้งานแล้วก็ควรจะลบออกด้วยครับ คงไม่มีใครอยากให้โปรแกรมเปิดพร้อมกันเยอะๆ ทีเดียวเวลาที่เราบูตเครื่องใช่ไหมครับ เพราะมันจะทำให้การเปิดเครื่องเป็นเรื่องน่าเบื่อและเสียเวลา วิธีแก้ไขเบื้องต้นก็เข้าไปลบโปรแกรมพวกนั้นออกไปตามปกติ โดยเข้าไปที่ Control Panel -> Programs and Features และเรายังสามารถเข้าไปดูในส่วนของ “Turn Windows Features On or Off” เพิ่มเติม เพื่อลบความสามารถทีคุณไม่ได้ใช้งานออกจากระบบ หรือจะลองใช้โปรแกรมช่วยติดตั้งอย่าง Revo Uninstaller หรือ PCDecrapifier เพื่อช่วยในการลบโปรแกรมที่มักทิ้งขยะไว้ในเครื่องหลังติดตั้งก็ได้

2. จำกัดจำนวน Process ที่จะเริ่มทำงานเวลาเปิดเครื่อง
เมื่อเราลงโปรแกรมเพิ่มเข้าไป ก็มีโอกาสที่จะมีโปรแกรมถูกสั่งให้เปิดขึ้นมาพร้อมกับ Windows ซึ่งโปรแกรมนั้นอาจจะจำเป็นหรือไม่จำเป็นก็ได้ สำหรับจะดูว่ามีอะไรสั่งให้ถูกโหลด ก็แค่ใช้เครื่องมือพื้นฐานที่ติดตั้งมากับ Windows แล้วครับ แค่เพียงกด Start Menu ขึ้นมาและพิมพ์ว่า MSCONFIG และกดเปิด จากนั้นจะมีหน้าต่างเปิดขึ้นมาใหม่ ให้เข้าไปที่หัวข้อ Start Up เราจะเห็นรายชื่อว่ามีโปรแกรมอะไรที่จะถูกโหลดขึ้นมาเวลาที่เราเปิดเครื่อง ซึ่งเชื่อได้เลยว่าหลายตัวไม่ได้มีประโยชน์อะไรกับคุณนักหนาเลยเช่น GoogleUpdate หรือ GrooveMonitor Utility ของพวกนี้ส่วนใหญ่เราสามารถยกเลิกได้โดยไม่มีผลกระทบอะไรกับเครื่อง แค่อย่าไปปิดส่วนสำคัญๆ เข้าก็พอ แต่ถ้าไม่แน่ใจว่า Process ตัวไหนใช้ทำอะไร ลองเข้าไปหาดูได้ที่ http://www.processlibrary.com/

3. เพิ่มแรมให้เหมาะสมกับโปรแกรมที่ใช้เป็นประจำ
ถึง Windows 7 จะไม่ได้กินทรัพยากรของเครื่องจนน่าตกใจแบบบรรพบุรุษที่ชื่อ Windows Vista (ยังมีใครจำได้ไหมเนี่ย ว่าเรามี Windows Vista อยู่บนโลก) แต่ถ้าคุณอัพเกรดมาจากเครื่องที่ใช้ Windows XP ล่ะก็ ขอให้มั่นใจว่ามีแรมอย่างน้อยๆ สัก 2 GB ติดอยู่กับเครื่อง ถ้าจะใส่ 4 GB ก็ไม่ใช่ปัญหาครับ ถ้าหาไดรเวอร์แบบ 64 บิต ให้อุปกรณ์ได้ทุกตัว แต่การติดมากกว่านั้นยังไม่จำเป็นเท่าไรหรอกครับ ถ้าวันๆ ใช้เครื่องเป็นแค่เล่น Facebook อะนะ

4. เปิดระบบ Index หรือ Windows Search ของ Windows
ไม่ว่าจะเป็น Windows XP หรือ Windows Vista จนกระทั่ง Windows 7 ในปัจจุบัน ระบบการทำ Index ของ Windows ที่ออกแบบมาเพื่อทำตัวระบุตำแหน่ง อาจจะส่วนให้การค้นหาไฟล์ต่างๆ ทำได้รวดเร็วขึ้น แต่หลายฝ่ายก็ยอมรับว่าเป็นระบบที่ใช้ทรัพยากรเครื่องเยอะมาก ถ้าหากต้องการค้นหาไฟล์ที่รวดเร็ว ขอแนะนำให้ใช้โปรแกรมเล็กๆ อย่าง Everything ซึ่งไม่เสียค่าใช้จ่าย เป็นโปรแกรมที่สามารถค้นหาไฟล์จากในเครื่องได้รวดเร็วมากจนคุณจะตกใจ สำหรับวิธีการปิดคำสั่ง Index ให้เข้าไปใน Control Panel -> Indexing Options เมื่อเปิดเข้าไปให้เลือก Modify เราจะเห็นตำแหน่งของไฟล์หรือสถานที่ที่จะ Index ถ้าใครอยากจะเก็บบางออฟชั่นไว้ก็ได้ หรือถ้าใครอยากจะได้ความเร็วแบบเต็มๆ เข้าไปที่ Control Panel -> Administrative Tools -> Services จากนั้นให้มองหา Windows Search จากนั้นสั่ง Diable ซะ

5. จัดเรียงข้อมูลในฮาร์ดดิสก์อยู่เสมอเพื่อประสิทธิภาพ
ขนาดของฮาร์ดดิสก์เราใหญ่โตขึ้นทุกวัน ทำให้เราสามารถเก็บข้อมูลได้เยอะแยะมากมาย แต่ไม่ว่าจะเล็กหรือใหญ่ หลักการทำงานของฮาร์ดดิสก์ยังคงเดิม ไฟล์ใหญ่ๆ ของคุณสามารถแตกออกเป็นส่วนๆ และกระจัดกระจายไปตามตำแหน่งต่างๆ ของฮาร์ดดิสก์ หัวอ่านจึงต้องทำหน้าที่หนักในการที่จะค้นหาไฟล์ให้ครบ วิธีการดูแลรักษาฮาร์ดดิสก์ให้เต็มประสิทธิภาพที่สุดก็คือ การจัดเรียงข้อมูลในฮาร์ดดิสก์ (Defragment) Windows 7 มีตัวโปรแกรมสำหรับทำงานนี้มาให้แล้ว และสามารถตั้งเวลาในการทำงานได้ด้วยครับ ถ้าคุณอยากจะดูแลหลายๆ เครื่องพร้อมกันหลังเลิกงาน หรือว่าทำร้านเน็ต แค่พิมพ์ Defrag ในช่องค้นหา ก็จะเจอโปรแกรม Disk Defragmenter โปรแกรมในรุ่นนี้ได้รับการอัพเดตเพิ่มขึ้นมากจากรุ่นก่อน หรือถ้าอยากได้โปรแกรมที่เน้นการจัดการด้านนี้โดยเฉพาะ ก็สามารถทดลองพวก O&O Defrag หรือ Diskeeper ได้ครับ โปรแกรมพวกนี้จะสามารถจัดเรียงข้อมูลได้หลายแบบมากกว่า

6. ปรับ Power Setting เป็น High Performance
ถ้าคุณผู้อ่านอยากประหยัดไฟจากแบตเตอรี่ก็อย่าใช้โหมดนี้นะครับ แต่ถ้าคุณเสียบสายตรงและอยากได้ประสิทธิภาพแบบเต็มไม่ต้องกลัวโดนกั้กก็เอา เลย แค่เปิดเข้า Control Panel -> Power Options จากนั้นมองหาที่แถบคำสั่งด้านซ้ายและเลือก “Create a Power Option” จากนั้นเลือก “High Performance” จากนั้นปรับแต่งให้เข้ากับการใช้งานของคุณครับ เครื่องของคุณจะไม่โดนลดความเร็วลงแล้วครับ

7. ลบไฟล์ขยะออกไปจากเครื่อง
ถ้าเอาแบบโปรแกรมพื้นๆ ให้กด Start menu -> All Program -> Accessories -> System Tools -> Disk Cleanup จากนั้นคุณจะเห็นไฟล์ขยะและไฟล์สำรองที่ตกค้างอยู่ในเครื่องของเรา บางคนอาจจะเป็น GB กันเลยทีเดียว ก็จัดการเก็บกวาดให้เรียบร้อยครับ หรือถ้าอยากได้โปรแกรมที่ดีกว่านั้น ก็ลองใช้ CCleaner ยอดฮิตได้ครับ ไม่เสียค่าใช้จ่าย และสามารถเก็บกวาด Registry ที่ไม่จำเป็นออก รวมทั้งเปิดปิด Process ตอนบูตได้เหมือน MSCONFIG ด้วยครับ

8. หมั่นตรวจเช็คไวรัสและสปายแวร์ในเครื่อง
Windows 7 ได้ติดตั้ง Windows Defender มาให้ด้วยแล้วพร้อมกับระบบ ซึ่งสามารถช่วยด้านความปลอดภัยในระดับหนึ่ง แต่ถ้าใครอยากจะได้โปรแกรมที่มีระบบป้องกันหนาแน่นกว่านี้ ก็สามารถลองหาได้จากอินเตอร์เน็ตได้เยอะแยะหลายเจ้า ไม่ว่าจะฟรีหรือไม่ฟรี หรือจะลองอ่านไกด์เกี่ยวกับ Antivirus ในเว็บของเราก็ได้ครับ แต่ค่อยๆ ทดลองใช้ดูเองดีที่สุด แต่วิธีที่ปลอดภัยจริงๆ ก็คืออย่าไปเล่นในเว็บเสี่ยงๆ

9. ถ้ามีปัญหาลองใช้ Performance Troubleshooter
ถ้าคุณผู้อ่านอยากจะลองเช็คดูว่าในเครื่องของเรามีปัญหาอะไรหรือไม่ให้ลอง เข้าไปใน Control Panel -> Troubleshooter -> System and Security จะมีคำสั่ง “Check for Performance Issues” เมื่อกดเข้าไปจะมีหน้าต่างสำหรับค้นหาและตรวจสอบปัญหาในเครื่องของคุณ รวมทั้งแนะนำวิธีการแก้เบื้องต้นด้วยครับ

10. ปิด Desktop Gadgets
Windows 7 ได้เปลี่ยนหน้าตาของ Sidebar ให้กลายเป็น Gadget ลอยๆ บนหน้า Desktop แต่ถึงคุณจะไม่เปิดขึ้นมา มันก็ยังแอบทำงานอยู่ดี วิธีการปิดง่ายๆ ให้พิมพ์ “Gadget” ในช่องที่ Start Menu จากนั้นจะมีให้เลือก “View List of Running Gadgets” จากนั้นปิด Gadget ตัวที่ไม่จำเป็นต้องใช้ และคุณอยู่ได้โดยชีวิตไม่เดือดร้อน

11. เลือก Wallpaper เป็นสีธรรมดาๆ
ถ้าคุณต้องการประสิทธิภาพแบบเต็มๆ จริงๆ คลิกขวาที่หน้าจอว่างๆ แล้วเลือก Personalize จากนั้นเปลี่ยนจากภาพเป็นสีพื้นๆ ซะ แต่สีที่ดีที่สุดจริงๆ ก็คือ สีดำ ครับ เพราะจอไม่ต้องใช้พลังงานส่องแสงออกมา

12. ปิด Aero ให้รู้แล้วรู้รอดไปเลย
จากสูงสุดคืนสู่สามัญครับ Aero อาจจะทำให้คุณรู้สึกว่าเข้าสู่อารยธรรมสมัยใหม่ แต่มันก็ไม่ใช่สิ่งที่ขาดไม่ได้สำหรับการใช้งานคอมพิวเตอร์ ถ้าคุณอยากจะปิดมันไปให้ เข้าไปที่ Control Panel -> Performance Information and Tools -> Adjust Visual Effects จากนั้นก็ปิดทุกอย่างที่คุณไม่ต้องการลง ยินดีด้วยครับ
credit  wee3250 palungjit.com

Paper แอพจากไอเดียแท็บเล็ต Courier อีกตัว

นอก จากแอพฯ Taposé ที่มีแนวคิดจากโครงการแท็บเล็ตสองหน้าจอ Courier ที่ถูกยุบโครงการไปเมื่อหลายปีก่อนแล้ว ก็ยังมีแอพฯ บน iPad แนวเดียวกันที่ชื่อ Paper เช่นกัน

Paper เป็นของบริษัท FiftyThree ได้รับการพัฒนาโดยอดีตผู้บริหารไมโครซอฟท์ที่เคยทำงานโครงการ Courier และอดีตพนักงานไมโครซอฟท์อีกหลายคน ใครสนใจสามารถดาวน์โหลดไปทดลองใช้ได้ฟรี นอกจากนั้นผู้ใช้สามารถซื้อเครื่องมือเสริมจากในแอพฯ โดยตรง (in-app purchase) ในราคา 1.99 ดอลลาร์ (ราว 60 บาท) ต่อรายการ ลองดูคลิปนำเสนอแอพฯ ได้ที่ท้ายข่าว

Instagram สำหรับ Android แอพแชร์ภาพถ่ายสุดฮ๊อต! เปิดให้แล้วโหลดแล้ว อย่างเป็นทางการ !!

Instagram สำหรับ Android แอพแชร์ภาพถ่ายสุดฮ๊อต! เปิดให้แล้วโหลดแล้ว อย่างเป็นทางการ !!





หลัง จากที่มกันแต่ข่าวลือ และรอกันมานาน จนบัดนี้ผมได้รับอีเมลแจ้งข่าวมาว่า Instagram แอพถ่ายภาพและแชร์ภาพถ่ายที่ยอดนิยมบน iPhone ได้เปิดให้ดาวน์โหลดเวอร์ชั้นสำหรับ Android แบบเป็นทางการแล้วครับ !!

Instagram สำหรับ Android นั้นมีฟีเจอร์พื้นฐานครบเหมือนในเวอร์ชั่นของ iOS ครับ นั่นคือสามารถถ่ายภาพ เลือกฟิลเตอร์ที่ต้องการ และแชร์ไปให้เพื่อนที่ติดตามเราได้ชมและแลกเปลี่ยนกันได้ // คนมีโทรศัพท์แอนดรอยด์ห้ามพลาดเด็ดขาดครับ ฟรี ! สามารถดาวน์โหลดได้ผ่าน Google Play (Market)







ขอบคุณ...9tana
Ensogo เล็งสร้างเกมเฟซบุ๊ก นำคะแนนไปซื้อดีลได้!



แรง ดีไม่มีตกสำหรับธุรกิจซื้อขายดีลส่วนลดรายวันหรือ Daily Deal ล่าสุดยักษ์ใหญ่ในวงการอย่าง"เอ็นโซโก้ (Ensogo)"ตั้งเป้ารายได้-ยอดขาย-พันธมิตร-ลูกค้าจะเพิ่มขึ้นเท่าตัวในปีนี้ มั่นใจแผนลุยทำตลาดบนเครือข่ายสังคมและแอปพลิเคชันบนสมาร์ทโฟนจะทำให้ฝัน เป็นจริง แย้มกำลังเตรียมสร้างเกมบนเฟซบุ๊กเพื่อให้ผู้เล่นนำคะแนนไปซื้อดีลได้
    
       ทอม ศรีวรกุล ประธานเจ้าหน้าที่ และผู้ร่วมก่อตั้งเว็บไซต์เอ็นโซโก้ บริษัทในเครือลีฟวิ่งโซเชียล เปิดเผยเรื่องนี้ต่อสื่อมวลชนระหว่างการให้รายละเอียดการวิจัยตลาดดีลรายวัน โดยเอซีนีลเซนในประเทศไทย ซึ่งพบว่าคนไทยจดจำแบรนด์เอ็นโซโก้ได้มากที่สุด ทำให้มีความมั่นใจว่าปีนี้ตลาดของบริษัทจะเติบโตมากกว่าเท่าตัว
    
       "ยอด สมาชิกเรา 1 ล้านคนคาดว่าจะเพิ่มเป็น 2 ล้านคน จำนวนพันธมิตรร้านค้า 3,000 รายคาดว่าจะเพิ่มเป็น 6,000 ราย เราหวังให้ทุกอย่างเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัวในปีนี้"
    
       Ensogo.com นั้นเป็นเว็บไซต์อีคอมเมิร์ชที่ไม่ได้ขายสินค้าเอง แต่จำหน่ายคูปองโปรโมชั่นลดราคาพิเศษสำหรับสินค้า บริการ ท่องเที่ยว และร้านอาหาร โดยวางหมากดึงดูดนักชอปด้วยกรอบเวลาที่บีบให้ต้องตัดสินใจซื้อภายในช่วงเวลา จำกัด (เช่น 24 หรือ 72 ชั่วโมง) ตามแบบฉบับของเว็บไซต์ดีลรายวันที่ได้รับความนิยมมากในต่างประเทศ เพราะลูกค้าจะได้เลือกโปรโมชั่นที่พึงพอใจ และร้านค้าได้โปรโมทร้านโดยไม่ต้องลงทุนสูงเพื่อลงโฆษณา ขณะที่ตัวกลางอย่างเอ็นโซโก้ก็จะได้รับส่วนแบ่งจากการขายคูปอง
    
       การ สำรวจพบว่าผู้ซื้อดีลรายวัลในประเทศไทยส่วนใหญ่ยังซื้อผ่านคอมพิวเตอร์โน้ต บุ๊กและคอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะ เอ็นโซโก้จึงวางกลยุทธ์เพื่อผลักดันกลุ่มผู้ใช้บนสมาร์ทโฟนและแท็บเล็ตให้ เติบโต หนึ่งในแผนที่เอ็นโซโก้วางไว้คือการพัฒนาแอปพลิเคชันเพื่อให้ผู้ใช้สมาร์ท โฟนและแท็บเล็ตสามารถเปิดชมรายละเอียดดีลได้จากทุกที่ทุกเวลา
    
       "ตอน นี้แอปสร้างเสร็จแล้วแต่กำลังอยู่ระหว่างคุยกับโอเปอเรเตอร์ว่าจะผูกกับระบบ Mobile Payment ให้สามารถซื้อขายดีลได้เลยบนสมาร์ทโฟน แต่ถ้าไม่พร้อมก็จะออกเป็นแอปที่ให้ผู้ใช้เลือกชมดีลแบบอิงตามสถานที่ได้ ก่อนในเฟสแรก คาดว่าจะเกิดขึ้นช่วงปลายเดือนเมษายนนี้"
ที่ น่าสนใจคือ เอ็นโซโก้กำลังพัฒนาเกมเพื่อเจาะตลาดผู้ใช้เฟซบุ๊กในประเทศไทยที่มีจำนวน มากกว่า 12 ล้านคนในขณะนี้ โดยระบุว่ากำลังอยู่ระหว่างเตรียมการสร้างระบบเพื่อให้ผู้ใช้สามารถแลกแต้ม เป็นเงินในการซื้อดีลได้ ทั้งหมดอยู่บนงบประมาณการตลาดปีนี้ 100 ล้านบาท (คงที่จากปีที่ผ่านมา)
     
       ยอดสมาชิกผู้ใช้งาน ณ ปัจจุบันของเอ็นโซโก้คือ 1.14 ล้านคน คิดเป็นสัดส่วนเติบโต 1,000% นับตั้งแต่เปิดให้บริการในเดือนมิถุนายน 2010 จุดนี้ทอมเชื่อว่าตลาดของเอ็นโซโก้จะเติบโตยิ่งขึ้นอีกด้วยกลยุทธ์เพิ่ม มูลค่าให้ดีลที่วางไว้ เช่น การจำหน่ายสินค้าพิเศษเฉพาะเอ็นโซโก้ (Exclusive) การสร้างประสบการณ์ให้ผู้ใช้ด้วยการดึงเซเลบฯผู้มีชื่อเสียงเข้าร่วมในดีล ทั้งหมดนี้คนไทยจะได้เห็นในช่วงปีนี้
     
       การสำรวจ ธุรกิจ ดีลรายวันของนีลเซนดำเนินการโดยนำคนไทย 1,000 คนซึ่งเคยซื้อสินค้าออนไลน์ในรอบ 6 เดือน โดยพบว่าในกลุ่มร้านอาหาร คนไทยมีความสนใจดีลร้านอาหารญี่ปุ่นมากที่สุด รองลงมาคือบุฟเฟต์ในโรงแรมและไอศกรีม ขณะที่กลุ่มท่องเที่ยว คนไทยให้ความสนใจส่วนลดโรงแรมมากที่สุด รองลงมาคือแพคเก็จทัวร์และส่วนลดเที่ยวบิน
     
       "ตลาด อีคอมเมิร์ชประเทศไทยจะเติบโตอย่างชัดเจนในปีนี้ หนึ่งในสัญญาณนั้นคือทุนมูลค่ามากกว่า 100 ล้านดอลลาร์กำลังจะเข้ามาในประเทศไทย เรื่องนี้ถูกพูดถึงในงาน Forum ประชุมผู้ประกอบการอุตสาหกรรมอีคอมเมิร์ชเอเชีย บริษัทนั้นชื่อว่า Rocket Internet อีคอมเมิร์ชรายใหญ่จากเยอรมนี"
     
       แม้ จะไม่มีการประกาศจาก Rocket Internet อย่างเป็นทางการ แต่คำพูดของผู้บริหารเอ็นโซโก้นั้นมีน้ำหนัก เพราะ Rocket Internet นั้นเริ่มลงทุนเปิดเว็บไซต์จำหน่ายสินค้าออนไลน์ในมาเลเซียและสิงคโปร์ ตั้งแต่เดือนธันวาคมปีที่แล้ว และล่าสุดคืออินโดนีเซียในเดือนมกราคมที่ผ่านมา
     
       Company Related Link :
       Ensogo

ขอบคุณ
ผู้จัดการออนไลน์

กสทช.เริ่มแล้ว คุมเก็บค่าโทรมือถือนาทีละ 99 สตางค์



เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม


          กสทช. ประกาศบังคับใช้เก็บค่าโทรมือถือนาทีละไม่เกิน 99 สตางค์ เปิดช่องให้เอกชนเก็บค่าโทรเกินอัตราถึง 31 ธันวาคม 2555 นี้

          เมื่อวันที่ 3 เมษายน คณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) ประกาศ ให้ผู้ให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ประเภทเสียงภายในประเทศ เก็บค่าโทรศัพท์จากผู้ใช้บริการได้ในอัตรานาทีละไม่เกิน 99 สตางค์ ซึ่งมีผลบังคับใช้แล้ววานนี้ (3 เมษายน)

          โดยสาระสำคัญของประกาศฉบับดังกล่าว คือ การกำหนดให้ผู้รับใบอนุญาตประกอบกิจการโทรคมนาคม แบบที่สาม และให้หมายรวมถึงผู้ได้รับอนุญาต สัมปทาน หรือสัญญาให้ประกอบกิจการโทรคมนาคมจากบริษัท ทีโอที จำกัด (มหาชน) หรือบริษัท กสท โทรคมนาคม จำกัด (มหาชน) คิดค่าบริการแก่ผู้ใช้บริการไม่เกินอัตรา 99 สตางค์ต่อนาที

          ทั้งนี้ หากผู้รับใบอนุญาตที่กำหนดอัตราค่าบริการเกินกว่าอัตราขั้นสูงของค่าบริการ ที่กำหนด สามารถเรียกเก็บค่าบริการตามสัญญาที่ได้ทำไว้กับผู้ใช้บริการนั้นต่อไปจน กว่าสัญญาจะสิ้นสุดลง แต่ทั้งนี้ต้องไม่เกินวันที่ 31 ธันวาคม 2555 และห้ามมิให้ผู้รับใบอนุญาตทำการขยายระยะเวลาของสัญญาหรือรายการส่งเสริมการขายที่มีอยู่ก่อนวันที่ประกาศฉบับนี้ใช้บังคับ

          นอกจากนี้ หากผู้ให้บริการรายใดจะเปลี่ยนแปลงอัตราค่าบริการที่เกินกว่าอัตราขั้นสูง ของค่าบริการที่กำหนด ให้ผู้รับใบอนุญาตรายนั้นยื่นคำขออนุญาต พร้อมเอกสารและหลักฐานประกอบการพิจารณา เพื่อให้ กสทช.พิจารณาเห็นชอบเสียก่อน และหากผู้ให้บริการจะเรียกเก็บค่าบริการอัตราค่าบริการใหม่ จะต้องแจ้งให้ผู้ใช้บริการทราบเป็นการทั่วไปล่วงหน้าไม่น้อยกว่า 30 วัน ตามเงื่อนไขหรือวิธีการที่คณะกรรมการกำหนด



อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมจาก

SAMSUNG กำลังพัฒนาจอ AMOLED ความหนาแน่นพิกเซล 250+ PPI เพื่อใช้กับ SMARTPHONE หลากหลายรุ่นในอนาคต

credit karnoi bloggang

Samsung กำลังพัฒนาจอ AMOLED ความหนาแน่นพิกเซล 250+ ppi เพื่อใช้กับ Smartphone หลากหลายรุ่นในอนาคต international update hot update
Samsung ถือเป็นดาวเด่นในอุตสาหกรรมการผลิตจอ AMOLED บางส่วนถูกนำมาใช้เป็นส่วนประกอบใน Smartphone รุ่นโด่งดังอย่าง Galaxy S, Galaxy S II, Galaxy Note, Galaxy Nexus หรือ Galaxy Tab 7.7 เป็นต้น เบาะแสล่าสุดชี้ว่า Samsung กำลังพัฒนาอุปกรณ์ที่มาพร้อมกับจอ AMOLED ความหนาแน่นพิกเซลระดับ 250+ ppi
Digitimes รายงาน ว่า Samsung กำลังทำการพัฒนาจอ AMOLED ให้มีความหนาแน่นพิกเซลมากถึง 250 ppi ขึ้นไปเพื่อใช้เป็นส่วนประกอบในการผลิต Smartphone หลากหลายรุ่นพร้อมวางจำหน่ายในอนาคต แม้ว่ารุ่นที่ขายในปัจจุบันอย่าง Galaxy Note, Galaxy Nexus ใช้จอ AMOLED ที่มีความหนาแน่นพิกเซล 285 ppi และ 316 ppi ตามลำดับ แต่การเรียงพิกเซลของจอยังเป็นแบบ Pentile Matrix ซึ่งให้ภาพที่ละเอียดน้อยกว่าการเรียงพิกเซลแบบ RGB Matrix อย่างปกติ การพัฒนานี้คาดว่าจะมีผลกับ Galaxy S III ซึ่งเราต่างคาดการณ์ว่ามันจะเป็นรุ่นแรกที่ใช้จอ AMOLED ซึ่งมีการเรียงพิกเซลแบบ RGB Matrix (Super AMOLED Plus) ระดับ HD ความหนาแน่นพิกเซล 250 ppi ขึ้นไป ส่วนข่าวลือที่ว่า Samsung กำลังซุ่มผลิต Galaxy Tab 11.6 หากมันใช้จอ AMOLED 250+ ppi ดังที่กล่าวไปนี้ คาดว่าต้องใช้จอที่มีความละเอียดมากถึง 2560 x 1440 พิกเซล 253 ppi เลยทีเดียว (จอ The New iPad 2048 x 1536 พิกเซล 264 ppi)Samsung กำลังพัฒนาจอ AMOLED ความหนาแน่นพิกเซล 250+ ppi เพื่อใช้กับ Smartphone หลากหลายรุ่นในอนาคต international update hot update
ใน ส่วนของอุตสาหกรรมการผลิตจอ AMOLED ถือว่ากำลังเติบโตขึ้นขึ้นอย่างช้าๆ จากจอที่ใช้แค่ใน Smartphone ก็กำลังก้าวข้ามไปสู่ผลิตภัณฑ์อื่นเช่น Tablet หรือโทรทัศน์ ผู้ผลิตอย่าง AUO, CMU, Wintek, Visionox, Tianma และ Irico มุ่งสายการผลิตไปที่จอ OLED มากขึ้น ผู้ผลิต Touch Panel อย่าง CPT, HannStar และ Sintek สนใจที่จะมุ่งผลิต Touch Panel ที่รองรับกับจอ AMOLED โดยเฉพาะเช่นกัน ไม่แน่ว่าในอนาคตเราอาจจะได้เห็นจอ AMOLED เป็นเทรนด์หลักเข้ามาแทนที่จอ LCD ก็อาจเป็นไปได้
Samsung กำลังพัฒนาจอ AMOLED ความหนาแน่นพิกเซล 250+ ppi เพื่อใช้กับ Smartphone หลากหลายรุ่นในอนาคต international update hot update
ที่มา: PhoneArena
LCD vs AMOLED vs Super AMOLED 

Consumer Reports บอกปัญหาไม่ชาร์จ-เครื่องร้อนเรื่องเล็ก เพราะ iPad ใหม่สุดยอดจริง ๆ

Consumer Reports นิตยสารให้ความรู้และรีวิวสินค้าต่าง ๆ ในสหรัฐฯ ที่เคยออกมาเตือนปัญหาของสินค้าต่าง ๆ ตั้งแต่เรื่อง Death Grip ของ iPhone 4 จนถึงล่าสุดเรื่องปัญหาความร้อนและแบตเตอรี่ของ iPad ใหม่ ตอนนี้พวกเขาได้ออกมาประกาศอีกครั้งว่าปัญหาเหล่านี้เรื่องเล็กมาก เมื่อเทียบสเปคและการใช้งานกับแท็บเล็ตอื่น ๆ ในตลาด

จากรีวิวทดสอบ การใช้งาน iPad ใหม่โดยทั่วไปของ Consumer Reports พบว่าปัญหาที่ iPad ไม่ยอมชาร์จแบตเตอรี่เนื่องจากความร้อนของเครื่องสูงเกินไปจะเกิดเฉพาะช่วง ที่มีการเล่นเกมที่ใช้ทรัพยากรสูงนาน ๆ ในขณะที่เปิดแสงสว่างหน้าจอสูงสุดเท่านั้น และจากการใช้งานทั่วไปปัญหาดังกล่าวจะพบได้ยากมาก

นอกจากนี้ พวกเขายังบอกว่าปัญหาที่แย่ที่สุดของ iPad ใหม่นี้คือการที่มีหน้าจอความละเอียดสูงเกินไป ทำให้การขยายเนื้อหาที่ไม่ได้ผลิตมาสำหรับหน้าจอความละเอียดสูงออกมาไม่น่า ดูเท่าที่ควร เช่น ตัวหนังสือจาก e-magazine ทั้งหลาย

เฟซบุ๊กจ้องครอบครองคำว่า"book"


  • เว็บไซต์ ของซีเน็ตรายงานว่า นอกจากผู้บริโภคที่กำลังกระตือรือร้นในการปกป้องสิทธิส่วนบุคคลของตนแล้ว ภาคธุรกิจอย่างเว็บไซต์โซเชียลมีเดียชื่อดังอย่างเฟซบุ๊กก็กำลังมุ่งมั่นปก ป้องแบรนด์ โลโก้ เครื่องหมายการค้าของตัวเองไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน

ทั้ง นี้จากรายละเอียดในเงื่อนไขเกี่ยวกับเรื่องสิทธิและความรับผิดชอบที่ เฟซบุ๊กลงประกาศเอาไว้นั้น ล่าสุดระบุว่าสมาชิกใหม่ของเฟซบุ๊กจะไม่สามารถนำคำว่า  “book” ไปใช้งานได้

และหากที่สุดเงื่อนไขดังกล่าวได้รับการเห็นชอบ ผู้ใช้เฟซบุ๊กจะต้องยินยอมที่จะไม่ใช้คำว่า “book” ในการล็อกอินเพื่อเข้าใช้บริการ

ทั้ง นี้ คำว่า “book” ได้ถูกนำไปบรรจุในบัญชีคำต้องห้ามล่าสุด จากในเงื่อนไขปัจจุบัน ผู้ใช้เฟซบุ๊กจำเป็นต้องยอมรับในเงื่อนไข  ห้ามใช้คำที่เป็นลิขสิทธิ์และเครื่องหมาย การค้าของเฟซบุ๊ก อันประกอบด้วยคำว่า Face­book, the Facebook และ F Logos, FB, Face, Poke, Wall และ 32665 (หมายเลขที่ผู้ใช้ในอเมริกาสามารถใช้เพื่ออัพเดทสเตตัสบนเฟซบุ๊กผ่าน โทรศัพท์มือถือ) โดยไม่ได้รับอนุญาต

โดยในเงื่อนไขใหม่ เฟซบุ๊กบรรจุคำว่า book  ลงไปในบัญชีคำต้องห้าม  ขณะเดียวกัน ก็ถอนเลขหมาย 32665 ออกจากบัญชี



ปัจจุบัน เฟซบุ๊กจดลิขสิทธิ์เครื่องหมาย การค้าไว้ในสหรัฐอเมริกาทั้งสิ้น 73 ชื่อ ซึ่งมีตั้งแต่  Facebook,  like,  F,  Face, FB, F8,  Wall,  Facebook  for  Good,  Friend feed เป็นต้น

ด้านหนังสือพิมพ์ลอสแอนเจ ลิสไทม์ รายงานว่า เฟซบุ๊กต้องต่อสู้อย่างมากที่จะได้รับการคุ้มครองสิทธิคำว่า  Face  แต่สำหรับคำว่า  book นั้น  น่าจะไม่ใช่เรื่องง่าย  เพราะก่อนหน้านี้เคยมีบริษัทที่ใช้ชื่อว่า  my EworkBook  พยายามจะขอจดลิขสิทธิ์คำว่า  book เช่นกัน แต่ที่สุดก็เพิ่งถอนคำขออนุญาตไป หลังบอร์ดคณะกรรมการเครื่องหมายการค้าไม่มีท่าทีตอบรับว่าจะให้จดทะเบียน.


ที่มา นสพ ไทยรัฐ

[News] สิ้นสุดการรอคอย สาวกแอนดรอยได้ใช้ Instagram

[News] สิ้นสุดการรอคอย สาวกแอนดรอยได้ใช้ Instagram
credit iFreeZero bloggang


เป็น ข่าวมานานสำหรับแอพถ่ายภาพที่โด่งดังจนติดอันดับท็อปชาร์ตของแอพยอดนิยมบน iOS ที่แว่วมาว่าจะถูกจับมาลงบนแพลตฟอร์มแอนดรอย หลังจากที่พัฒนามานานตอนนี้ Instagram เปิดให้สาวกแอนดรอยได้ใช้งานกันแล้ว!!
หลัง จากที่เป็นแอพเฉพาะผู้ที่ใช้ iOS มานานแสนน่า Instagram ก็เริ่มมองเห็นตลาดของฝั่งผู้ใช้งานแอนดรอยที่มีจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ จึงได้เริ่มพัฒนาให้แอพของตนนั้นสามารถที่จะมาใช้งานบนสมาร์ทโฟนที่ใช้ระบบ ปฏิบัติการแอนดรอยได้ด้วย โดยล่าสุดตอนนี้ผู้ใช้งานแอนดรอยสามารถเข้าไปดาวน์โหลดแอพ Instagram มาใช้งานผ่าน Google Play (Market เดิม) ได้แล้ว สำหรับใครที่่ค้นหาใน Google Play ไม่เจอ ซึ่งผมก็เป็นหนึ่งในนั้น สามารถเข้าไปดาวน์โหลดได้ตามลิงค์นี้ครับ https://play.google.com/store/apps/details?id=com.instagram.android&feature=search_result#?t=W251bGwsMSwxLDEsImNvbS5pbnN0YWdyYW0uYW5kcm9pZCJd
ก่อน หน้านี้ไม่นานนักทางทีมพัฒนาได้เปิดเผยข้อมูลอย่างน่าสนใจว่า Instagram บนแอนดรอยนั้นจะได้รับการพัฒนาให้ออกมาแตกต่างจากบน iOS พร้อมด้วยฟังก์ชันใหม่ๆ ที่อาจจะทำให้ผู้ใช้ iOS ได้อิจฉากันเลยทีเดียว ซึ่งจะเป็นอย่างไรบ้าง ไปดูกัน
สำหรับ Instagram บนแอนดรอยนี้จะมีหน้าตาที่คล้ายกับเวอร์ชันบน iOS คือมีแบ่งเป็น 5 ส่วน คือ Home, Popular, Camera, News และ Profile ซึ่งส่วนที่หลายๆ คนสนใจมากที่สุดคงอยู่ที่ Camera และการเรียกใช้ Filter ต่างๆ สำหรับการตกต่างภาพซึ่งก็มีความสามารถไม่ได้ต่างจากบน iOS เลย
สิ่ง ที่แตกต่างไปจากเวอร์ชัน iOS ก็คือความสามารถบางส่วนที่ถูกเพิ่มและลดเช่นในส่วนของ Filter จะไม่มี Tilt Shift หรือการกำหนดความชัดตื้นของภาพ (Depth of field) ได้ แต่ก็มีการเพิ่มส่วนของ Advance Camera Setting เข้าไป ซึ่งโปรแกรมจะมีการปรับขนาดของภาพให้เหมาะสมกับกล้องให้เองโดยอัตโนมัติ ซึ่งไม่มีใน iOS
เท่า ที่ดู่คงไม่สามารถบอกได้ว่า Instagram บนแอนดรอยนั้นจะดีกว่าบน iOS หากแต่นี่น่าจะเป็นเพียงจุดเริ่มต้นในการเปิดตัวแอพบนแอนดรอยเท่านั้น ในอนาคตอาจจะมีการพัฒนาให้มีความสมบูรณ์และฟังก์ชันมากขึ้นกว่านี้ ส่วนสาวก iOS ก็ไม่ต้องด่วนน้อยใจทีมพัฒนา Instagram ที่ให้ความสำคัญกับแอนดรอยมากกว่า เพราะท้ายที่สุดแล้วแอพทั้งสองแพลตฟอร์มก็น่าจะพัฒนาให้มีความใกล้เคียงกัน เพื่อให้สะดวกต่อการพัฒนาไปควบคู่กันอยู่ดี

เกมพลิก ผู้ใช้โหวต New iPad น่าพอใจที่สุดตั้งแต่มีมา

credit sapongbkk bloggang
ท่ามกลางเสียงวิจารณ์เกี่ยวกับ New iPad ในเรื่องต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็น น้ำหนัก, ความหนา, ความร้อน หรือแม้แต่ชื่อ ที่หลายคนเชื่อว่า ถ้า Steve Jobs ยังอยู่ เรื่องเหล่านี้ไม่น่าจะเกิดขึ้นกับ iPad ตัวใหม่ แต่ผลการสำรวจของ ChangeWave Research กลับส่วนทาง

ผลสำรวจมาจากกลุ่มตัวอย่าง 200 คน ผู้ที่เป็นเจ้าของ New iPad ในเดือนมีนาคม 2555 พบว่า
ความพึงพอใจของอุปกรณ์โดยรวม New iPad ได้คะแนนความพึงพอใจมากไปถึง 82% และ ค่อนข้างพอใจ 16%
เมื่อเที่ยบกับผลสำรวจ iPad รุ่นก่อนหน้านี้ เมื่อเดือน กุมภาพันธ์ 2555 New iPad ทำคะแนนได้ดีกว่า 8%
ส่วน คำถามเจาะลึกว่า อะไรคือสิ่งที่ชอบที่สุดใน New iPad เรื่อง High-Resolution Retina Display ทำคะแนนนำโด่งถึง 75% ไม่เสียแรงที่ Apple ใช้เรื่องนี้เป็นตัวชูโรง
และ ผลสำรวจของสิ่งที่ไม่ชอบใน New iPad กลับกลายเป็นเรื่องราคาทั้งค่าเครื่องและ Data plan โดยเรื่องขนาด และน้ำหนักมาเป็นที่ 3 และเรื่องความร้อนมาที่ 5 ร่วม
ใน ท้ายการสำรวจนี้ มีการนำเรื่องความร้อนมาเป็นคำถามด้วยว่า เรื่องนี้เป็นปัญหากับคุณแค่ไหน ซึ่งผลโหวตส่วนใหญ่ลงความ เห็นว่า ไม่เป็นปัญหาหรือยังไม่เคยเจอปัญหาถึง 89% มีเพียง 4% เท่านั้นที่มองว่าเรื่องนี้ค่อนข้างเป็นปัญหา
สำหรับ ประเทศไทยแล้ว คงต้องรอดูว่าเมื่อ New iPad จำหน่ายอย่างเป็นทางการ ความรู้สึกของผู้ใช้จะแตกต่างกับผล สำรวจนี้หรือไม่ แต่สิ่งที่เกิดขึ้นแล้วกับนักพัฒนา App บน iPad ก็คือจุดขายเรื่องความละเอียดของหน้าจอทำให้เกิด 2 มาตรฐานในการพัฒนา และ Content ต่าง ๆ จะมีขนาดใหญ่ขึ้น ในขณะที่ความจุของ iPad ยังเท่าเดิม ซึ่งเรื่องนี้น่าจะ เป็นสิ่งที่ Apple ต้องรอดูผลในระยะยาวด้วยเช่นกัน